ผมเป็นเจ้าของธุรกิจร้านค้าเหล็กเล็กๆ ละแวกสมุทรสาครครับ ธุรกิจของเราดำเนินการมาประมาณ 20 ปี ลูกค้าของผมมีทั้งร้านค้า เจ้าของกิจการ ผู้รับเหมารายย่อยไปจนถึงรายใหญ่ครับ
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ทราบจากSupplierในประเทศเจ้าหนึ่งว่า เร็วๆนี้จะมี “
การกำหนดมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนเจืออัลลอยหน้าตัดรูปตัว H” เพื่อป้องกันการนำเข้าเหล็กชนิดนี้จากประเทศจีนครับ
- กลับไปสมัยประมาณ 4 ปีที่แล้ว เรามีผู้ผลิตเพียงรายเดียวในประเทศครับ (คนไทยถือหุ้น10% ส่วนอีก 90%เป็นของชาวต่างชาติ)
- จากสาเหตุที่บริษัทเป็นผู้ผลิตรายเดียวบริษัทจึงสามารถตั้งราคาขายได้ตามต้องการ จึงได้กำไรจากการขายเหล็กเป็นจำนวนมาก (ซึ่งภายหลังผมหาข้อมูลลึกขึ้น พบว่า ราคาเหล็กชนิดนี้คนไทยซื้อในราคาที่แพงเกือบที่สุดในโลก
แพงกว่าปกติที่ควรจะเป็นประมาณ 30%)
- น่าแปลกใจที่ราคาเหล็กที่เราซื้อในประเทศ ยังแพงกว่าประเทศออสเตรเลีย หรือ แม้แต่เราซื้อเหล็กจากสิงค์โปร(ซึ่งบริษัทนี้ส่งออก)กลับมาที่ประเทศเราเอง ยังได้ราคาที่ถูกกว่าการซื้อตรงการSupplierของบริษัท
- ช่วงปีหลังประเทศของเรามีการนำเข้าเหล็กประเภทนี้ได้จากประเทศจีน ได้รับการรับรองมาตรฐาน (มอก.) และผ่านการตรวจสอบ ซึ่งหมายความว่าเหล็กสามารถรับน้ำหนัก และทนต่อแรงดึง แรงกด ได้ตามมาตรฐานเดียวกับเหล็กที่ผลิตในประเทศ
-
การนำเข้าทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา ราคาเดิมมีการปรับลดลงทันทีประมาณ 5 - 6 บาท (ซึ่งในขณะนั้นเหล็กราคา กก. ละ 27 บาท) ถือว่าเป็นการลดราคาแบบมากๆๆ มหาศาลในวงการเหล็กบ้านเรา
- ผมเองดีใจอย่างมากที่ได้ซื้อเหล็กในราคาที่ถูกลง แต่มากไปกว่านั้นผมดีใจที่เห็นการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น และคนไทยเองก็ได้ซื้อเหล็กในราคาที่สมเหตุสมผล
ในวันนี้เราเองกำลังจะเดินกลับไปที่จุดเริ่มต้น
เราจะออกมาตรการปกป้องการนำเข้าและขึ้นภาษี เพื่อที่จะไม่ให้มีการนำสินค้านำเข้ามาจากจีน ซึ่งเอื้อผลประโยชน์ต่อบริษัทเพียงบริษัทเดียวที่เป็นของคนไทยเพียง10% สร้างความสามารถในการผูกขาดตลาด สามารถกำหนดราคาแบบตามใจชอบได้
ในขณะที่ประเทศเราเองกำลังพัฒนามีโครงการใหญ่ระดับประเทศหลายโครงการ เช่น งานสะพานของกรมทางหลวง กรมชลประทาน โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายทั่วกรุงเทพทั้งบนดินและใต้ดิน รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งโครงการเหล่านี้ล้วนมีความต้องการในการใช้เหล็กทั้งสิ้น
และคงไม่ดีแน่ถ้าเราต้องใช้รถไฟฟ้าในราคาแพงๆ
ในสถานการณ์แบบนี้ธุรกิจของผมยังคงอยู่ได้ แต่เราคนไทยจะต้องก้มหน้ารับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ต่างชาติคงหันไปลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้เงินลงทุนในการสร้างอุตสาหกรรมต่ำกว่าบ้านเรา โอกาสการสร้างงานและอาชีพมากมายคงหมดไป ลูกหลานคนไทยคงหาเงินกันยากขึ้น รวมไปถึงเศรษฐกิจไทยคงต้องค่อยๆพัฒนาแบบที่เราเป็น
ซึ่งทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาได้คือไม่ควรมีการผูกขาดทางตลาด หรือปิดกั้นไม่ให้มีผู้แข่งขัน
ผมขอใช้พื้นที่เล็กๆในกระทู้นี้เป็นที่ระบายความในใจ รวมไปถึงการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ผมเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ดำเนินการธุรกิจอย่างถูกต้องและเสียภาษีให้กับรัฐ ผมคงไม่มีอำนาจใดๆจะเปลี่ยนแปลงการผลพิจารณาการไต่สวนได้ แต่ขอเถอะครับท่านที่มีอำนาจเกี่ยวข้อง
อย่าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งที่จะเข้ามาและเลยผ่านไปอย่างเรื่องที่ผ่านๆมา
ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไป คนไทยคงต้องก้มหน้าโดนเอาเปรียบไปตลอด ..
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ทราบจากSupplierในประเทศเจ้าหนึ่งว่า เร็วๆนี้จะมี “การกำหนดมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนเจืออัลลอยหน้าตัดรูปตัว H” เพื่อป้องกันการนำเข้าเหล็กชนิดนี้จากประเทศจีนครับ
- กลับไปสมัยประมาณ 4 ปีที่แล้ว เรามีผู้ผลิตเพียงรายเดียวในประเทศครับ (คนไทยถือหุ้น10% ส่วนอีก 90%เป็นของชาวต่างชาติ)
- จากสาเหตุที่บริษัทเป็นผู้ผลิตรายเดียวบริษัทจึงสามารถตั้งราคาขายได้ตามต้องการ จึงได้กำไรจากการขายเหล็กเป็นจำนวนมาก (ซึ่งภายหลังผมหาข้อมูลลึกขึ้น พบว่า ราคาเหล็กชนิดนี้คนไทยซื้อในราคาที่แพงเกือบที่สุดในโลก แพงกว่าปกติที่ควรจะเป็นประมาณ 30%)
- น่าแปลกใจที่ราคาเหล็กที่เราซื้อในประเทศ ยังแพงกว่าประเทศออสเตรเลีย หรือ แม้แต่เราซื้อเหล็กจากสิงค์โปร(ซึ่งบริษัทนี้ส่งออก)กลับมาที่ประเทศเราเอง ยังได้ราคาที่ถูกกว่าการซื้อตรงการSupplierของบริษัท
- ช่วงปีหลังประเทศของเรามีการนำเข้าเหล็กประเภทนี้ได้จากประเทศจีน ได้รับการรับรองมาตรฐาน (มอก.) และผ่านการตรวจสอบ ซึ่งหมายความว่าเหล็กสามารถรับน้ำหนัก และทนต่อแรงดึง แรงกด ได้ตามมาตรฐานเดียวกับเหล็กที่ผลิตในประเทศ
- การนำเข้าทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา ราคาเดิมมีการปรับลดลงทันทีประมาณ 5 - 6 บาท (ซึ่งในขณะนั้นเหล็กราคา กก. ละ 27 บาท) ถือว่าเป็นการลดราคาแบบมากๆๆ มหาศาลในวงการเหล็กบ้านเรา
- ผมเองดีใจอย่างมากที่ได้ซื้อเหล็กในราคาที่ถูกลง แต่มากไปกว่านั้นผมดีใจที่เห็นการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น และคนไทยเองก็ได้ซื้อเหล็กในราคาที่สมเหตุสมผล
ในวันนี้เราเองกำลังจะเดินกลับไปที่จุดเริ่มต้น เราจะออกมาตรการปกป้องการนำเข้าและขึ้นภาษี เพื่อที่จะไม่ให้มีการนำสินค้านำเข้ามาจากจีน ซึ่งเอื้อผลประโยชน์ต่อบริษัทเพียงบริษัทเดียวที่เป็นของคนไทยเพียง10% สร้างความสามารถในการผูกขาดตลาด สามารถกำหนดราคาแบบตามใจชอบได้
ในขณะที่ประเทศเราเองกำลังพัฒนามีโครงการใหญ่ระดับประเทศหลายโครงการ เช่น งานสะพานของกรมทางหลวง กรมชลประทาน โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายทั่วกรุงเทพทั้งบนดินและใต้ดิน รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งโครงการเหล่านี้ล้วนมีความต้องการในการใช้เหล็กทั้งสิ้น และคงไม่ดีแน่ถ้าเราต้องใช้รถไฟฟ้าในราคาแพงๆ
ในสถานการณ์แบบนี้ธุรกิจของผมยังคงอยู่ได้ แต่เราคนไทยจะต้องก้มหน้ารับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ต่างชาติคงหันไปลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้เงินลงทุนในการสร้างอุตสาหกรรมต่ำกว่าบ้านเรา โอกาสการสร้างงานและอาชีพมากมายคงหมดไป ลูกหลานคนไทยคงหาเงินกันยากขึ้น รวมไปถึงเศรษฐกิจไทยคงต้องค่อยๆพัฒนาแบบที่เราเป็น ซึ่งทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาได้คือไม่ควรมีการผูกขาดทางตลาด หรือปิดกั้นไม่ให้มีผู้แข่งขัน
ผมขอใช้พื้นที่เล็กๆในกระทู้นี้เป็นที่ระบายความในใจ รวมไปถึงการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ผมเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ดำเนินการธุรกิจอย่างถูกต้องและเสียภาษีให้กับรัฐ ผมคงไม่มีอำนาจใดๆจะเปลี่ยนแปลงการผลพิจารณาการไต่สวนได้ แต่ขอเถอะครับท่านที่มีอำนาจเกี่ยวข้อง อย่าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งที่จะเข้ามาและเลยผ่านไปอย่างเรื่องที่ผ่านๆมา