เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วมีเหตุการณ์สะเทือนขวัญขึ้นในออฟฟิศเรา คือมีคนในออฟฟิศเงินหายอย่างต่อเนื่อง ครั้งละพันบ้าง สองพันบ้าง โดยลักษณะที่หายคือคนที่ถูกขโมยเงินจะมีแบงก์พันหลายใบ ใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ แล้วขโมยจะเลือกหยิบแบงก์ที่อยู่ตรงกลางไปบางใบ เหมือนกับว่าไม่ต้องการให้เจ้าของเงินรู้ตัวเร็ว ว่าโดนขโมย ถ้าไม่สังเกตุดีๆ เปิดกระเป๋าดูก็จะมองเห็นว่ายังมีเงินเหลืออยู่ ยกเว้นแต่ว่าจะหยิบเงินมานับถึงจะรู้ตัว แต่กว่าจะรู้ตัวก็อาจผ่านไปนานแล้ว แล้วพอรู้สึกว่าหายคนที่โดนก็มักไม่แน่ใจว่า นับผิดตอนกดมาหรือเปล่า หรือทำหล่นไปมั้ย หรือเผลอแตกแบงก์ซื้ออะไรไป
ทีแรกเลยก็ไม่ค่อยมีใครโวยวายอะไรมาก เนื่องจากแต่ละคนพอรู้ตัวว่าเงินหาย ก็มักจะรู้ด้วยความไม่แน่ใจ บางคนก็โวยวายออกมาบ้างว่า เงินหายไปไหน รู้สึกว่ามีเงินมากกว่านี้ แต่ด้วยความที่มันไม่ได้หายแบบชัดเจนมาก ก็เลยไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ นอกจากนั้นก็มีอีกหลายคนที่เงินหายแต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไรออกมา เนื่องจากไม่คิดว่าเงินจะหายที่ออฟฟิศ แต่พอเรื่องมันแดงชัดออกมา และรู้ตัวผู้ต้องสงสัย ก็ได้มีการพูดคุยกัน ถึงได้รู้ว่ารวมๆแล้วเงินของทุกคนที่โดนขโมยไปรวมๆแล้วก็เป็นหลักหมื่นขึ้นเลยทีเดียว
ขอเริ่มเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่เรารู้ตัวผู้ต้องสงสัยนะคะ เพราะเป็นจุดที่ทำให้พวกเราได้มาคุยกัน ถึงหลักฐาน ความเป็นไปได้ต่างๆ จนถึงวันที่จับคนที่ทำผิดได้ คือก่อนอื่นต้องบอกว่า ออฟฟิศเราเป็นออฟฟิศเล็กมากๆ มีพนักงานเพียงแค่ 12 คนเท่านั้น โดยฟลอร์ที่เราอยู่ จะแบ่งครึ่งกับอีกบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกัน แต่ดำเนินธุรกิจคนละอย่าง เพราะฉะนั้นโดยปกติในโซนของเราก็จะมีแต่บริษัทเรา พนักงานอีกฝั่งก็จะไม่ได้เดินมา เรียกได้ว่าค่อนข้างเป็นส่วนตัว คนนอกที่มาติดต่อก็ถือว่าน้อยมาก และถ้ามีใครที่แปลกๆเข้ามา ก็จะเป็นจุดเด่นเลย และที่ผ่านมาก็อยู่กันสงบสุข ไม่เคยมีใครของหาย ทุกคนก็ไม่เคยคิดว่าที่ออฟฟิศจะมีโจรได้ พูดง่ายๆว่าทุกคนไว้ใจกันหมด การวางกระเป๋าเงิน โทรศัพท์ ของมีค่าต่างๆ จึงเป็นเรื่องปกติ บางทีถอนเงินมาก็เอามานับที่โต๊ะไม่ได้แอบอะไรกัน
วันนั้นก็เป็นอีกวันที่เกิดเหตุการณ์เงินหาย ซึ่งถือว่าเป็นเคสที่ชัดเจนที่สุด เนื่องจากมีคนเงินหาย ถึง 2 คน ในคราวเดียว ตอนที่หายคือตอนกลางวัน ทุกคนออกไปทานข้าว บางส่วนลงไปข้างล่าง บางส่วนเดินไปทานข้าวที่ห้องแพนทรี่ที่อยู่ในฟลอร์เดียวกัน พอกลับมาจากพักกลางวัน ปรากฏว่ามีคนเงินหาย 2 คน สองพันบาท ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรา
เงินหายคราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เพราะเราเพิ่งถอนเงินมาเมื่อวาน และแบงก์พันที่หาย เลขแบงก์เรียงกัน เราเลยเก็บไว้ในอีกช่องแยกกับเงินที่ใช้ปกติ เพราะตั้งใจจะเก็บไว้ พอมาเปิดดู เลขตรงกลางหายไปเลขนึงเลยชัดว่าหาย ซึ่งพอมันหายไปแบบชัดๆว่าหายที่ออฟฟิศ และเพิ่งหายเมื่อกี้ตอนพักกลางวัน เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทางฝ่ายเอชอาร์ ก็ได้มีมาตรการแบ่งเวลาพักกลางวันเป็นสองช่วง เพื่อให้มีคนนั่งอยู่ที่ออฟฟิศตลอดเวลา ตอนแรกพวกเราก็สงสัยแม่บ้านคนนึง เพราะเหมือนจะเห็นเค้าเดินผ่านฝั่งออฟฟิศเราบ่อยผิดปกติ แต่ตอนหลังได้ไปดูภาพในกล้องวงจรปิดเลยได้รู้ว่า ไม่ใช่แม่บ้านคนนี้เนื่องจาก เวลาเข้าออกไม่ตรง ต้องบอกก่อนว่ากล้องวงจรปิดที่ออฟฟิศเรามีแค่จุดเดียว คือตรงทางเข้าข้างหน้า
ซึ่งพอดูการเข้าออกในกล้องวงจรปิดแล้วมันค่อนข้างสอดคล้องกับเพื่อนร่วมงานคนนึง ซึ่งที่น่าตกใจคือเป็นเพื่อนในกลุ่มเราเอง ที่ค่อนข้างจะสนิทกัน ขอเรียกผู้ต้องสงสัย (ซึ่งในภายหลังยอมรับผิด) ว่า พ. นะคะ พ.เข้ามาทำงานที่บริษัทเราตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่ง พ. เป็นคนที่ทำงานเก่ง เคยทำงานที่อื่นในสายงานเดียวกันมาก่อน แต่ที่เก่าๆที่เคยทำ ส่วนใหญ่ก็ทำอยู่แค่ประมาณ 4 – 6 เดือน ซึ่งพ.เป็นคนเล่าให้พวกเราฟังเอง เนื่องจากพ.เป็นคนคุยเก่ง อัธยาศัยดี และทำงานด้วยกันด้วย พ.จึงมาอยู่กับกลุ่มเราในเวลาไม่นาน เวลาไปกินข้าวกลางวันก็จะไปด้วยกัน หลังเลิกงานก็มีไปกินข้าว กินบุฟเฟต์ กันเป็นประจำ พ.เป็นผู้หญิงที่แอบติดหรูอยู่พอสมควร ชอบใช้ของแบรนด์เนม ชอบเที่ยวกลางคืนที่แพงๆ แถวเอกมัย ทองหล่อ ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับไลฟ์สไตล์ของพ. เข้าใจว่าที่บ้านพอมีฐานะ เนื่องจากพ.เรียนจบอินเตอร์มาจากมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
กลับมาถึงเหตุการณ์เมื่อต้นเดือนธันวาที่ทำให้สงสัย พ.ค่ะ วันนั้น พ.ไม่มากินข้าวกับเราตอนเที่ยง อ้างว่าไม่หิว แล้วหลังเกิดเรื่อง พ.ก็ลาป่วยกลับบ้านไป ทำให้เริ่มผิดสังเกตุ พอได้มาคุยกันทีหลัง ก็มีน้องคนนึงเดินกลับไปหยิบของที่โต๊ะตอนพักกลางวัน และเห็น พ.เดินออกมาจากทางโต๊ะของเรา ซึ่งอยู่คนละทางกับโต๊ะของ พ. และปกติพ. จะไม่ได้เดินเข้าไปทางนั้น
ด้วยเหตุการณ์ต่างๆที่ค่อนข้างชัด ทำให้เราเริ่มสงสัย พ. และสังเกตุพฤติกรรม พ.มากขึ้น วันรุ่นขึ้นพ.มาทำงาน แต่กลับไม่ถามเรา ซึ่งเป็นเพื่อนกัน และเงินหาย ว่าเงินหายเท่าไร หายได้ยังไง ทั้งๆที่เรื่องนี้กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในออฟฟิศวันนั้นเลย แต่พ.กลับไปถามเพื่อนอีกคน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่านายว่ายังไงบ้าง และพอคนอื่นมาก็เลิกถามเรื่องนี้
แต่ถึงจะมีพิรุธต่างๆ เราก็ยังไม่สามารถจะชี้ชัดไปได้เลยว่า พ.เป็นโจร เนื่องจากหลักฐานต่างๆ ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น และคาดว่าถ้าพูดไป พ.ก็คงปฏิเสธแน่ๆ
ช่วงนั้น เกือบทุกวันเราจะมีการพูดถึงเหตุการณ์นี้ ทำให้รู้ว่า ก่อนหน้านี้มีอีกหลายคนที่เงินหาย และพอทบทวนเหตุการณ์ก็ล้วนแต่มีความเป็นไปได้ว่า พ. เป็นคนหยิบไป แล้วก็มีปรึกษารวมหัวถึงวิธีการต่างๆ เช่นหลอกล่อให้มีการขโมยเกิดขึ้นอีกครั้งและหาหลักฐานแบบมัดตัว แต่ก็ยังไม่ได้วิธีที่จะทำได้จริงๆ ตอนนั้นเรายังไม่ได้ไปแจ้งความ เนื่องจากเอชอาร์ได้บอกว่า ฝ่ายบริหารกำลังพูดคุยเรื่องนี้อยู่ และจะมีมาตรฐานหรือการดำเนินการบางอย่างออกมา เราเลยไม่ได้ทำอะไร เพราะคิดว่าฝ่ายบริหารอาจมีวิธีการจับโจรหรืออะไรสักอย่างไม่ให้โจรรู้ตัว
สิ่งที่แย่ที่สุดของเหตุการณ์เงินหายในครั้งนี้ คือ พ. เป็นเพื่อนในกลุ่มที่สนิท และไว้ใจ กินข้าวด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน นั่งทำงานข้างๆกัน ไม่นึกและไม่อยากให้มาทำกันแบบนี้ ลึกๆแล้วก็ไม่อยากให้เป็นพ.เลย
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นก็กินเวลาประมาณสองอาทิตย์ ที่เรารอการดำเนินการจากเอชอาร์ ซึ่งก็มีการจับกลุ่มคุยเรื่องนี้กันทุกวัน 555 ซึ่งก็ยอมรับว่าพวกเราค่อนข้างตีตัวออกห่าง พ. แล้วก็มั่นใจว่า พ.ก็รู้สึกได้ว่าพวกเราไม่เหมือนเดิม
มาถึงจุดที่จับโจรได้กันค่ะ คือเราเริ่มรอไม่ไหวแล้วว่ายังไม่มีความคืบหน้าอะไรสักที เราเลยตัดสินใจไปแจ้งความกับน้องอีกคนที่เงินหายในคราวเดียวกัน พอตอนบ่ายวันนั้นเราก็ขึ้นสเตตัสในเฟสว่าที่ออฟฟิศเรามีโจร แล้วก็ด่าๆโจรไป (เราเป็นเพื่อนกับพ.ในเฟส) ซึ่งวันที่เราแจ้งความเป็นวันจันทร์ หลังจากเราไปแจ้งความ (ซึ่งพอกลับมาจากออฟฟิศก็พูดเรื่องแจ้งความกัน พ.ก็ได้ยิน) พ.ก็เงียบและหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด คงทั้งรู้เรื่องแจ้งความและเห็นโพสในเฟส พอวันอังคาร พ.ก็มาทำงานปกติ แต่วันนี้นับเป็นวันที่ พ.เงียบสุดตั้งแต่ทำงานมาเลย เพราะปกติ พ.เป็นคนคุยเก่ง เสียงดัง แต่วันนั้นพ.ไม่คุยกับใครเลยยกเว้นเรื่องงานนิดหน่อยเท่านั้น
พอถึงวันพุธตอนเช้า พี่เอชอาร์ก็เรียกคนที่โดนขโมยเงินเข้าห้องประชุม พอเข้าไปก็พบว่า พ.นั่งรออยู่ในห้อง หลังจากนั้นพี่เอชอาร์ก็พูดว่า วันนี้ พ. จะทำงานเป็นวันสุดท้าย ส่วนเรื่องเงินที่หายไปนั้น พ.ได้โทรมายอมรับกับพี่ว่าเป็นคนเอาไปเอง พ.ก็ได้พูดว่า พ.เป็นคนเอาไปเอง ขอโทษทุกๆคนที่ทำให้ผิดหวังในตัวพ. พ.รู้สึกละอายมาก และรู้สึกผิด พ.จะออกไปเลยก็ได้ ไม่สารภาพก็ได้ แต่ก็ไม่อยากให้ทุกคนสาปส่งเค้า พอพวกเราซักถึงสาเหตุที่เอาไป พ.ก็บอกว่าเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ และคิดว่าไม่มีใครรู้ พ.ได้ขอโอกาสกับทุกคนให้เป็นเพื่อน เป็นพี่ที่ดีกันเหมือนเดิม และขอให้ไม่แจ้งความเพิ่ม ซึ่งตอนนั้นด้วยความสงสารที่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนก็ทำให้พวกเราใจอ่อน ยอมรับปากเค้า และขอให้เค้าอย่าไปทำแบบนี้ที่ไหนอีก แต่ยังไงก็ตาม พ.ยอมรับสารภาพ และคืนเงินแค่เคสล่าสุดที่เกิดเหตุ และอีกเคสก่อนหน้าแค่ครั้งเดียวเท่านั้น (คืนเงินทั้งหมด3พันบาท) ครั้งอื่นๆที่เกิดขึ้นกับคนอื่นมาเรื่อยๆ พ.ไม่รับสารภาพ หลังจากนั้นทางเอชอาร์ก็ได้ให้พ.เก็บของออกจากออฟฟิศไปตอนนั้นเลย พวกเราก็ยังได้มีการเดินไปส่ง น้องบางคนร้องไห้ ด้วยความรู้สึกหลายอย่างผสมปนเปกันไป ทั้งผิดหวัง เสียใจ เสียดายความรู้สึกดีๆและความเป็นเพื่อนที่เคยมีให้กันมา
หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่พูดถึงในออฟฟิศ เฟสบุคเค้าไม่ได้มีการอัพเดทอะไรหลังจากนั้น แต่พอหลังปีใหม่เราก็ได้รู้จากเพื่อนอีกคนที่ทำงานอยู่อีกออฟฟิศในฟลอร์เดียวกันว่า พ.มีการอัพเดทเฟสบุคตลอดเวลา แต่พวกเราไม่เห็น คาดว่าคงโดนซ่อนไว้ และพ.คงลืมซ่อนเพื่อนคนนี้ โดยวันที่เค้าออกจากที่นี่ไปด้วยการคร่ำครวญบอกว่ารู้สึกผิดและขอโอกาส เค้าก็ได้ไปกินบุฟเฟต์กับเพื่อนอย่างมีความสุข ทำให้เราเข้าใจชัดว่า ที่เค้ามาสารภาพคงเพราะ กลัวตำรวจ เพราะเราไปแจ้งความ และคงกลัวกระแสโซเชี่ยวจากที่เราตั้งสเตตัสในเฟสบุ๊ค
เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเราได้รู้ว่าคนที่กินข้าวด้วยกันทุกวัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน รู้จักบ้านกัน ก็ใช้ว่าจะเป็นคนดีพอและไว้ใจได้ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจค่ะ บางคนดูภายนอกดี การศึกษาดี ก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีค่ะ
แชร์ประสบการณ์จับเพื่อนร่วมงานขโมยเงินในออฟฟิศ
ทีแรกเลยก็ไม่ค่อยมีใครโวยวายอะไรมาก เนื่องจากแต่ละคนพอรู้ตัวว่าเงินหาย ก็มักจะรู้ด้วยความไม่แน่ใจ บางคนก็โวยวายออกมาบ้างว่า เงินหายไปไหน รู้สึกว่ามีเงินมากกว่านี้ แต่ด้วยความที่มันไม่ได้หายแบบชัดเจนมาก ก็เลยไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ นอกจากนั้นก็มีอีกหลายคนที่เงินหายแต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไรออกมา เนื่องจากไม่คิดว่าเงินจะหายที่ออฟฟิศ แต่พอเรื่องมันแดงชัดออกมา และรู้ตัวผู้ต้องสงสัย ก็ได้มีการพูดคุยกัน ถึงได้รู้ว่ารวมๆแล้วเงินของทุกคนที่โดนขโมยไปรวมๆแล้วก็เป็นหลักหมื่นขึ้นเลยทีเดียว
ขอเริ่มเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่เรารู้ตัวผู้ต้องสงสัยนะคะ เพราะเป็นจุดที่ทำให้พวกเราได้มาคุยกัน ถึงหลักฐาน ความเป็นไปได้ต่างๆ จนถึงวันที่จับคนที่ทำผิดได้ คือก่อนอื่นต้องบอกว่า ออฟฟิศเราเป็นออฟฟิศเล็กมากๆ มีพนักงานเพียงแค่ 12 คนเท่านั้น โดยฟลอร์ที่เราอยู่ จะแบ่งครึ่งกับอีกบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกัน แต่ดำเนินธุรกิจคนละอย่าง เพราะฉะนั้นโดยปกติในโซนของเราก็จะมีแต่บริษัทเรา พนักงานอีกฝั่งก็จะไม่ได้เดินมา เรียกได้ว่าค่อนข้างเป็นส่วนตัว คนนอกที่มาติดต่อก็ถือว่าน้อยมาก และถ้ามีใครที่แปลกๆเข้ามา ก็จะเป็นจุดเด่นเลย และที่ผ่านมาก็อยู่กันสงบสุข ไม่เคยมีใครของหาย ทุกคนก็ไม่เคยคิดว่าที่ออฟฟิศจะมีโจรได้ พูดง่ายๆว่าทุกคนไว้ใจกันหมด การวางกระเป๋าเงิน โทรศัพท์ ของมีค่าต่างๆ จึงเป็นเรื่องปกติ บางทีถอนเงินมาก็เอามานับที่โต๊ะไม่ได้แอบอะไรกัน
วันนั้นก็เป็นอีกวันที่เกิดเหตุการณ์เงินหาย ซึ่งถือว่าเป็นเคสที่ชัดเจนที่สุด เนื่องจากมีคนเงินหาย ถึง 2 คน ในคราวเดียว ตอนที่หายคือตอนกลางวัน ทุกคนออกไปทานข้าว บางส่วนลงไปข้างล่าง บางส่วนเดินไปทานข้าวที่ห้องแพนทรี่ที่อยู่ในฟลอร์เดียวกัน พอกลับมาจากพักกลางวัน ปรากฏว่ามีคนเงินหาย 2 คน สองพันบาท ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรา
เงินหายคราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เพราะเราเพิ่งถอนเงินมาเมื่อวาน และแบงก์พันที่หาย เลขแบงก์เรียงกัน เราเลยเก็บไว้ในอีกช่องแยกกับเงินที่ใช้ปกติ เพราะตั้งใจจะเก็บไว้ พอมาเปิดดู เลขตรงกลางหายไปเลขนึงเลยชัดว่าหาย ซึ่งพอมันหายไปแบบชัดๆว่าหายที่ออฟฟิศ และเพิ่งหายเมื่อกี้ตอนพักกลางวัน เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทางฝ่ายเอชอาร์ ก็ได้มีมาตรการแบ่งเวลาพักกลางวันเป็นสองช่วง เพื่อให้มีคนนั่งอยู่ที่ออฟฟิศตลอดเวลา ตอนแรกพวกเราก็สงสัยแม่บ้านคนนึง เพราะเหมือนจะเห็นเค้าเดินผ่านฝั่งออฟฟิศเราบ่อยผิดปกติ แต่ตอนหลังได้ไปดูภาพในกล้องวงจรปิดเลยได้รู้ว่า ไม่ใช่แม่บ้านคนนี้เนื่องจาก เวลาเข้าออกไม่ตรง ต้องบอกก่อนว่ากล้องวงจรปิดที่ออฟฟิศเรามีแค่จุดเดียว คือตรงทางเข้าข้างหน้า
ซึ่งพอดูการเข้าออกในกล้องวงจรปิดแล้วมันค่อนข้างสอดคล้องกับเพื่อนร่วมงานคนนึง ซึ่งที่น่าตกใจคือเป็นเพื่อนในกลุ่มเราเอง ที่ค่อนข้างจะสนิทกัน ขอเรียกผู้ต้องสงสัย (ซึ่งในภายหลังยอมรับผิด) ว่า พ. นะคะ พ.เข้ามาทำงานที่บริษัทเราตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่ง พ. เป็นคนที่ทำงานเก่ง เคยทำงานที่อื่นในสายงานเดียวกันมาก่อน แต่ที่เก่าๆที่เคยทำ ส่วนใหญ่ก็ทำอยู่แค่ประมาณ 4 – 6 เดือน ซึ่งพ.เป็นคนเล่าให้พวกเราฟังเอง เนื่องจากพ.เป็นคนคุยเก่ง อัธยาศัยดี และทำงานด้วยกันด้วย พ.จึงมาอยู่กับกลุ่มเราในเวลาไม่นาน เวลาไปกินข้าวกลางวันก็จะไปด้วยกัน หลังเลิกงานก็มีไปกินข้าว กินบุฟเฟต์ กันเป็นประจำ พ.เป็นผู้หญิงที่แอบติดหรูอยู่พอสมควร ชอบใช้ของแบรนด์เนม ชอบเที่ยวกลางคืนที่แพงๆ แถวเอกมัย ทองหล่อ ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับไลฟ์สไตล์ของพ. เข้าใจว่าที่บ้านพอมีฐานะ เนื่องจากพ.เรียนจบอินเตอร์มาจากมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
กลับมาถึงเหตุการณ์เมื่อต้นเดือนธันวาที่ทำให้สงสัย พ.ค่ะ วันนั้น พ.ไม่มากินข้าวกับเราตอนเที่ยง อ้างว่าไม่หิว แล้วหลังเกิดเรื่อง พ.ก็ลาป่วยกลับบ้านไป ทำให้เริ่มผิดสังเกตุ พอได้มาคุยกันทีหลัง ก็มีน้องคนนึงเดินกลับไปหยิบของที่โต๊ะตอนพักกลางวัน และเห็น พ.เดินออกมาจากทางโต๊ะของเรา ซึ่งอยู่คนละทางกับโต๊ะของ พ. และปกติพ. จะไม่ได้เดินเข้าไปทางนั้น
ด้วยเหตุการณ์ต่างๆที่ค่อนข้างชัด ทำให้เราเริ่มสงสัย พ. และสังเกตุพฤติกรรม พ.มากขึ้น วันรุ่นขึ้นพ.มาทำงาน แต่กลับไม่ถามเรา ซึ่งเป็นเพื่อนกัน และเงินหาย ว่าเงินหายเท่าไร หายได้ยังไง ทั้งๆที่เรื่องนี้กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในออฟฟิศวันนั้นเลย แต่พ.กลับไปถามเพื่อนอีกคน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่านายว่ายังไงบ้าง และพอคนอื่นมาก็เลิกถามเรื่องนี้
แต่ถึงจะมีพิรุธต่างๆ เราก็ยังไม่สามารถจะชี้ชัดไปได้เลยว่า พ.เป็นโจร เนื่องจากหลักฐานต่างๆ ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น และคาดว่าถ้าพูดไป พ.ก็คงปฏิเสธแน่ๆ
ช่วงนั้น เกือบทุกวันเราจะมีการพูดถึงเหตุการณ์นี้ ทำให้รู้ว่า ก่อนหน้านี้มีอีกหลายคนที่เงินหาย และพอทบทวนเหตุการณ์ก็ล้วนแต่มีความเป็นไปได้ว่า พ. เป็นคนหยิบไป แล้วก็มีปรึกษารวมหัวถึงวิธีการต่างๆ เช่นหลอกล่อให้มีการขโมยเกิดขึ้นอีกครั้งและหาหลักฐานแบบมัดตัว แต่ก็ยังไม่ได้วิธีที่จะทำได้จริงๆ ตอนนั้นเรายังไม่ได้ไปแจ้งความ เนื่องจากเอชอาร์ได้บอกว่า ฝ่ายบริหารกำลังพูดคุยเรื่องนี้อยู่ และจะมีมาตรฐานหรือการดำเนินการบางอย่างออกมา เราเลยไม่ได้ทำอะไร เพราะคิดว่าฝ่ายบริหารอาจมีวิธีการจับโจรหรืออะไรสักอย่างไม่ให้โจรรู้ตัว
สิ่งที่แย่ที่สุดของเหตุการณ์เงินหายในครั้งนี้ คือ พ. เป็นเพื่อนในกลุ่มที่สนิท และไว้ใจ กินข้าวด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน นั่งทำงานข้างๆกัน ไม่นึกและไม่อยากให้มาทำกันแบบนี้ ลึกๆแล้วก็ไม่อยากให้เป็นพ.เลย
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นก็กินเวลาประมาณสองอาทิตย์ ที่เรารอการดำเนินการจากเอชอาร์ ซึ่งก็มีการจับกลุ่มคุยเรื่องนี้กันทุกวัน 555 ซึ่งก็ยอมรับว่าพวกเราค่อนข้างตีตัวออกห่าง พ. แล้วก็มั่นใจว่า พ.ก็รู้สึกได้ว่าพวกเราไม่เหมือนเดิม
มาถึงจุดที่จับโจรได้กันค่ะ คือเราเริ่มรอไม่ไหวแล้วว่ายังไม่มีความคืบหน้าอะไรสักที เราเลยตัดสินใจไปแจ้งความกับน้องอีกคนที่เงินหายในคราวเดียวกัน พอตอนบ่ายวันนั้นเราก็ขึ้นสเตตัสในเฟสว่าที่ออฟฟิศเรามีโจร แล้วก็ด่าๆโจรไป (เราเป็นเพื่อนกับพ.ในเฟส) ซึ่งวันที่เราแจ้งความเป็นวันจันทร์ หลังจากเราไปแจ้งความ (ซึ่งพอกลับมาจากออฟฟิศก็พูดเรื่องแจ้งความกัน พ.ก็ได้ยิน) พ.ก็เงียบและหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด คงทั้งรู้เรื่องแจ้งความและเห็นโพสในเฟส พอวันอังคาร พ.ก็มาทำงานปกติ แต่วันนี้นับเป็นวันที่ พ.เงียบสุดตั้งแต่ทำงานมาเลย เพราะปกติ พ.เป็นคนคุยเก่ง เสียงดัง แต่วันนั้นพ.ไม่คุยกับใครเลยยกเว้นเรื่องงานนิดหน่อยเท่านั้น
พอถึงวันพุธตอนเช้า พี่เอชอาร์ก็เรียกคนที่โดนขโมยเงินเข้าห้องประชุม พอเข้าไปก็พบว่า พ.นั่งรออยู่ในห้อง หลังจากนั้นพี่เอชอาร์ก็พูดว่า วันนี้ พ. จะทำงานเป็นวันสุดท้าย ส่วนเรื่องเงินที่หายไปนั้น พ.ได้โทรมายอมรับกับพี่ว่าเป็นคนเอาไปเอง พ.ก็ได้พูดว่า พ.เป็นคนเอาไปเอง ขอโทษทุกๆคนที่ทำให้ผิดหวังในตัวพ. พ.รู้สึกละอายมาก และรู้สึกผิด พ.จะออกไปเลยก็ได้ ไม่สารภาพก็ได้ แต่ก็ไม่อยากให้ทุกคนสาปส่งเค้า พอพวกเราซักถึงสาเหตุที่เอาไป พ.ก็บอกว่าเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ และคิดว่าไม่มีใครรู้ พ.ได้ขอโอกาสกับทุกคนให้เป็นเพื่อน เป็นพี่ที่ดีกันเหมือนเดิม และขอให้ไม่แจ้งความเพิ่ม ซึ่งตอนนั้นด้วยความสงสารที่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนก็ทำให้พวกเราใจอ่อน ยอมรับปากเค้า และขอให้เค้าอย่าไปทำแบบนี้ที่ไหนอีก แต่ยังไงก็ตาม พ.ยอมรับสารภาพ และคืนเงินแค่เคสล่าสุดที่เกิดเหตุ และอีกเคสก่อนหน้าแค่ครั้งเดียวเท่านั้น (คืนเงินทั้งหมด3พันบาท) ครั้งอื่นๆที่เกิดขึ้นกับคนอื่นมาเรื่อยๆ พ.ไม่รับสารภาพ หลังจากนั้นทางเอชอาร์ก็ได้ให้พ.เก็บของออกจากออฟฟิศไปตอนนั้นเลย พวกเราก็ยังได้มีการเดินไปส่ง น้องบางคนร้องไห้ ด้วยความรู้สึกหลายอย่างผสมปนเปกันไป ทั้งผิดหวัง เสียใจ เสียดายความรู้สึกดีๆและความเป็นเพื่อนที่เคยมีให้กันมา
หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่พูดถึงในออฟฟิศ เฟสบุคเค้าไม่ได้มีการอัพเดทอะไรหลังจากนั้น แต่พอหลังปีใหม่เราก็ได้รู้จากเพื่อนอีกคนที่ทำงานอยู่อีกออฟฟิศในฟลอร์เดียวกันว่า พ.มีการอัพเดทเฟสบุคตลอดเวลา แต่พวกเราไม่เห็น คาดว่าคงโดนซ่อนไว้ และพ.คงลืมซ่อนเพื่อนคนนี้ โดยวันที่เค้าออกจากที่นี่ไปด้วยการคร่ำครวญบอกว่ารู้สึกผิดและขอโอกาส เค้าก็ได้ไปกินบุฟเฟต์กับเพื่อนอย่างมีความสุข ทำให้เราเข้าใจชัดว่า ที่เค้ามาสารภาพคงเพราะ กลัวตำรวจ เพราะเราไปแจ้งความ และคงกลัวกระแสโซเชี่ยวจากที่เราตั้งสเตตัสในเฟสบุ๊ค
เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเราได้รู้ว่าคนที่กินข้าวด้วยกันทุกวัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน รู้จักบ้านกัน ก็ใช้ว่าจะเป็นคนดีพอและไว้ใจได้ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจค่ะ บางคนดูภายนอกดี การศึกษาดี ก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีค่ะ