ยังคงมุ่งมั่นฟื้นฝอยหาตะเข็บ! กับเรื่องที่ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการปราบโกงของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ออกมาเรียกร้องให้นายกฯ เร่งบังคับใช้กฎหมายเรียกคืนความเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีแก้ไขสัญญาสัมปทานเอไอเอสมิชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 2535 วงเงินความเสียหายกว่า 88,359 ล้านบาท
ทั้งยังมีการแก้ไข พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ที่ให้เอไอเอสนำเงินค่าภาษีที่ต้องจ่ายแก่รัฐมาหักออกจากเงินค่าสัมปทานที่ต้องจ่ายแก่บริษัททีโอทีอีกกว่า 36,000 ล้านบาท รวมสองรายการเป็นเงินกว่า 125,000 ล้านบาท ซึ่งผ่านมากว่า 7 ปี หน่วยงานรัฐทีเป็นผู้เสียหายยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ทั้งยังไม่มีการติดตามหาตัวบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำให้รัฐเสียหายมาลงโทษ
นอกจากนี้รองประธานปราบโกงยังได้ปูดเรื่องที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กรณีปล่อยให้ บริษัท คิงเพาเวอร์ฯเปิดร้านค้าปลอดภาษี หรือ “ดิวตี้ฟรี” ในเมืองทั้งที่ซอยรางน้ำและศรีวารีคอมเพล็กซ์ แต่กลับไม่ต้องจ่ายค่าต๋งสัมปทานใดๆ ให้แก่รัฐ นอกจากจ่ายค่าเช่าที่ตั้งส่งมอบสินค้าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแค่ 3% จากที่รัฐควรจะได้รับค่าสัมปทาน 15-18% ยังความเสียหายแก่รัฐนับหมื่นล้านบาท พร้อมกับตั้งคำถามไปถึง “บิ๊กตู่” ว่าเหตุใดหน่วยงานของรัฐ ยังปล่อยให้เงินแผ่นดิน 1.25 แสนล้านบาท อยู่ในมือของเอกชนมานานถึง 7 ปี ทั้งที่ศาลฎีกาฯ ตัดสินคดีถึงที่สุดไปแล้ว (อ่านรายละเอียดจี้รัฐทวง AIS กว่า 1.25 แสนล้าน ใน
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/734734)
เรื่องของ ร้านค้าปลอดอากรหรือ “ดิวตี้ฟรีบิน” ของเจ้าสัวดิวตี้ฟรีที่ไปผุดเป็นดอกเห็ดอยู่ในเมืองและจุดส่งมอบสินค้า “ปิคอัพเคาท์เตอร์” นั้น ก็คงต้องรอดูหน่วยงานรัฐอย่าง ทอท.และกระทรวงคมนาคม หรือกระทรวงคลังที่ส่งอธิบดีประสงค์ พูนธเนศ ไปนั่งเป็นประธาน ทอท.อยู่จะ “เทคแอ๊คชั่น” อะไรกับข้อเรียกร้องของอนุกรรมการปราบโกงที่ว่านี้หรือไม่ อาจต้องปูเสื่อรอดูกันเป็นมหากาพย์!!!
แต่เรื่องของการฟื้นฝอยหาตะเข็บกรณีแก้สัมปทานมือถือ “เอไอเอส-ทีโอที” ที่จะว่าไปก็แก้ไขกันจนปรุ แก้ไขกันจนพรุนมันทุกสัมปทานนั่นแหล่ะ ทั้งของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ แคท กับค่ายดีแทค และทรูมูฟ ที่จะว่าไปก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกันทุกกระเบียดนิ้วอีกนั่นแหล่ะ แต่ท่านรองประธานปราบโกงก็ดูจะหยิบยกเอาแต่กรณีแก้สัมปทานเอไอเอสมาตีปี๊บไล่เบี้ยมันอยู่ค่ายเดียว
เช่นเดียวกับกรณีแก้ไข กม.ภาษีสรรพสามิตเพื่อจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมเข้าคลัง โดยมีการออกกฎหมายแก้ไขยอมให้บริษัทเอกชนหักภาษีสรรพสามิตที่ว่าออกจากค่าสัมปทานในระยะแรกก่อน หากเมื่อสิ้นสุดสัมปทานแล้วทุกรายต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมเข้ารัฐอยู่ต่อไปไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสัมปทานกับรัฐหรือไม่ก็ตาม ซึ่งในช่วงใช้กฎหมายนี้เม็ดเงินที่ค่ายมือถือเอไอเอสหักภาษีจากค่าสัมปทานนั้นคิดเป็นมูลค่าราว 36,000 ล้านบาท ยังไม่รวมในส่วนที่ค่ายดีแทคและทรูมูฟที่ก็มีการหักภาษีจากค่าสัมปทานที่ว่านี้ในสัดส่วนไม่น้อยไปกว่ากัน
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะทั่นประธานอนุกรรมการปราบโกงก็มุ่งแต่จะปราบโกงอยู่ค่ายเดียวอีก! ละเลยที่จะพูดถึงอีก 2 ค่าย และละเลยที่จะพูดถึงเม็ดเงินที่ค่ายมือถือหักออกจากค่าสัมปทานเหล่านั้นมันตกไปอยู่ในมือบริษัทเอกชนทั้งดุ้นหรือว่าเอาไปเข้าคลังกันแน่!
เพราะหากตกอยู่ในมือเอกชนก็สมควรอยู่หรอกที่รัฐจะฟ้องไล่เบี้ยเอาคืนมา แต่ข้อเท็จจริงทุกฝ่ายก็รู้อยู่เต็มอกว่า เงินที่หักออกจากค่าสัมปทานในเวลานั้นมันถูกนำส่งเข้าคลังทั้ง 100% เลยกระทรวงการคลังยังได้เม็ดเงินภาษีที่ว่านี้ “เต็มเม็ดเต็มหน่วย” โดยไม่มีการหักค่าแป๊ะเจี๊ยะหรือค่าผ่านทางแบบค่าสัมปทานในอดีตที่กว่าจะถูกส่งผ่านมายังคลังได้ก็แทบจะหายกลายไปเป็นโบนัสหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเหี้ยนเต้ไปแล้ว!!!
ที่สำคัญอนุกรรมการปราบโกงยังไม่เคยลงไปศึกษากันเลยว่าเบื้องหน้าเบื้องการแก้ไขสัมปทานที่ว่านั้นเขามุบมิบๆ แก้ไขโดยไม่มีใครล่วงรู้กันเลยหรือ รวมทั้งหลังจากที่รัฐบาลในชุดต่อๆ มาไปยกเลิกกฎหมายภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมที่ว่านี้ จนทำให้บริษัทสื่อสารโทรคมนาคมน้อยใหญ่ “ถูกหวยรวยปลิ้น” จากการที่ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมเข้ารัฐอีกต่อไปนั้น ได้ทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ อย่างไร?
ขอโทษ! แทนที่รัฐจะได้ภาษีกันเป็นแสนล้าน ไม่ต้องมานั่งไล่เบี้ยหาบเร่แผงลอย หรือจ่อจะต้องขยายฐานภาษีไปเอากับโลกโซเชียลออนไลน์อะไรทั้งหลายแหล่นั่น หากวันนี้ภาษีดังกล่าวยังคงมีอยู่รัฐอาจมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมที่ว่านี้กันเป็นแสนล้านบาทต่อปีได้อีก
รายการเจาะหมูเข้าปากหมาแบบนี้ทำไมไม่เห็นท่านอนุกรรมการปราบโกงลุกขึ้นมาร้องแรกแหกกระเชอดูบ้างหล่ะ!!!
ฟื้นฝอยหาตะเข็บ! (อีกที)
ทั้งยังมีการแก้ไข พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ที่ให้เอไอเอสนำเงินค่าภาษีที่ต้องจ่ายแก่รัฐมาหักออกจากเงินค่าสัมปทานที่ต้องจ่ายแก่บริษัททีโอทีอีกกว่า 36,000 ล้านบาท รวมสองรายการเป็นเงินกว่า 125,000 ล้านบาท ซึ่งผ่านมากว่า 7 ปี หน่วยงานรัฐทีเป็นผู้เสียหายยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ทั้งยังไม่มีการติดตามหาตัวบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำให้รัฐเสียหายมาลงโทษ
นอกจากนี้รองประธานปราบโกงยังได้ปูดเรื่องที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กรณีปล่อยให้ บริษัท คิงเพาเวอร์ฯเปิดร้านค้าปลอดภาษี หรือ “ดิวตี้ฟรี” ในเมืองทั้งที่ซอยรางน้ำและศรีวารีคอมเพล็กซ์ แต่กลับไม่ต้องจ่ายค่าต๋งสัมปทานใดๆ ให้แก่รัฐ นอกจากจ่ายค่าเช่าที่ตั้งส่งมอบสินค้าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแค่ 3% จากที่รัฐควรจะได้รับค่าสัมปทาน 15-18% ยังความเสียหายแก่รัฐนับหมื่นล้านบาท พร้อมกับตั้งคำถามไปถึง “บิ๊กตู่” ว่าเหตุใดหน่วยงานของรัฐ ยังปล่อยให้เงินแผ่นดิน 1.25 แสนล้านบาท อยู่ในมือของเอกชนมานานถึง 7 ปี ทั้งที่ศาลฎีกาฯ ตัดสินคดีถึงที่สุดไปแล้ว (อ่านรายละเอียดจี้รัฐทวง AIS กว่า 1.25 แสนล้าน ใน http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/734734)
เรื่องของ ร้านค้าปลอดอากรหรือ “ดิวตี้ฟรีบิน” ของเจ้าสัวดิวตี้ฟรีที่ไปผุดเป็นดอกเห็ดอยู่ในเมืองและจุดส่งมอบสินค้า “ปิคอัพเคาท์เตอร์” นั้น ก็คงต้องรอดูหน่วยงานรัฐอย่าง ทอท.และกระทรวงคมนาคม หรือกระทรวงคลังที่ส่งอธิบดีประสงค์ พูนธเนศ ไปนั่งเป็นประธาน ทอท.อยู่จะ “เทคแอ๊คชั่น” อะไรกับข้อเรียกร้องของอนุกรรมการปราบโกงที่ว่านี้หรือไม่ อาจต้องปูเสื่อรอดูกันเป็นมหากาพย์!!!
แต่เรื่องของการฟื้นฝอยหาตะเข็บกรณีแก้สัมปทานมือถือ “เอไอเอส-ทีโอที” ที่จะว่าไปก็แก้ไขกันจนปรุ แก้ไขกันจนพรุนมันทุกสัมปทานนั่นแหล่ะ ทั้งของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ แคท กับค่ายดีแทค และทรูมูฟ ที่จะว่าไปก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกันทุกกระเบียดนิ้วอีกนั่นแหล่ะ แต่ท่านรองประธานปราบโกงก็ดูจะหยิบยกเอาแต่กรณีแก้สัมปทานเอไอเอสมาตีปี๊บไล่เบี้ยมันอยู่ค่ายเดียว
เช่นเดียวกับกรณีแก้ไข กม.ภาษีสรรพสามิตเพื่อจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมเข้าคลัง โดยมีการออกกฎหมายแก้ไขยอมให้บริษัทเอกชนหักภาษีสรรพสามิตที่ว่าออกจากค่าสัมปทานในระยะแรกก่อน หากเมื่อสิ้นสุดสัมปทานแล้วทุกรายต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมเข้ารัฐอยู่ต่อไปไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสัมปทานกับรัฐหรือไม่ก็ตาม ซึ่งในช่วงใช้กฎหมายนี้เม็ดเงินที่ค่ายมือถือเอไอเอสหักภาษีจากค่าสัมปทานนั้นคิดเป็นมูลค่าราว 36,000 ล้านบาท ยังไม่รวมในส่วนที่ค่ายดีแทคและทรูมูฟที่ก็มีการหักภาษีจากค่าสัมปทานที่ว่านี้ในสัดส่วนไม่น้อยไปกว่ากัน
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะทั่นประธานอนุกรรมการปราบโกงก็มุ่งแต่จะปราบโกงอยู่ค่ายเดียวอีก! ละเลยที่จะพูดถึงอีก 2 ค่าย และละเลยที่จะพูดถึงเม็ดเงินที่ค่ายมือถือหักออกจากค่าสัมปทานเหล่านั้นมันตกไปอยู่ในมือบริษัทเอกชนทั้งดุ้นหรือว่าเอาไปเข้าคลังกันแน่!
เพราะหากตกอยู่ในมือเอกชนก็สมควรอยู่หรอกที่รัฐจะฟ้องไล่เบี้ยเอาคืนมา แต่ข้อเท็จจริงทุกฝ่ายก็รู้อยู่เต็มอกว่า เงินที่หักออกจากค่าสัมปทานในเวลานั้นมันถูกนำส่งเข้าคลังทั้ง 100% เลยกระทรวงการคลังยังได้เม็ดเงินภาษีที่ว่านี้ “เต็มเม็ดเต็มหน่วย” โดยไม่มีการหักค่าแป๊ะเจี๊ยะหรือค่าผ่านทางแบบค่าสัมปทานในอดีตที่กว่าจะถูกส่งผ่านมายังคลังได้ก็แทบจะหายกลายไปเป็นโบนัสหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเหี้ยนเต้ไปแล้ว!!!
ที่สำคัญอนุกรรมการปราบโกงยังไม่เคยลงไปศึกษากันเลยว่าเบื้องหน้าเบื้องการแก้ไขสัมปทานที่ว่านั้นเขามุบมิบๆ แก้ไขโดยไม่มีใครล่วงรู้กันเลยหรือ รวมทั้งหลังจากที่รัฐบาลในชุดต่อๆ มาไปยกเลิกกฎหมายภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมที่ว่านี้ จนทำให้บริษัทสื่อสารโทรคมนาคมน้อยใหญ่ “ถูกหวยรวยปลิ้น” จากการที่ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมเข้ารัฐอีกต่อไปนั้น ได้ทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ อย่างไร?
ขอโทษ! แทนที่รัฐจะได้ภาษีกันเป็นแสนล้าน ไม่ต้องมานั่งไล่เบี้ยหาบเร่แผงลอย หรือจ่อจะต้องขยายฐานภาษีไปเอากับโลกโซเชียลออนไลน์อะไรทั้งหลายแหล่นั่น หากวันนี้ภาษีดังกล่าวยังคงมีอยู่รัฐอาจมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมที่ว่านี้กันเป็นแสนล้านบาทต่อปีได้อีก
รายการเจาะหมูเข้าปากหมาแบบนี้ทำไมไม่เห็นท่านอนุกรรมการปราบโกงลุกขึ้นมาร้องแรกแหกกระเชอดูบ้างหล่ะ!!!