หลังจากที่รีวิวการแก้ปัญหาหนังหน้าผด หน้าแห้งของเราไปก่อนนี้แล้ว
(ในกระทู้นี้น๊า
http://ppantip.com/topic/35924828)
เราได้เกริ่นไปคร่าวๆ แล้วเนอะว่าจะมารีวิวมาร์กหน้าช่วยชีวิต ที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวหน้าแห้ง ลอกแถมยังไม่ติดทนเครื่องสำอางอีกต่างหาก
ด้วยสภาพหนังหน้าที่ไม่เอื้อต่อสารเคมีใดๆ ผิวแห้งแถมยังเจอสงครามผดและมรสุมรอยสิวอีก กว่าจะสู้รบปรบมือให้เม็ดผดบนหน้าหายไปได้ก็ใช้ความพยายามหลายวิธีอยู่ พอจะใช้อะไรบำรุงหน้าแต่ละทีเลยต้องดูให้ดีว่าอ่อนโยนต่อสภาพผิวหน้าเรามั้ย ตั้งแต่สิวบนหน้าลดลงไปเราก็พยายามบำรุงให้ผิวหน้าที่แห้งกลับมาชุ่มชื้น และรักษารอยสิวอย่างต่อเนื่อง
เมื่อก่อนเราจะใช้แผ่นมาร์กหน้า มาร์กทิ้งไว้ทั้งคืนแบบมารู้ตัวอีกทีก็ตอนตื่นนั่นแหละ คิดดูนะคะว่าขี้เกียจและขาดการเอาใจใส่แค่ไหน แต่พอเจอมรสุมสิวผดเข้าไป ไม่กล้าใช้แผ่นมาร์กหน้าต่ออีกเลย เพราะก่อนหน้านี้เราใช้ครีมมั่วและปรนบัติผิวหน้าแบบหยาบคายชนิดที่ตัวเองยังรู้สึกอายผู้ชายหลายๆ คนเลยอ่ะ
ตอนนี้ชีวิตก็เลย back to basic ค่ะ
หลังจากที่ได้ลองปรนนิบัติผิวหน้าด้วยธรรมชาติบำบัดมาหลายต่อหลายสูตร จะมาเล่าให้ฟังว่าอันไหนเวิร์คสุด แล้วถ้าใครจะเอาไปทำตามก็ไม่ว่ากันนะคะ (ทำไมเขียนประโยคนี้แล้วรู้สึกสวย 5555555)
เอ่อ สูตรแรกเป็นการ combine ระหว่างมะขามเปียกกับน้ำผึ้ง
เป็นการผสมผสานระหว่างความหวานและความเปรี้ยวอย่างลงตัว (หื้มม เอามาทาหน้าเน้าะ ไม่ใช่เอามากิน)
ซึ่งไปอ่านจากงานวิจัยมาว่ามะขามเปียก มีสรรพคุณที่เป็นกรด เอ เอช เอ (AHA) สามารถใช้ขัดผิวหน้า และผิวกาย หรือแม้กระทั่งจุดที่แห้งกร้าน ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสอย่างเป็นธรรมชาติ (ใช้แล้วรู้สึกแบบนั้นจริงๆ นะคะ ฟิลลิ่งแบบอั้มพัชรภาอะไรแบบนั้นเลย) ส่วนน้ำผึ้ง มีคุณสมบัติในการช่วยยืดอายุการชราของผิว คงความอ่อนเยาว์ให้กับผิว และช่วยฟื้นฟูผิว และยังมีสรรพคุณในการเป็นตัวกักเก็บน้ำที่ให้ความชุ่มชื้นไว้กับผิวด้วย
ทีนี้ จะมาเล่าถึงที่มาของสูตรนี้นะคะ คือวันนั้นเนี่ย เราไปดูหนังที่เฮาส์ RCA ดูหนังเสร็จเลยลงไปที่ TOPS เพื่อซื้อของมาทำอาหาร เดินๆ อยู่โซนของสดอยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายเบ้าดีว้าบผ่านสายตาเข้ามา มือไม้แขนขาชาไปหมดเลยค่ะ เหมือนโดนลงคาถา เสกยันต์ ลงมนตรา อยู่ดีๆ ก็ก้าวขา เดินสาวเท้าตามผู้เบ้าดีคนนั้นไปแบบไร้สติ
มารู้ตัวอีกที ผู้เบ้าดีคนนี้ก็กำลังยืนเลือกน้ำผึ้งอยู่ค่ะ
เลยใช้โอกาสที่มีเข้าไปเลือกน้ำผึ้งขวดข้างๆ บ้าง
(ใครจะไปรู้ว่าตอนห้าทุ่ม ที่หวานกว่าน้ำผึ้งใน TOPS RCA ก็คู่เรานี่หละเน้าะ ฮิฮิ)
หนึ่งนาทีผ่านไป ไวเหมือนโกหก
ตื่นค่าซิส! !! เค้าเดินไปไหนต่อไหนแล้วเน้าะ
มารู้ตัวอีกทีก็ถือน้ำผึ้งสวนจิรดาตามผู้เบ้าดีออกมาแล้ว แต่เค้าหายไปไหนไม่รู้ เราก็เลยแก้เขินด้วยการไปซื้อมะขามเปียกมา เพราะจำได้ว่าแม่เคยเอาสองอย่างนี้มามาร์กหน้า แล้วแม่บอกว่าเป็นมาร์กที่ดี (จบการรีวิวที่มาของสูตรมะขามเปียกน้ำผึ้งแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีค่า หื้มมม)
นั่นแหละค่ะ
กลับมาที่สาระกันเถอะค่ะ ชีวิตไร้ระเบียบเพราะขาดสติมาหลายทีแล้วเน้าะ
ทีนี้จะมาแนะนำเทคนิคการผสมมาร์กหน้าสูตรดั้งเดิมที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทวดสู่ยาย ยายสู่แม่ และแม่ถ่ายทอดมาให้เรา (แหมม ถ้าไม่เจอผู้เบ้าดีก็คงไม่นึกถึงสูตรนี้นะค๊าซิสส 5555)
ส่วนผสมหลักมีตามนี้นะคะ
1. น้ำผึ้งแท้ 100% ย้ำว่าต้อง 100% นะคะ เพราะในท้องตลาดมีน้ำตาลเชื่อมผสมกลิ่นน้ำผึ้งอยู่หลายยี่ห้อเลย ถ้าเอาน้ำเชื่อมมาใช้ หน้าอาจจะพังได้เน้าะ
2. มะขามเปียก ปกติแล้ว เราก็ใช้มะขามเปียกที่เค้าเอามาขายตามท้องตลอดทั่วไปเพื่อใช้ปรุงอาหารนี่แหละค่ะ แต่ว่าไม่ต้องกลัวว่าจะขึ้นรานะคะ เพราะมะขามเปียกที่เค้าเอามาขายกันนี่ผ่านกรรมวิธีการนึ่งเรียบร้อยแล้ว หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเลือกดีๆ ค่ะ วิธีการเลือก เลือกแบบที่เนื้อฟูๆ หน่อยนะคะ เวลาเอามามาร์กหน้า มะขามเปียกเนื้อฟูๆ เนื้อละเอียดค่อนข้างจะซึมซาบสู่ผิวและละคายผิวน้อยกว่า
พอได้ส่วนผสมที่ลงตัวแล้วก็มาผสมกันเลยค่ะ
นำเนื้อมะขามเปียกมาผสมน้ำผึ้ง ลองกะๆ เอานะคะ ไม่แนะนำให้ใช้น้ำผึ้งเยอะนะคะ เพราะว่าถ้ามันแฉะเกินไป จะทำให้หน้าเยิ้มตอนมาร์กค่ะ พอคลุกเคล้าระหว่างมะขามเปียกกับน้ำผึ้งให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วก็มาละเลงที่ผิวหน้าเลยค่ะ
อ้อ ก่อนมาร์กหน้าควรล้างหน้าให้สะอาดก่อนนะคะ ล้างหน้าพอให้ผิวหมาดๆ แล้วก็ลงเนื้อมะขามเปียกโลด
ทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาดนะคะ
ปล. แนะนำให้ทำก่อนนอน ล้างออกแล้วทาครีมบำรุงต่อแล้วก็เข้านอนค่ะ ตื่นเช้ามาจะสัมผัสได้ว่าหน้าหน้าดี ผิวฟู แต่งหน้าแล้วเครื่องสำอางค์ติดตลอดทั้งวันเลยย คือแค่วันแรกก็เห็นผลแล้ว มันดีมากเลย
ทีนี้ ข้อดีก็มีตามที่ได้กล่าวไป ทีนี้สูตรนี้มันก็ดี และประหยัดค่ะ แต่เวลาล้างหน้าทีไร เศษมะขามเปียกกระจุยกระจายในห้องน้ำ ตามเช็ดไม่หวาดไม่หวั่น โดนพ่อกับน้องชายผู้ที่ไม่เข้าใจว่าเรากับแม่มาร์กหน้าด้วยอะไรบ่นแล้วบ่นอีก 5555
ก็ดูสภาพที่เรามาร์กหน้าสิคะ ตอนมาร์กก็น่ากลัวแล้ว พอตอนล้างหน้า เศษมะขามเปียกหยึยกว่าอีก 5555
ถึงจะได้ผลดียังไงก็ตาม แต่ขั้นตอนการมาร์กหน้านี่นานแล้วก็เลอะเทอะมากเลย สูตรนี้จึงเหมาะกับคนที่มีเวลาว่างมากกว่า
หลังๆ มามันง่ายๆ คือทาแล้วนอนเลย ตื่นมาค่อยล้างทีเดียววว ! (นั่นไง ความขี้เกียจของชะนี)
เอาเป็นว่าสำหรับสูตรนี้ นานๆ ทีค่อยทำแล้วกันเน้าะ
ช่วงหลังๆ มาเลยเปลี่ยนมาหามาร์กอะไรที่มันมีขั้นตอนง่ายๆ ในราคาประหยัด เพราะว่าช่วงนี้จนมาก ต้องเก็บตังค์ไปหาผู้ที่เกาหลี (ผู้ชายสองมิติอ่ะ ไปแอบดู แอบถ่ายรูปแค่นั้นแหละ 555 ไว้จะมารีวิวน้ะจ้ะ ปลายเดือนกุมภานี้เจอกัลล คิคิ) ก็เลยต้องประหยัดงบบำรุงหน้าหน่อยเน้าะ
นอกจากจะไม่ใช้แผ่นมาร์กแล้ว เราก็จะไม่ซื้อมาร์กแพงด้วย ทีนี้ก็เดินเข้าเซเว่นรัวเลยค่า ตามเช็คของในเซเว่นหน่อยย คิคิ
5 นาทีผ่านไป เดินกลับบ้านด้วยความสบายใจพร้อมมาร์เจลแบบใหม่ ราคาสบายกระเป๋าติดตัวมา 3 อันค่ะ คือกะจะเอามาลองก่อนว่าอันไหนไปกันได้กับหนังหน้าเรา ก็เลยเลือกมาสามตัว
ตัวแรกที่ทดลองคือ Smooto ตัวนี้ เค้าดูปลอดภัยสุดในบรรดามาร์กหน้าใน 7-11 แถวบ้านแล้วไง
ครั้งแรกเป็นการทดลอง
มาดูเนื้ออเจลกันค่ะ
นี่เลย แบบนี้เลย ใสๆ ชมพูๆ เน้าะ
ทีนี้ก่อนใช้ก็สวดมนต์นิดนิง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ถ้าหน้าจะพังก็ขอให้คันตั้งแต่สาม-ห้านาทีแรกเลย 5555
แต่ปรากฎว่าตอนทาลงบนหน้าแล้วไม่คันเลย รู้สึกชุ่มชื้นบนผิวหน้ามาก รู้สึกดีกว่าตอนใช้แผ่นมาร์กหน้าทั่วไปและแน่นอนค่ะ ไม่รู้สึกยิบยับๆ แบบตอนที่ใช้มะขามเปียก 55555
ตอนล้างออก ก็ง่ายมากๆ เลยค่ะ
ไม่รู้สึกแสบหน้า และที่สำคัญล้างแล้วพื้นห้องน้ำไม่เลอะและได้ผลใกล้เคียงกับตอนใช้น้ำผิ้งมะขามเปียกมาก รักอ่ะ ให้ผ่านๆ
แล้วก็มาถึงตัวที่สองค่ะ
ตัวนี้หน้าซองเค้าเคลมมาว่าเป็นสินค้าส่งตรงจากเกาหลีเลยจ้า เป็นมาร์กหน้าแบบทูอินวันสเนลฮันนี่จินเส็งและโกลด์สลีปปิ้งเซรั่ม
อ่ะ เนื้อมาร์กก็ประมาณนี้นะคะ ใสๆ สีน้ำผึ้งผสมเกล็ดทองคำ เนื้อมาร์กคล้ายๆ กับสมูทโตะหละ แต่กลิ่นแอบฉุนไปนิดนึง
พอเอาเนื้อมาทาหน้าก็เริ่มรู้สึกว่าคันยิบๆ คือหน้าเราอาจจะบางก็ได้ กลัวจะแพ้ก็เลยทิ้งไว้แค่ 5 นาทีแล้วล้างออกค่ะ
ตัวนี้เนื้อเจลโอเค ทาง่ายนะ ถ้าไม่ติดว่ากลิ่นฉุนไปนิดนึงก็จะดีมาก แต่ก็อย่างว่าแหละ ช่วงนี้ผิวหน้าเราอ่อนแอ ก็เลยไม่กล้าทิ้งไว้นาน
ก็เลยโบกมือลากับมาร์กตัวนี้ค่ะ
ตัวสุดท้ายแล้วค่ะ
Best Korea
หน้าลอกงี้เลยค่ะ น่าจะเหมาะกับคนที่ต้องการผลัดเซลล์ผิวนะ แล้วก็แอบเลอะทะตอนทาด้วยหละ ต้องระวังค่ะ
ถ้าพูดถึงเนื้อมาร์ก เราใช้แล้วไม่แสบไม่คันค่ะ แต่ด้วยผิวหน้าเราขนเยอะ ตอนลอกหน้าทรมานมาก น้ำตาไหลซิปๆ แล้วก็มาร์กตัวนี้ไม่ได้ตอบโจทย์เราเลยซักนิด (นี่ซื้อผิดเอง 5555) เพราะว่าเราอยากได้ผลิตภัฑณ์ที่ช่วยบำรุงผิวหน้า ให้ความชุ่มชื้น ก็เลยโบกมือลาตัวมาส์กลอกหน้าถ่านภูเขาไฟนี้ไปปป บ้ายบายยย..
นอกจากน้ำผึ้งมะขามเปียกก็มี smooto นี่แหละที่ใช้แล้วติดใจและไม่แพ้เลย
อร้าย ชั้นรักเค้าาาา !!! !
[CR] รีวิวมาส์กกู้ผิวหน้าแห้ง แบบ D.I.Y เทียบมาส์กหน้าแบบซอง
(ในกระทู้นี้น๊า http://ppantip.com/topic/35924828)
เราได้เกริ่นไปคร่าวๆ แล้วเนอะว่าจะมารีวิวมาร์กหน้าช่วยชีวิต ที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวหน้าแห้ง ลอกแถมยังไม่ติดทนเครื่องสำอางอีกต่างหาก
ด้วยสภาพหนังหน้าที่ไม่เอื้อต่อสารเคมีใดๆ ผิวแห้งแถมยังเจอสงครามผดและมรสุมรอยสิวอีก กว่าจะสู้รบปรบมือให้เม็ดผดบนหน้าหายไปได้ก็ใช้ความพยายามหลายวิธีอยู่ พอจะใช้อะไรบำรุงหน้าแต่ละทีเลยต้องดูให้ดีว่าอ่อนโยนต่อสภาพผิวหน้าเรามั้ย ตั้งแต่สิวบนหน้าลดลงไปเราก็พยายามบำรุงให้ผิวหน้าที่แห้งกลับมาชุ่มชื้น และรักษารอยสิวอย่างต่อเนื่อง
เมื่อก่อนเราจะใช้แผ่นมาร์กหน้า มาร์กทิ้งไว้ทั้งคืนแบบมารู้ตัวอีกทีก็ตอนตื่นนั่นแหละ คิดดูนะคะว่าขี้เกียจและขาดการเอาใจใส่แค่ไหน แต่พอเจอมรสุมสิวผดเข้าไป ไม่กล้าใช้แผ่นมาร์กหน้าต่ออีกเลย เพราะก่อนหน้านี้เราใช้ครีมมั่วและปรนบัติผิวหน้าแบบหยาบคายชนิดที่ตัวเองยังรู้สึกอายผู้ชายหลายๆ คนเลยอ่ะ
ตอนนี้ชีวิตก็เลย back to basic ค่ะ
หลังจากที่ได้ลองปรนนิบัติผิวหน้าด้วยธรรมชาติบำบัดมาหลายต่อหลายสูตร จะมาเล่าให้ฟังว่าอันไหนเวิร์คสุด แล้วถ้าใครจะเอาไปทำตามก็ไม่ว่ากันนะคะ (ทำไมเขียนประโยคนี้แล้วรู้สึกสวย 5555555)
เอ่อ สูตรแรกเป็นการ combine ระหว่างมะขามเปียกกับน้ำผึ้ง
เป็นการผสมผสานระหว่างความหวานและความเปรี้ยวอย่างลงตัว (หื้มม เอามาทาหน้าเน้าะ ไม่ใช่เอามากิน)
ซึ่งไปอ่านจากงานวิจัยมาว่ามะขามเปียก มีสรรพคุณที่เป็นกรด เอ เอช เอ (AHA) สามารถใช้ขัดผิวหน้า และผิวกาย หรือแม้กระทั่งจุดที่แห้งกร้าน ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสอย่างเป็นธรรมชาติ (ใช้แล้วรู้สึกแบบนั้นจริงๆ นะคะ ฟิลลิ่งแบบอั้มพัชรภาอะไรแบบนั้นเลย) ส่วนน้ำผึ้ง มีคุณสมบัติในการช่วยยืดอายุการชราของผิว คงความอ่อนเยาว์ให้กับผิว และช่วยฟื้นฟูผิว และยังมีสรรพคุณในการเป็นตัวกักเก็บน้ำที่ให้ความชุ่มชื้นไว้กับผิวด้วย
ทีนี้ จะมาเล่าถึงที่มาของสูตรนี้นะคะ คือวันนั้นเนี่ย เราไปดูหนังที่เฮาส์ RCA ดูหนังเสร็จเลยลงไปที่ TOPS เพื่อซื้อของมาทำอาหาร เดินๆ อยู่โซนของสดอยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายเบ้าดีว้าบผ่านสายตาเข้ามา มือไม้แขนขาชาไปหมดเลยค่ะ เหมือนโดนลงคาถา เสกยันต์ ลงมนตรา อยู่ดีๆ ก็ก้าวขา เดินสาวเท้าตามผู้เบ้าดีคนนั้นไปแบบไร้สติ
มารู้ตัวอีกที ผู้เบ้าดีคนนี้ก็กำลังยืนเลือกน้ำผึ้งอยู่ค่ะ
เลยใช้โอกาสที่มีเข้าไปเลือกน้ำผึ้งขวดข้างๆ บ้าง
(ใครจะไปรู้ว่าตอนห้าทุ่ม ที่หวานกว่าน้ำผึ้งใน TOPS RCA ก็คู่เรานี่หละเน้าะ ฮิฮิ)
หนึ่งนาทีผ่านไป ไวเหมือนโกหก
ตื่นค่าซิส! !! เค้าเดินไปไหนต่อไหนแล้วเน้าะ
มารู้ตัวอีกทีก็ถือน้ำผึ้งสวนจิรดาตามผู้เบ้าดีออกมาแล้ว แต่เค้าหายไปไหนไม่รู้ เราก็เลยแก้เขินด้วยการไปซื้อมะขามเปียกมา เพราะจำได้ว่าแม่เคยเอาสองอย่างนี้มามาร์กหน้า แล้วแม่บอกว่าเป็นมาร์กที่ดี (จบการรีวิวที่มาของสูตรมะขามเปียกน้ำผึ้งแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีค่า หื้มมม)
นั่นแหละค่ะ
กลับมาที่สาระกันเถอะค่ะ ชีวิตไร้ระเบียบเพราะขาดสติมาหลายทีแล้วเน้าะ
ทีนี้จะมาแนะนำเทคนิคการผสมมาร์กหน้าสูตรดั้งเดิมที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทวดสู่ยาย ยายสู่แม่ และแม่ถ่ายทอดมาให้เรา (แหมม ถ้าไม่เจอผู้เบ้าดีก็คงไม่นึกถึงสูตรนี้นะค๊าซิสส 5555)
ส่วนผสมหลักมีตามนี้นะคะ
1. น้ำผึ้งแท้ 100% ย้ำว่าต้อง 100% นะคะ เพราะในท้องตลาดมีน้ำตาลเชื่อมผสมกลิ่นน้ำผึ้งอยู่หลายยี่ห้อเลย ถ้าเอาน้ำเชื่อมมาใช้ หน้าอาจจะพังได้เน้าะ
2. มะขามเปียก ปกติแล้ว เราก็ใช้มะขามเปียกที่เค้าเอามาขายตามท้องตลอดทั่วไปเพื่อใช้ปรุงอาหารนี่แหละค่ะ แต่ว่าไม่ต้องกลัวว่าจะขึ้นรานะคะ เพราะมะขามเปียกที่เค้าเอามาขายกันนี่ผ่านกรรมวิธีการนึ่งเรียบร้อยแล้ว หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเลือกดีๆ ค่ะ วิธีการเลือก เลือกแบบที่เนื้อฟูๆ หน่อยนะคะ เวลาเอามามาร์กหน้า มะขามเปียกเนื้อฟูๆ เนื้อละเอียดค่อนข้างจะซึมซาบสู่ผิวและละคายผิวน้อยกว่า
พอได้ส่วนผสมที่ลงตัวแล้วก็มาผสมกันเลยค่ะ
นำเนื้อมะขามเปียกมาผสมน้ำผึ้ง ลองกะๆ เอานะคะ ไม่แนะนำให้ใช้น้ำผึ้งเยอะนะคะ เพราะว่าถ้ามันแฉะเกินไป จะทำให้หน้าเยิ้มตอนมาร์กค่ะ พอคลุกเคล้าระหว่างมะขามเปียกกับน้ำผึ้งให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วก็มาละเลงที่ผิวหน้าเลยค่ะ
อ้อ ก่อนมาร์กหน้าควรล้างหน้าให้สะอาดก่อนนะคะ ล้างหน้าพอให้ผิวหมาดๆ แล้วก็ลงเนื้อมะขามเปียกโลด
ทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาดนะคะ
ปล. แนะนำให้ทำก่อนนอน ล้างออกแล้วทาครีมบำรุงต่อแล้วก็เข้านอนค่ะ ตื่นเช้ามาจะสัมผัสได้ว่าหน้าหน้าดี ผิวฟู แต่งหน้าแล้วเครื่องสำอางค์ติดตลอดทั้งวันเลยย คือแค่วันแรกก็เห็นผลแล้ว มันดีมากเลย
ทีนี้ ข้อดีก็มีตามที่ได้กล่าวไป ทีนี้สูตรนี้มันก็ดี และประหยัดค่ะ แต่เวลาล้างหน้าทีไร เศษมะขามเปียกกระจุยกระจายในห้องน้ำ ตามเช็ดไม่หวาดไม่หวั่น โดนพ่อกับน้องชายผู้ที่ไม่เข้าใจว่าเรากับแม่มาร์กหน้าด้วยอะไรบ่นแล้วบ่นอีก 5555
ก็ดูสภาพที่เรามาร์กหน้าสิคะ ตอนมาร์กก็น่ากลัวแล้ว พอตอนล้างหน้า เศษมะขามเปียกหยึยกว่าอีก 5555
ถึงจะได้ผลดียังไงก็ตาม แต่ขั้นตอนการมาร์กหน้านี่นานแล้วก็เลอะเทอะมากเลย สูตรนี้จึงเหมาะกับคนที่มีเวลาว่างมากกว่า
หลังๆ มามันง่ายๆ คือทาแล้วนอนเลย ตื่นมาค่อยล้างทีเดียววว ! (นั่นไง ความขี้เกียจของชะนี)
เอาเป็นว่าสำหรับสูตรนี้ นานๆ ทีค่อยทำแล้วกันเน้าะ
ช่วงหลังๆ มาเลยเปลี่ยนมาหามาร์กอะไรที่มันมีขั้นตอนง่ายๆ ในราคาประหยัด เพราะว่าช่วงนี้จนมาก ต้องเก็บตังค์ไปหาผู้ที่เกาหลี (ผู้ชายสองมิติอ่ะ ไปแอบดู แอบถ่ายรูปแค่นั้นแหละ 555 ไว้จะมารีวิวน้ะจ้ะ ปลายเดือนกุมภานี้เจอกัลล คิคิ) ก็เลยต้องประหยัดงบบำรุงหน้าหน่อยเน้าะ
นอกจากจะไม่ใช้แผ่นมาร์กแล้ว เราก็จะไม่ซื้อมาร์กแพงด้วย ทีนี้ก็เดินเข้าเซเว่นรัวเลยค่า ตามเช็คของในเซเว่นหน่อยย คิคิ
5 นาทีผ่านไป เดินกลับบ้านด้วยความสบายใจพร้อมมาร์เจลแบบใหม่ ราคาสบายกระเป๋าติดตัวมา 3 อันค่ะ คือกะจะเอามาลองก่อนว่าอันไหนไปกันได้กับหนังหน้าเรา ก็เลยเลือกมาสามตัว
ตัวแรกที่ทดลองคือ Smooto ตัวนี้ เค้าดูปลอดภัยสุดในบรรดามาร์กหน้าใน 7-11 แถวบ้านแล้วไง
ครั้งแรกเป็นการทดลอง
มาดูเนื้ออเจลกันค่ะ
นี่เลย แบบนี้เลย ใสๆ ชมพูๆ เน้าะ
ทีนี้ก่อนใช้ก็สวดมนต์นิดนิง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ถ้าหน้าจะพังก็ขอให้คันตั้งแต่สาม-ห้านาทีแรกเลย 5555
แต่ปรากฎว่าตอนทาลงบนหน้าแล้วไม่คันเลย รู้สึกชุ่มชื้นบนผิวหน้ามาก รู้สึกดีกว่าตอนใช้แผ่นมาร์กหน้าทั่วไปและแน่นอนค่ะ ไม่รู้สึกยิบยับๆ แบบตอนที่ใช้มะขามเปียก 55555
ตอนล้างออก ก็ง่ายมากๆ เลยค่ะ
ไม่รู้สึกแสบหน้า และที่สำคัญล้างแล้วพื้นห้องน้ำไม่เลอะและได้ผลใกล้เคียงกับตอนใช้น้ำผิ้งมะขามเปียกมาก รักอ่ะ ให้ผ่านๆ
แล้วก็มาถึงตัวที่สองค่ะ
ตัวนี้หน้าซองเค้าเคลมมาว่าเป็นสินค้าส่งตรงจากเกาหลีเลยจ้า เป็นมาร์กหน้าแบบทูอินวันสเนลฮันนี่จินเส็งและโกลด์สลีปปิ้งเซรั่ม
อ่ะ เนื้อมาร์กก็ประมาณนี้นะคะ ใสๆ สีน้ำผึ้งผสมเกล็ดทองคำ เนื้อมาร์กคล้ายๆ กับสมูทโตะหละ แต่กลิ่นแอบฉุนไปนิดนึง
พอเอาเนื้อมาทาหน้าก็เริ่มรู้สึกว่าคันยิบๆ คือหน้าเราอาจจะบางก็ได้ กลัวจะแพ้ก็เลยทิ้งไว้แค่ 5 นาทีแล้วล้างออกค่ะ
ตัวนี้เนื้อเจลโอเค ทาง่ายนะ ถ้าไม่ติดว่ากลิ่นฉุนไปนิดนึงก็จะดีมาก แต่ก็อย่างว่าแหละ ช่วงนี้ผิวหน้าเราอ่อนแอ ก็เลยไม่กล้าทิ้งไว้นาน
ก็เลยโบกมือลากับมาร์กตัวนี้ค่ะ
ตัวสุดท้ายแล้วค่ะ
Best Korea
หน้าลอกงี้เลยค่ะ น่าจะเหมาะกับคนที่ต้องการผลัดเซลล์ผิวนะ แล้วก็แอบเลอะทะตอนทาด้วยหละ ต้องระวังค่ะ
ถ้าพูดถึงเนื้อมาร์ก เราใช้แล้วไม่แสบไม่คันค่ะ แต่ด้วยผิวหน้าเราขนเยอะ ตอนลอกหน้าทรมานมาก น้ำตาไหลซิปๆ แล้วก็มาร์กตัวนี้ไม่ได้ตอบโจทย์เราเลยซักนิด (นี่ซื้อผิดเอง 5555) เพราะว่าเราอยากได้ผลิตภัฑณ์ที่ช่วยบำรุงผิวหน้า ให้ความชุ่มชื้น ก็เลยโบกมือลาตัวมาส์กลอกหน้าถ่านภูเขาไฟนี้ไปปป บ้ายบายยย..
นอกจากน้ำผึ้งมะขามเปียกก็มี smooto นี่แหละที่ใช้แล้วติดใจและไม่แพ้เลย
อร้าย ชั้นรักเค้าาาา !!! !