จากหัวใจของคนเป็นตำรวจ กรณี คดี แพะ อดีตคุณครู..

.....สวัสดีครับ เพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกท่าน  ก่อนอื่น ผมขอแสดงความเสียใจและเห็นใจอย่างสุดซึ้งกับคุณครูและครอบครัว ที่ประสบความทุกข์ยากลำบากทั้งกายใจ โดยที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดแต่อย่างใด

     ตำรวจเป็นอาชีพเดียวที่ผมไฝ่ฝันและตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นมาตั้งแต่เด็ก  ผมเป็นตำรวจครับเพื่อนๆ  เคยเป็นพนักงานสอบสวน(ภาษาชาวบ้านคือร้อยเวรนั่นแหละครับ) ทำมาทั้งสำนวนคดีอาญาและจราจร มาตั้งแต่เป็นรองสารวัตร ปี 42-ต้นปี 51 ก่อนย้ายออกมารับตำแหน่งอื่น  ตอนคดีของคุณครูเกิด ผมยังเป็นพนักงานสอบสวนอยู่ครับ  อยากเรียนเพื่อนๆ และพี่น้องประชาชนด้วยความสัตย์จริงว่า...ตัวผมและเชื่อว่า ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนหรือที่เคยเป็นทั้งหมด คงมึนงงอย่างหนักว่า คดีจราจร ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ไม่แจ้งเหตุฯ ..ธรรมดาๆ อย่างนี้  ทำไม มันถึงกลับกลายเป็นคนบริสุทธิ์ (เป็นข้าราชการครูด้วย) ต้องมารับโทษที่ตนไม่ได้ก่อด้วย   ความจริงเส้นทางคดีความผิดเกี่ยวกับจราจรมันพื้นๆ ธรรมดาๆ ไม่สลับซับซ้อนอะไรเลย  แต่รายละเอียดเกี่ยวกับคดีนี้ผมไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร  เพื่อนๆ ครับ ผมใคร่ขออนุญาตอธิบายแนวทางของคดีจราจรอย่างนี้ให้เพื่อนๆ รับทราบคร่าวๆ ครับ

    สมมุติว่า คดีจราจรชนแล้วหนีอย่างเดียวกับคดีนี้ วิธีปฏิบัติคือ เมื่อร้อยเวรสอบสวน ได้รับแจ้งเหตุ ว.40(อุบัติเหตุรถชน)  มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บแล้วหลบหนี  แนวทางจะเริ่มที่จะมีสายตรวจหรือจราจรท้องที่ ไปดูที่เกิดเหตุก่อน แล้วร้อยเวรซึ่งอยู่ที่โรงพักจะแจ้งแพทย์เวรเพื่อร่วมชันสูตรพลิกศพด้วยกัน และออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ตรวจหาร่องรอยการเฉี่ยวชนพยานหลักฐานต่างๆ ถ่ายภาพทำแผนที่เกิดเหตุ สอบถามพยานผู้เห็นเหตุการณ์ถึงลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ และประเภทหมายเลขทะเบียน สี ยี่ห้อ ของรถที่หลบหนี  สมมุติได้หมายเลขทะเบียนและยี่ห้อเหมือนๆ คดีนี้  ร้อยเวรก็จะตรวจสอบหาเจ้าของรถ แล้วออกหมายเรียกหรือเชิญมาพบโดยให้นำรถคันดังกล่าวมาด้วย ....
    ตรงนี้แหละครับ สำคัญมาก  คดีจราจรส่วนใหญ่ พยานบุคคลอาจไม่ใช่พยานที่รับฟังได้มากที่สุด เพราะเหตุเกิดช่วงแว่บเดียว พยานอาจจดจำพยานพวกยี่ห้อหมายเลขทะเบียนรถรวมถึงหมวดอักษร จังหวัด คลาดเคลื่อนได้เป็นเรื่องปกติ  แต่พยานหลักฐานที่สำคัญที่สุดมันอยู่ที่การตรวจพิสูจน์หาร่องร่อยการเฉี่ยวชนครับ  ปี 48 นี่ ผมยังเป็นร้อยเวรสอบสวนอยู่ที่จังหวัดลพบุรี จำได้ว่า มีตำรวจวิทยาการจากกองพิสูจน์หลักฐานอยู่ที่ตัวจังหวัดอยู่แล้ว  (เป็นตำรวจคนละหน่วยกับตำรวจท้องที่ไม่ได้ขึ้นกับภธรจังหวัดหรือภาค) วิธีการเราจะเชิญตำรวจวิทยาการมาตรวจพิสูจน์ร่องรอยต่างๆ เช่นสีที่ติดกับรถอีกคัน ร่องบุบรอยถลอกที่เข้ากันกับรอยที่รถที่ถูกชน แม้ไปซ่อมหรือทำสีมาดีขนาดไหน กองพิสูจน์หลักฐานเขาก็ตรวจสอบได้ บางเคสเขาก็จำลองเหตุการณ์เลยครับ พยานอย่างนี้เขาเรียกพยานผู้ชำนาญการซึ่งศาลรับฟังครับ  อย่างที่เรียนเพื่อนๆ ไปข้างต้น คดีจราจรอย่างนี้ ไม่ได้สลับซับซ้อน  และยากมากที่ผู้ต้องหาคดีอย่างนี้จะไม่ใช่ผู้กระทำความผิด   ผมถึงงงมากว่า คดีคุณครูนี้มันเป็นไปได้อย่างไร มันมีพยานหลักฐานใด ถึงทำให้พนักงานสอบสวน ทั้งอัยการ ทั้งศาล  ก็เชื่อว่า คุณครูเป็นผู้กระทำความผิดในดคีนี้ (คือสำนวนเรื่มจากพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง ส่งไปอัยการ อัยการพิจารณาแล้ว มีความเห็นสั่งฟ้องไปยังศาล  และชั้นศาลยังต่อสู้คดีถึง 3 ศาล )  

    ที่ผมกล่าวมาข้างบน หมายถึงคดีจราจรชนแล้วหนีทั่วๆ ไปนะครับ  แต่คดีคุณครู ผมไม่มีข้อมูล ไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคดี  แต่เชื่อว่า อีกไม่นานคงมีความกระจ่างแน่นอน  ผมขออนุญาตนำเสนอและแลกเปลี่ยนความเห็นกับเพื่อนๆ แค่นี้ก่อน  พี่เพื่อนน้อง พนักงานสอบสวนของตำรวจ หรือเพื่อนๆ ท่านใดมีข้อเสนอแนะอะไร ผมและเพื่อนตำรวจยินดีรับฟังครับ  .....เพื่อนๆ ครับ  ตำรวจตำหนิได้ วิจารณ์ได้เสมอ เพราะพวกเราทำงานกินเงินเดือนจากเงินภาษีของพี่น้องประชาชน พวกท่านเป็นนายของตำรวจ  พวกเรายินดีและน้อมรับครับ เพียงแต่บางเรื่องใคร่ขอรบกวนชี้แจงข้อเท็จจริงบ้างเท่านั้น ขอบคุณเพื่อนๆ ครับ

    ขออนุญาต เพื่อนๆ เพิ่มเติมตรงนี้ครับ  ที่เพื่อนๆ หลายท่านต่อว่าตำรวจ ผมเข้าใจดีและน้อมรับทุกความเห็นโดยไม่มีข้อแม้ครับ เพราะหลายๆ เรื่องก็เป็นจริงอย่างที่เพื่อนๆ กล่าว  ... เพื่อนๆ ครับ คดีนี้สะเทือนใจพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ คนบริสุทธิ์ต้องติดคุกทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด สูญเสียทุกอย่างในชีวิต....ผมว่า  ผู้หลักผู้ใหญ่ในกระบวนการยุติธรรม  คงต้องออกมาทำความจริงให้กระจ่าง  คนผิดไม่ว่าใครต้องถูกลงโทษ และคุณครูต้องได้รับการเยียวยาและชดเชยอย่างดีที่สุด  ..ขอบคุณครับ

   สวัสดีอีกครั้งและขอบคุณเพื่อนๆ ที่มาร่วมแสดงความเห็นหลากหลาย ส่วนตัวผม หลังจากได้รับฟังข้อมูลจากทางพนักงานสอบสวนและทางอัยการที่ปรากฎทางสื่อมาบ้าง  ผมขออนุญาตแสดงความเห็นเพิ่มเติมตรงๆ เป็นข้อสังเกตุเล็กๆ ประกอบกระทู้ดังนี้ และขอเรียนว่า ผมแสดงความเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่งนะครับ
   1.ทางพนักงานสอบสวนและทางอัยการบอกว่า ผู้ต้องหา(คุณครู) ให้การปฏิเสธไม่ขอให้การในชั้นสอบสวนถื่อว่าเป็นจุดอ่อน   จากประสบการณ์การเป็นพนักงานสอบสวนมาหลายปี ความเห็นส่วนตัวผมว่า ตอนเรียกผู้ต้องหามาพบ คงต้องมีการพูดคุยเจรจากันบ้างแล้ว แต่ทางคุณครูซึ่งไม่ได้เป็นผู้ขับขี่รถที่ชน หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรคงไม่ยอมรับอยู่แล้ว แต่ด้วยคุณครูและญาติมิตรไม่ได้เป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมายมากนัก ตอนนั้นคงไม่รู้จะไปหาพยานหลักฐานอะไร นอกจากบอกว่า ..ไม่ได้ทำ ตอนเกิดเหตุอยู่ที่บ้านกับครอบครัว อะไรทำนองนี้  ในเมื่อไม่ได้ทำก็ขอสู้คดีถึงที่สุด คือเพื่อนๆ ลองนึกเป็นตัวเรานะครับ นอนอยู่บ้านดีๆ อยู่ๆ มีตำรวจมาบอกว่าเราขับรถไปชนคนตาย  คงงงๆ ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันนอกจากปฏิเสธอย่างเดียว
   2.ข้อนี้ สำคัญ ผมรบกวนฝากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับคดีนี้ ฉุกคิดสักนิด....คดีประมาทขับรถชนคนตายอย่างนี้  ถ้าเป็นคนผิดจริง หายากที่ผู้ต้องหาจะปฏิเสธ  เพราะอะไรหรือครับ  เพราะ รถทุกคันมี พรบ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ชกใช้แทนผู้ขับขี่อยู่แล้ว  ในปี 48 ที่เกิดเหตุคดีนี้ รู้สึกว่า พรบ.ฯ นี้จะจ่าย 1 แสนบาท กรณีผู้เสียชีวิต (ไม่แน่ใจจำนวนเงินเท่าไรครับ แต่ปัจจุบัน 3 แสน)   คือถ้าคุณครูขับรถชนจริง ถ้ารับสารภาพประกันจ่าย และคุณครูจ่ายเพิ่มอีกคงไม่เท่าไหร่ จนญาติคนตายพึงพอใจ  แนวทางคำพิพากษา จะรอการลงโทษ อยู่แล้ว  แล้วมันมีเหตุผลอะไรล่ะครับ ที่คุณครู จะปฏิเสธหัวชนฝา ตั้งแต่ชั้นสอบสวน อัยการ ไปถึงศาลฎีกา  หมดเงินหมดทอง หมดอนาคต เสี่ยงติดคุกติดตะรางทำไมครับ
   3. ข้อนี้เพื่อนๆ คงทราบแล้ว ถ้ายังไม่ทราบ ผมขออนุญาตบอกอีกที   ทางศาลอุทธรณ์ภาค 4  มีคำสั่งให้รับคำร้อง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่ คดีนี้ แล้วครับ

   สุขสมหวัง แคล้วคลาดปลอดภัย จงเป็นของเพื่อนๆ ขอบพระคุณทุกท่านครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่