ขอเล่าเรื่องราวชีวิตตัวเอง เกิดจากครอบครัวนึงในต่างจังหวัด
มีความจนติดตัวมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่มีอาชีพทำนาปลูกข้าว
เก็บเกี่ยวปีละหนึ่งครั้ง นั่นคือรายได้ของครอบครัวทั้งปี
และหลังเก็บเกี่ยว เงินที่ได้จากการขายข้าวไม่กี่หมื่นคือเงินสำหรับใช้หนี้สหกรณ์
แล้วก็กู้กลับมาไว้ใช้จ่ายเหมือนเดิม เหมือนหาเงินจ่ายดอกเบี้ยไปวันๆ
เป็นวัฐจักรแบบนี้ไปเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่า
ส่วนใหญ่แล้วชาวนาไม่ค่อยทำบัญชี เงินลงทุนทำนา หมดเท่าไหร่ไม่รู้
ใช้แรงงานหมดไปเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าสามารถมีข้าวขายได้ก็ดีใจแล้ว
พอจะนึกออกใช่ไหมครับว่าทำไม ชาวนาถึงจนแล้วจนอีก ไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้เลย
จากชีวิตเด็กท้องทุ่ง ใช้ควายไถนา ควายจึงเป็นเหมือนสัตว์คู่กับชาวนา
และควายนี่แหละคืองาน part time ของผม วันเสาร์ อาทิตย์ เพื่อนๆได้ไปเล่นกัน
แต่ผมต้องไปทำงาน part time ต้องไล่ต้อนควายไปเลี้ยงที่ทุ่งนากับฝูงควายของญาติๆ
ออกเดินทางแต่เช้า ห่อข้าวไปกินตอนกลางวัน กลับมาถึงบ้านก็มืดพอดี
ตอนเด็กๆ ก่อนไปโรงเรียน ต้องไล่ต้อนควายไปทุ่งนาระยะทางเกือบ 2 กิโลทุกวัน
หลังจากนั้นค่อยกับมาแต่งตัวไปโรงเรียน ฤดูทำนาก็ต้องใช้ควายไถ่นาไว้ให้พ่อแม่ปักดำก่อน
ถึงไปโรงเรียนได้ สมัยเรียนชั้นประถมต้นๆ ต้องเดินไปโรงเรียนระยะทาง 1 กิโลจากบ้านถึงโรงเรียน
เนื่องจากที่บ้านมีจักรยานไม่กี่คัน และพอมีเพื่อนๆเดินร่วมทาง พอเริ่มอยู่ประถมปลายๆ คนอื่นมีจักรยานกันหมด
ผมเองก็เลยจำเป็นต้องหาจักรยานใช้ แต่ด้วยทางบ้านไม่มีเงินพอที่จะซื้อจักรยานคันใหม่ๆ
พ่อเลยไปหาซื้อโครงจักรยานเก่าๆมาซ่อมเพื่อให้ลูกมีจักรยานปั่นเหมือนเพื่อน สมัยนั้นเกมกดกำลังฮิต
เพื่อนๆมีเล่นกัน ตัวเองต้องไปนั่งมองเพื่อนเล่นและเขาให้เล่นบ้าง ชีวิตไม่เคยมีเกมเล่นเป็นของตัวเอง
พอเข้าเรียนมัธยมก็ต้องเปลี่ยนไปเรียน โรงเรียนประจำตำบล ห่างจากบ้านประมาณ 4-5 กิโล
ก็ต้องใช้จักรยานคันเก่าปั่นไปโรงเรียน บอกเลยว่าชีวิตจนเรียนจบไม่เคยได้ปั่นจักรยานใหม่เหมือนเพื่อน
ช่วงแรกๆ ก็พอจะมีเพื่อนที่ปั่นจักรยานไปเรียนบ้าง แต่ช่วงขึ้น ม.2 ม.3 ทุกคนเริ่มใช้มอเตอร์ไซต์กันหมด
มีผมกับเพื่อนอยู่ไม่กี่คนยังคงปั่นจักรยานไปเรียน ถนนลูกรังระยะทาง 4-5 กิโล นึกแล้วยังเหนื่อยเลย ปั่นยากมาก
ถ้าจักรยานมีเกียร์ชีวิตคงดีกว่านี้เยอะ พอขึ้นม.3 พ่อซื้อมอเตอร์ไซต์มือ 8 คันเก่าๆมาใช้ แต่ก็จะขับไปเรียนแค่บางวัน
เพราะทั้งครอบครัวมีคันเดียว เลยเลือกที่จะเอาไปแค่บางวันเช่นวันที่ฝนตก นอกนั้นก็ไว้ให้พ่อกับแม่ใช้ เพื่อนๆมีมอเตอร์ไซต์คันใหม่ๆ
ขับอวดสาวๆ ขับไปโรงเรียนทุกวัน ผมมีมอเตอร์ไซต์คันเก่าๆได้ขับแค่บางวัน
เรียนจบม. 3 ไม่กล้าเรียนต่อม.6 เพราะคิดว่าตัวเองคงไม่มีปัญญาต่อมหาลัยแน่ๆ ทั้งที่ตัวเองถือว่าเป็นเด็กเรียนเก่ง
เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันวิชาคณิตศาสตร์เป็นประจำ แต่ด้วยความที่คิดว่าอยากทำงานเร็วๆเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน
จึงเลือกเปลี่ยนเส้นทางไปเรียนสายอาชีพปวช. ในสาขาช่างไฟฟ้า คิดว่าเรียนจบคงหางานทำไปด้วยเรียนไปด้วย
แต่ดีหน่อยสมัยนั้นเริ่มมีกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา กยศ. ผมเลยเลือกที่จะกู้เงินกยศ.เรียนจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนที่บ้าน
และเงินกยศ.นี่แหละที่ทำให้ผม มีแนวคิดที่อยากเรียนต่อป.ตรี
ผมกู้เงินกยศ. มาตั้งแต่เรียนปวช. ได้ค่าใช้จ่ายส่วนตัวเดือนละ 1500 เช่าหอพักอยู่ใกล้วิทยาลัยหารกับเพื่อนคนละ 500 เหลือ 1000
สำหรับใช้จ่ายในแต่ละเดือน ไม่ต้องคิดเรื่องกินเที่ยวแบบวัยรุ่นคนอื่นทั่วไป โรงหนังเคยเข้าไปครั้งนึง คือเดินไปดูโปรแกรมแล้วก็กลับห้อง
ทั้งชีวิตตอนเรียน ไม่เคยได้เข้าดูหนังในโรงเลย
บางวันมาม่ายังต้องแบ่งครึ่งซองต้มกินกับข้าวเปล่า เอาข้าวไปจากบ้านไปหุงกิน ซื้อกับข้าว 10 บาท แบ่งกิน 2 มื้อ ก็ยังมี
ผมไม่ขอเงินพ่อแม่ตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติเงินกยศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปิดเทอมผมต้องไปช่วยพ่อทำงานก่อสร้าง หิ้วปูนผสมปูนเพื่อเป็นแบกใช้จ่ายตอนเปิดเทอม
ยอมรับว่าตัวเองไม่เก่งในเรื่องหาเงิน ที่ทำได้คือการประหยัด ผมรู้จักวางแผนการเงินเดือนละ 1500 ตั้งแต่นั้นมา
ผมจบปวช.จึงตัดสินใจไปสอบวิศวะไฟฟ้า 4 ปี ในมหาลัยด้านเทคโนโลยีที่รับวุฒิปวช.แบบสอบตรง บังเอิญที่สอบติด
ชีวิตไม่เคยเข้าโรงเรียนกวาดวิชาเลย ต้องอ่านหนังสือเองหาซื้อหนังสือมาเองตลอด
มหาลัยผมก็อยู่ได้ด้วยเงินกยศ. เดือนละ 4000 โชคดีที่อาศัยบ้านญาติอยู่ ไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก แต่ต้องจ่ายค่าเดินทาง
และผมก็บริหารเงิน 4000 ให้อยู่รอดตลอด 4 ปี เปิดเทอมใหม่แต่ละปีก็จะมีเงินตกเบิกหลายเดือน
ออกทีก็หลักหมื่น เมื่อเงินพวกนั้นออกผมก็จะส่งให้พ่อแม่ใช้บ้าง และเพราะเงินตกเบิกนี้และที่ทำให้ผมเก็บเงินซื้อคอมตัวแรกให้ตัวเอง
เป็นคอมมือสองเก่าๆ ibm เครื่องนอนแบนๆมือเท่าไหร่ไม่รู้ cpu 166 Mz ram 256 Windows 98 ที่ซื้อตอนนั้น
เป้าหมายคือเพียงแค่เอาไว้พิมพ์รายงาน เนื่องจากไม่มีตังค์ไปจ่ายค่าจ้างพิมพ์รายงาน
และมองว่าเราเอาเงินไปซื้อคอม เรายังได้คอมไว้ใช้ ดีกว่าไปจ้างพิมพ์สุดท้ายเราไม่ได้อะไร ที่เป็นการลงทุนของผมครั้งแรก
หลังจากเรียนจบผมเริ่มสตาร์ทด้วยเงินเดือน 10 K ช่วงนั้นยังอาศัยบ้านญาติอยู่ ช่วยค่าผ่อนเขานิดหน่อย
เพราะตัวเองมีรายได้แล้ว และทำงาน 2 ปีผมย้ายออกไปอยู่หอพัก และเริ่มดาวน์รถคันแรกของของตัวเองและครอบครัว
ตอนนั้นเงินเดือน 18K รถ 6 แสน+ ยอมรับว่าค่อนข้างหนัก แต่เนื่องด้วยงานต้องใช้รถจึงเลือกรถก่อนบ้าน
สำหรับคชจ. ในช่วงแรกๆ ด้วยต้องส่งเงินให้พ่อแม่เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายน้อง 2 คนซึ่งกำลังเรียนมหาลัย
ผมใช้รายได้จากงานประจำทั้งสิ้น ไม่ได้ทำงานนอกยอมรับว่าเป็นคนที่หาเงินไม่เก่ง ยกเว้นมีคนยื่นโอกาสมาให้
ชวนไปทำนุ่นนี่นั่นได้มานิดๆหน่อยๆ ผมพยุงตัวเองมาได้เพราะการบริหารเงินและการประหยัดเท่านั้น
หลายคนบอกว่าคนที่จะสำเร็จได้ต้องขยันหาเงิน มากกว่าการประหยัด แต่สำหรับผมเลือกที่จะใช้การประหยัด
รถผมพึ่งผ่อนหมดเมื่อปีที่แล้วหลังจากที่ทำงานครบ 7 ปีพอดี และตอนนี้ผมก็ผ่อนคอนโด 2 ล. ได้ ปีกว่าแล้ว
ทุกอย่างผมวางแผนสำหรับตัวเองไว้แล้วว่ารถหมดค่อยเอาบ้าน ตอนนี้มีภาระ 2 อย่างคือคอนโดกับผ่อนรถให้พ่อ.
และที่เหลือเก็บออมและลงทุนในหุ้น ค่าใช้จ่ายส่วนตัวผมยังใช้เท่ากับวันที่ทำงานวันแรก
ตอนนี้ค่าใช้จ่ายเลยหลวมๆ สบายๆ มีไว้เที่ยวบ้างซื้อของที่อยากได้บ้าง
หลังจากที่เริ่มเก็บเงินลงทุนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนนี้พอร์ตลงทุนเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ จากเงินเริ่มต้น 5000 ตอนนี้มีพอร์ตหุ้น
ุ6 หลัก เกือบๆ 100 เท่าของเงินเริ่มต้นแล้ว ด้วยเงินที่แบ่งเก็บไว้ลงทุนโอนเข้าพอร์ตทุกเดือนและเงินจากเงินปันผลและกำไรจากส่วนต่างราคาบ้าง
รวมเงินที่ฝากประจำและพอร์ทกองทุน คิดว่า 1 ล้านแรกสำหรับตัวเองคงอีกไม่เกิน 2 ปี
จากชีวิตที่คิดว่าตัวเองไม่มีอะไรเป็นต้นทุน ก้าวเดินเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง เลือกเส้นทางเอง โชคดีที่พ่อแม่ไม่เคยกำหนดเส้นทางให้เดิน โดยให้อิสระทางความคิดผมเต็มที่และคอยเป็นแบกกราวด์อย่างดี พ่อแม่เป็นคนไม่ติดการพนัน ไม่ดื่มเหล้า พ่อแม่ขยันสู้เพื่อลูกมาโดยตลอด ผมระลึกในใจเสมอว่าหากตัวเองมี พ่อแม่ต้องมีด้วย ตัวเองสุข พ่อแม่ต้องสุขด้วย จะไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย หากพ่อแม่เรายังรำบากอยู่
จึงอยากมาแบ่งปันการใช้ชีวิตให้เด็กรุ่นใหม่ที่คิดว่าตัวเองด้อยหรือไม่มีโอกาส โอกาสอยู่ที่เราจะตามหาหรือป่าว ความโชคดีไม่ได้มีให้กับทุกคน
ขอยกคำกล่าวของบิลเกตที่บอกว่า
"ผมเกิดมาจนไม่ใช่ความผิดของผม แต่ถ้าผมแก่ตายแล้วยังจนอยู่ นั่นแหละคือความผิดของผมเอง"
ท่านใดมีเรื่องราวชีวิตที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มาเป็นได้เหมือนทุกวันนี้สามารถมาร่วมแชร์กันได้ครับ อยากให้พันทิพมีกระทู้ดีๆเพิ่มอีก 1 กระทู้
ใครคิดว่าชีวิตเปลี่ยนจากจุดเริ่มต้นมาจนมีทุกวันนี้ ท่านฝ่าอะไรมาบ้าง?
มีความจนติดตัวมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่มีอาชีพทำนาปลูกข้าว
เก็บเกี่ยวปีละหนึ่งครั้ง นั่นคือรายได้ของครอบครัวทั้งปี
และหลังเก็บเกี่ยว เงินที่ได้จากการขายข้าวไม่กี่หมื่นคือเงินสำหรับใช้หนี้สหกรณ์
แล้วก็กู้กลับมาไว้ใช้จ่ายเหมือนเดิม เหมือนหาเงินจ่ายดอกเบี้ยไปวันๆ
เป็นวัฐจักรแบบนี้ไปเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่า
ส่วนใหญ่แล้วชาวนาไม่ค่อยทำบัญชี เงินลงทุนทำนา หมดเท่าไหร่ไม่รู้
ใช้แรงงานหมดไปเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าสามารถมีข้าวขายได้ก็ดีใจแล้ว
พอจะนึกออกใช่ไหมครับว่าทำไม ชาวนาถึงจนแล้วจนอีก ไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้เลย
จากชีวิตเด็กท้องทุ่ง ใช้ควายไถนา ควายจึงเป็นเหมือนสัตว์คู่กับชาวนา
และควายนี่แหละคืองาน part time ของผม วันเสาร์ อาทิตย์ เพื่อนๆได้ไปเล่นกัน
แต่ผมต้องไปทำงาน part time ต้องไล่ต้อนควายไปเลี้ยงที่ทุ่งนากับฝูงควายของญาติๆ
ออกเดินทางแต่เช้า ห่อข้าวไปกินตอนกลางวัน กลับมาถึงบ้านก็มืดพอดี
ตอนเด็กๆ ก่อนไปโรงเรียน ต้องไล่ต้อนควายไปทุ่งนาระยะทางเกือบ 2 กิโลทุกวัน
หลังจากนั้นค่อยกับมาแต่งตัวไปโรงเรียน ฤดูทำนาก็ต้องใช้ควายไถ่นาไว้ให้พ่อแม่ปักดำก่อน
ถึงไปโรงเรียนได้ สมัยเรียนชั้นประถมต้นๆ ต้องเดินไปโรงเรียนระยะทาง 1 กิโลจากบ้านถึงโรงเรียน
เนื่องจากที่บ้านมีจักรยานไม่กี่คัน และพอมีเพื่อนๆเดินร่วมทาง พอเริ่มอยู่ประถมปลายๆ คนอื่นมีจักรยานกันหมด
ผมเองก็เลยจำเป็นต้องหาจักรยานใช้ แต่ด้วยทางบ้านไม่มีเงินพอที่จะซื้อจักรยานคันใหม่ๆ
พ่อเลยไปหาซื้อโครงจักรยานเก่าๆมาซ่อมเพื่อให้ลูกมีจักรยานปั่นเหมือนเพื่อน สมัยนั้นเกมกดกำลังฮิต
เพื่อนๆมีเล่นกัน ตัวเองต้องไปนั่งมองเพื่อนเล่นและเขาให้เล่นบ้าง ชีวิตไม่เคยมีเกมเล่นเป็นของตัวเอง
พอเข้าเรียนมัธยมก็ต้องเปลี่ยนไปเรียน โรงเรียนประจำตำบล ห่างจากบ้านประมาณ 4-5 กิโล
ก็ต้องใช้จักรยานคันเก่าปั่นไปโรงเรียน บอกเลยว่าชีวิตจนเรียนจบไม่เคยได้ปั่นจักรยานใหม่เหมือนเพื่อน
ช่วงแรกๆ ก็พอจะมีเพื่อนที่ปั่นจักรยานไปเรียนบ้าง แต่ช่วงขึ้น ม.2 ม.3 ทุกคนเริ่มใช้มอเตอร์ไซต์กันหมด
มีผมกับเพื่อนอยู่ไม่กี่คนยังคงปั่นจักรยานไปเรียน ถนนลูกรังระยะทาง 4-5 กิโล นึกแล้วยังเหนื่อยเลย ปั่นยากมาก
ถ้าจักรยานมีเกียร์ชีวิตคงดีกว่านี้เยอะ พอขึ้นม.3 พ่อซื้อมอเตอร์ไซต์มือ 8 คันเก่าๆมาใช้ แต่ก็จะขับไปเรียนแค่บางวัน
เพราะทั้งครอบครัวมีคันเดียว เลยเลือกที่จะเอาไปแค่บางวันเช่นวันที่ฝนตก นอกนั้นก็ไว้ให้พ่อกับแม่ใช้ เพื่อนๆมีมอเตอร์ไซต์คันใหม่ๆ
ขับอวดสาวๆ ขับไปโรงเรียนทุกวัน ผมมีมอเตอร์ไซต์คันเก่าๆได้ขับแค่บางวัน
เรียนจบม. 3 ไม่กล้าเรียนต่อม.6 เพราะคิดว่าตัวเองคงไม่มีปัญญาต่อมหาลัยแน่ๆ ทั้งที่ตัวเองถือว่าเป็นเด็กเรียนเก่ง
เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันวิชาคณิตศาสตร์เป็นประจำ แต่ด้วยความที่คิดว่าอยากทำงานเร็วๆเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน
จึงเลือกเปลี่ยนเส้นทางไปเรียนสายอาชีพปวช. ในสาขาช่างไฟฟ้า คิดว่าเรียนจบคงหางานทำไปด้วยเรียนไปด้วย
แต่ดีหน่อยสมัยนั้นเริ่มมีกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา กยศ. ผมเลยเลือกที่จะกู้เงินกยศ.เรียนจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนที่บ้าน
และเงินกยศ.นี่แหละที่ทำให้ผม มีแนวคิดที่อยากเรียนต่อป.ตรี
ผมกู้เงินกยศ. มาตั้งแต่เรียนปวช. ได้ค่าใช้จ่ายส่วนตัวเดือนละ 1500 เช่าหอพักอยู่ใกล้วิทยาลัยหารกับเพื่อนคนละ 500 เหลือ 1000
สำหรับใช้จ่ายในแต่ละเดือน ไม่ต้องคิดเรื่องกินเที่ยวแบบวัยรุ่นคนอื่นทั่วไป โรงหนังเคยเข้าไปครั้งนึง คือเดินไปดูโปรแกรมแล้วก็กลับห้อง
ทั้งชีวิตตอนเรียน ไม่เคยได้เข้าดูหนังในโรงเลย
บางวันมาม่ายังต้องแบ่งครึ่งซองต้มกินกับข้าวเปล่า เอาข้าวไปจากบ้านไปหุงกิน ซื้อกับข้าว 10 บาท แบ่งกิน 2 มื้อ ก็ยังมี
ผมไม่ขอเงินพ่อแม่ตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติเงินกยศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปิดเทอมผมต้องไปช่วยพ่อทำงานก่อสร้าง หิ้วปูนผสมปูนเพื่อเป็นแบกใช้จ่ายตอนเปิดเทอม
ยอมรับว่าตัวเองไม่เก่งในเรื่องหาเงิน ที่ทำได้คือการประหยัด ผมรู้จักวางแผนการเงินเดือนละ 1500 ตั้งแต่นั้นมา
ผมจบปวช.จึงตัดสินใจไปสอบวิศวะไฟฟ้า 4 ปี ในมหาลัยด้านเทคโนโลยีที่รับวุฒิปวช.แบบสอบตรง บังเอิญที่สอบติด
ชีวิตไม่เคยเข้าโรงเรียนกวาดวิชาเลย ต้องอ่านหนังสือเองหาซื้อหนังสือมาเองตลอด
มหาลัยผมก็อยู่ได้ด้วยเงินกยศ. เดือนละ 4000 โชคดีที่อาศัยบ้านญาติอยู่ ไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก แต่ต้องจ่ายค่าเดินทาง
และผมก็บริหารเงิน 4000 ให้อยู่รอดตลอด 4 ปี เปิดเทอมใหม่แต่ละปีก็จะมีเงินตกเบิกหลายเดือน
ออกทีก็หลักหมื่น เมื่อเงินพวกนั้นออกผมก็จะส่งให้พ่อแม่ใช้บ้าง และเพราะเงินตกเบิกนี้และที่ทำให้ผมเก็บเงินซื้อคอมตัวแรกให้ตัวเอง
เป็นคอมมือสองเก่าๆ ibm เครื่องนอนแบนๆมือเท่าไหร่ไม่รู้ cpu 166 Mz ram 256 Windows 98 ที่ซื้อตอนนั้น
เป้าหมายคือเพียงแค่เอาไว้พิมพ์รายงาน เนื่องจากไม่มีตังค์ไปจ่ายค่าจ้างพิมพ์รายงาน
และมองว่าเราเอาเงินไปซื้อคอม เรายังได้คอมไว้ใช้ ดีกว่าไปจ้างพิมพ์สุดท้ายเราไม่ได้อะไร ที่เป็นการลงทุนของผมครั้งแรก
หลังจากเรียนจบผมเริ่มสตาร์ทด้วยเงินเดือน 10 K ช่วงนั้นยังอาศัยบ้านญาติอยู่ ช่วยค่าผ่อนเขานิดหน่อย
เพราะตัวเองมีรายได้แล้ว และทำงาน 2 ปีผมย้ายออกไปอยู่หอพัก และเริ่มดาวน์รถคันแรกของของตัวเองและครอบครัว
ตอนนั้นเงินเดือน 18K รถ 6 แสน+ ยอมรับว่าค่อนข้างหนัก แต่เนื่องด้วยงานต้องใช้รถจึงเลือกรถก่อนบ้าน
สำหรับคชจ. ในช่วงแรกๆ ด้วยต้องส่งเงินให้พ่อแม่เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายน้อง 2 คนซึ่งกำลังเรียนมหาลัย
ผมใช้รายได้จากงานประจำทั้งสิ้น ไม่ได้ทำงานนอกยอมรับว่าเป็นคนที่หาเงินไม่เก่ง ยกเว้นมีคนยื่นโอกาสมาให้
ชวนไปทำนุ่นนี่นั่นได้มานิดๆหน่อยๆ ผมพยุงตัวเองมาได้เพราะการบริหารเงินและการประหยัดเท่านั้น
หลายคนบอกว่าคนที่จะสำเร็จได้ต้องขยันหาเงิน มากกว่าการประหยัด แต่สำหรับผมเลือกที่จะใช้การประหยัด
รถผมพึ่งผ่อนหมดเมื่อปีที่แล้วหลังจากที่ทำงานครบ 7 ปีพอดี และตอนนี้ผมก็ผ่อนคอนโด 2 ล. ได้ ปีกว่าแล้ว
ทุกอย่างผมวางแผนสำหรับตัวเองไว้แล้วว่ารถหมดค่อยเอาบ้าน ตอนนี้มีภาระ 2 อย่างคือคอนโดกับผ่อนรถให้พ่อ.
และที่เหลือเก็บออมและลงทุนในหุ้น ค่าใช้จ่ายส่วนตัวผมยังใช้เท่ากับวันที่ทำงานวันแรก
ตอนนี้ค่าใช้จ่ายเลยหลวมๆ สบายๆ มีไว้เที่ยวบ้างซื้อของที่อยากได้บ้าง
หลังจากที่เริ่มเก็บเงินลงทุนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนนี้พอร์ตลงทุนเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ จากเงินเริ่มต้น 5000 ตอนนี้มีพอร์ตหุ้น
ุ6 หลัก เกือบๆ 100 เท่าของเงินเริ่มต้นแล้ว ด้วยเงินที่แบ่งเก็บไว้ลงทุนโอนเข้าพอร์ตทุกเดือนและเงินจากเงินปันผลและกำไรจากส่วนต่างราคาบ้าง
รวมเงินที่ฝากประจำและพอร์ทกองทุน คิดว่า 1 ล้านแรกสำหรับตัวเองคงอีกไม่เกิน 2 ปี
จากชีวิตที่คิดว่าตัวเองไม่มีอะไรเป็นต้นทุน ก้าวเดินเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง เลือกเส้นทางเอง โชคดีที่พ่อแม่ไม่เคยกำหนดเส้นทางให้เดิน โดยให้อิสระทางความคิดผมเต็มที่และคอยเป็นแบกกราวด์อย่างดี พ่อแม่เป็นคนไม่ติดการพนัน ไม่ดื่มเหล้า พ่อแม่ขยันสู้เพื่อลูกมาโดยตลอด ผมระลึกในใจเสมอว่าหากตัวเองมี พ่อแม่ต้องมีด้วย ตัวเองสุข พ่อแม่ต้องสุขด้วย จะไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย หากพ่อแม่เรายังรำบากอยู่
จึงอยากมาแบ่งปันการใช้ชีวิตให้เด็กรุ่นใหม่ที่คิดว่าตัวเองด้อยหรือไม่มีโอกาส โอกาสอยู่ที่เราจะตามหาหรือป่าว ความโชคดีไม่ได้มีให้กับทุกคน
ขอยกคำกล่าวของบิลเกตที่บอกว่า
"ผมเกิดมาจนไม่ใช่ความผิดของผม แต่ถ้าผมแก่ตายแล้วยังจนอยู่ นั่นแหละคือความผิดของผมเอง"
ท่านใดมีเรื่องราวชีวิตที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มาเป็นได้เหมือนทุกวันนี้สามารถมาร่วมแชร์กันได้ครับ อยากให้พันทิพมีกระทู้ดีๆเพิ่มอีก 1 กระทู้