ดิฉันแนะนำลูกศิษย์ผิดทางไหมคะ?

ดิฉันมีลูกศิษย์ผู้หญิงที่ค่อนข้างสนิทกันอยู่คนหนึ่งค่ะ
เธอเป็นนักเรียนชั้นม.6
เป็นเด็กนิสัยดี การเรียนปานกลาง
เวลาที่ลูกศิษย์คนนี้มีปัญหาทีไร จะชอบเข้ามาปรึกษาดิฉันอยู่เรื่อยๆ
ทั้งเรื่องเรียน เรื่องส่วนตัว เพราะว่าลูฏศิษย์ของดิฉันอาศัยอยู่กับแม่ เพราะว่าพ่อกับแม่เขาแยกทางกันตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

ดิฉันทราบว่าเขามีแฟนเป็นนักเรียนต่างสถาบัน
แต่ก็ไม่ได้ห้ามที่เขาจะคบหากัน
เพราะดิฉันถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา
แต่ก็ค่อยดูอยู่ห่างๆและกำชับว่าอย่าทำอะไรที่ไม่เหมาะสม

แต่แล้วสิ่งที่ดิฉันกลัวที่สุด มันก็เกิดขึ้นค่ะ!

ลูกศิษย์ของดิฉันเดินเข้ามาหาที่ห้องพักครู อย่างเช่นที่เคยมาหาเป็นประจำ
แต่มาครั้งนี้ เขาไม่ยิ้ม ไม่ร่าเริงเหมือนทุกๆครั้งที่เข้าหา
และครั้งนี้ขอคุยกับดิฉันแบบส่วนตัวสองต่อสองด้วย

เขาบอกดิฉันว่า "เขาท้อง!"

พอลูกศิษย์พูดจบ เธอก็โผเข้ามากอดดิฉันทันที พร้อมกับร้องไห้จนน้ำตาเปื้อนชุดทำงานหมดเลย

ดิฉันตกใจและทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
เพราะสิ่งๆนี้ มันเป็นสิ่งที่ดิฉันกลัวมากที่สุด

เขาบอกดิฉันว่า เขาไม่กล้าที่จะบอกแม่ของเขา
ไม่กล้าบอกแม้กระทั่งญาติของเขาเองด้วย
แต่เขาเป็นคนที่ดิฉันไว้ใจ เลยได้สารภาพกับดิฉัน

แต่ดิฉันก็ยืนยันว่า
'อย่างไรก็ตามแต่ ก็ต้องให้ผู้เป็นแม่รับรู้'

วันต่อมาดิฉันไปที่บ้านของเขา
ไปเจอกับคุณแม่ของเขา
พร้อมกับลูกศิษย์ของดิฉันด้วย

หลังจากที่คุณแม่ได้ทราบข่าว
คุณแม่ของลูกศิษย์ดิฉันก็ตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ต่างกัน
แต่คุณแม่ของเขาเป็นมากกว่าดิฉันอีกเป็นแน่

ผ่านมาได้สองวันหลังจากที่ดิฉันไปหาแม่ของลูกศิษย์
ดิฉันได้ไปพบกับทั้งคุณแม่ของลูกศิษย์ ตัวเขาเอง และแฟนหนุ่มของเขา
เพื่อที่จะหาทางออกร่วมกัน

ทางคุณแม่ขอความคิดเห็นจากดิฉันว่า
ควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
เพราะทั้งลูกศิษย์และแฟนหนุ่ม ก็ต่างอยู่ในวัยเรียนด้วยกันทั้งคู่
จะรับผิดชอบอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

ดิฉันจึงได้ให้คำแนะนำไปว่า
มันมีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ
1. เก็บเด็กเอาไว้ ทำเรื่องขอพักการเรียนเอาไว้ก่อน ไว้คลอดลูก แล้วก็กลับมาเรียนใหม่ได้ อีกทั้งฝ่ายชายเองก็ต้องมาทำการสู่ขอหรือหมั้นหมายกันตามประเพณีไว้ก่อน
2. เอาเด็กออก เพราะด้วยเรื่องของทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิอีกทั้งความรับผิดชอบที่จะต้องเกิดตามมา ค่าเลี้ยงดู ค่านม รายจ่ายต่างๆ จริงอยู่ว่ามันอาจจะฟังดูบาป ดูชั่วร้าย แต่ถ้าเขาเกิดมาแล้ว เลี้ยงดูเขาได้ไม่ดี กลายกลับเป็นภาระของสังคมไป จะไม่เป็นบาปมากกว่าหรือ?

คุณแม่ของลูกศิษย์ขอให้ดิฉันตัดสินใจให้
ดิฉันเลยบอกไปว่า

"ดิฉันตัดสินใจให้ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะผลของการตัดสินใจ หรือผลของการกระทำ มันจะไปตกอยู่ที่ลูกสาวคุณแม่ และผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ก็คือตัวของผู้ที่ตัดสินเองค่ะ"

หลังจากนั้นไม่นาน
ฉันก็ได้ทราบข่าวมาว่า

ลูกศิษย์ของดิฉันเลือกที่จะเอาเด็กออกค่ะ!

ทุกๆท่านค่ะ ดิฉันชี้แนะแนวทางให้ลูกศิษย์ตัวเองได้ถูกต้องไหมคะ
ดิฉันยังใช้คำเรียกแทนตัวเองว่าครูได้อีกอยู่ไหมคะ?
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 38
ขออนุญาตแสดงความเห็นส่วนตัวครับคุณครู

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่านทรงตรัสไว้ตอนหนึ่งมีใจความว่า

บางครั้งสิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

แต่สิ่งที่ถูกต้องนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป เพราะฉนั้นเราจึงเลือกทำสิ่งที่เป็นธรรม คือทั้งดีและถูกต้อง

ในฐานะคุณครู
คุณครูทำหน้าที่ของครู คืออบรมชี้แนะ สั่งสอน ทำหน้าที่ครูได้ดีที่สุดเท่าที่ครูท่านหนึ่งจะทำได้

คุณครูทำถูกต้องแล้วครับ

แต่ในฐานะพุทธบริษัท
คุณครูรู้สึกผิดที่ลูกศิษย์ไปทำแท้งตามที่คุณครูแนะนำ คุณครูจึงมาตั้งกระทู้เพื่อหาทางออกของตน

ความรู้สึกผิดนี้คือสิ่งที่เรียกว่า บาป

คุณครูกำลังรับผลของกรรมนั้นครับ
เพราะมีส่วนร่วมใน ปาณาติบาต
สิ่งนี้แหละคือ อธรรม

คุณครูไม่สามารถหลุดพ้นจากกรรมนี้ ด้วยการไปทำบุญ ทำทาน อุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณเด็กคนนั้น

แต่คุณครูจะหลุดพ้นกรรมนี้ได้ด้วย

ปัญญา

ขอให้คุณครูหาเวลาว่างตอนเช้าหรือก่อนนอน นั่งสมาธิ ภาวนา ทำจิตให้สงบ เมื่อปัญญาเกิด จึงพิจารณากรรมนี้ด้วยปัญญา คุณครูจะเข้าใจได้ด้วยตนเองว่า

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา ไม่มีใครที่จะหลีกพ้นหนีไปได้

เราได้ทำดีที่สุดเท่าที่ครูคนหนึ่งจะทำได้

เพราะเราทำตามหน้าที่ของเราเท่านั้น

แล้วก็ปล่อยวางครับ เมื่อเป็นทุกข์ขึ้นมาอีก ก็พิจารณาอย่างนี้ซ้ำๆ ไปจนปล่อยวางได้หมดสิ้นครับ

สุดท้ายนี้ขอชื่นชมด้วยใจจริงที่คุณครูได้ช่วยเหลือลูกศิษย์ที่กำลังประสบปัญหาชีวิต พร้อมทั้งยังมีจิตใจอ่อนโยนรู้สึกผิดชอบชั่วดี

หากโลกนี้มีคนแบบคุณครูมากๆ จะทำให้โลกนี้สุขสงบขึ้นอีกมากครับ

ท้ายนี้ขอยกพระราชดำรัสอีกตอนหนึ่งมาไว้เตือนสติทุกๆท่านที่กำลังมีสุขหรือมีทุกข์ จงมีสติ อย่าหลงลืมตน หลงไหลไปติดกับสุขทุกข์บาปบุญ เพราะพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้หลุดพ้นจากทุกสิ่งทั้งปวงด้วยปัญญา

"พระพุทธศาสนาแสดงความจริงของชีวิต แสดงทางปฏิบัติที่จะให้บรรลุความสุข สูงสุดของชีวิต มีวิธีการสั่งสอนที่ยึดหลักเหตุและผลว่า ทุกสิ่งเกิดจากเหตุ ผู้ใดประกอบเหตุอย่างใด เพียงใด    ก็ได้ผลอย่างนั้น เพียงนั้น...”
    พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2513
ความคิดเห็นที่ 16
ส่วนตัว  ถ้าตัวเองอยู่ใน เวลานั้น

คงจะมีคำแนะนำให้เพียงแค่ ข้อแรกเท่านั้น  คือ  1. เก็บเด็กเอาไว้ ทำเรื่องขอพักการเรียนเอาไว้ก่อน ไว้คลอดลูก แล้วก็กลับมาเรียนใหม่ได้ อีกทั้งฝ่ายชายเองก็ต้องมาทำการสู่ขอหรือหมั้นหมายกันตามประเพณีไว้ก่อน  และจบแค่คำนี้ ไม่เอ่ยข้อใดๆแล้วครับ  เพราะไม่อยากมีส่วนรับรู้ในการให้ใครไปทำแท้งใดๆทั้งสิ้น



ส่วนใครจะหาว่าผมโลกสวย และย้อนถามกลับมาว่า
มีเงินมาเลี้ยงเด็กป่าวหล่ะ /  มาเลี้ยงแทนเขามั้ยอ่ะ / เอาเด็กไปเลี้ยงสิ  / ไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้ บลาๆ  เอาที่สบายใจนะครับ


ที่ตอบแบบนี้ เพราะเชื่อเรื่องเวรกรรม  แม้เราจะไม่ได้ไปตัดสินใจแบบเด็ดขาดให้เขาทำแท้ง แต่เราดันไปเอ่ยปาก ข้อสองให้เขามีทางเลือกจากคำพูดของเรา  ซึ่งหากจริงๆ เราไม่เอ่ยปากว่ามีข้อสอง  แต่เขาไปทำเอง ตรงนี้ในเรื่องของกรรมเขาจะรับไปเลย 100% และเราจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและรู้เห็นครับ

ส่วนคำตอบ จากที่ถามมานะครับ

ทุกๆท่านค่ะ ดิฉันชี้แนะแนวทางให้ลูกศิษย์ตัวเองได้ถูกต้องไหมคะ
-ไม่ถูกครับ

ดิฉันยังใช้คำเรียกแทนตัวเองว่าครูได้อีกอยู่ไหมคะ?
-ยังเรียกแทนตัวเองว่าครูได้ครับ เพราะแก่นหลักของความเป็นครู คือ เป็นผู้ให้วิชาความรู้กับนักเรียน และของแถมที่ดีที่สุดที่คุณครูที่ดีควรสอดแทรกในการสอน คือ  การสอนให้เด็กมีจริยธรรม  


และเรื่องที่บอกว่า   แต่ถ้าเขาเกิดมาแล้ว เลี้ยงดูเขาได้ไม่ดี กลายกลับเป็นภาระของสังคมไป จะไม่เป็นบาปมากกว่าหรือ?

ในทางธรรมและบุญบาป  หากเขาทำแท้งจริงๆ ถือว่าครูจะไปเกี่ยวข้อง(ไปเอ่ยคำแนะนำในข้อ 2 )  และ พ่อแม่เด็กที่จะเกิด และแม่ของน้องผู้หญิงไปตัดวงจรการได้เกิดของ 1 ชีวิตไปแล้วครับ เขาจะได้เกิดหรือไม่ได้เกิด  เป็นไปตามวาระกรรมของเด็กคนนั้น    ใช่ครับแม้ในสังคมทุกวันนี้  โลกทุกวันนี้  มีเด็กมากมายที่เกิดมาจากการที่แม่เด็กไม่พร้อมและเด็กที่ออกมาจะเป็นภาระของสังคมมากกว่าที่จะไม่ใช่    แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีเปอร์เซ็นต์ที่เด็กที่เกิดมาก็ไม่เป็นภาระสังคม(แม้มันจะน้อยมากๆ แต่ไม่เท่ากับ 0 แน่ๆ)    เรื่องราวแบบนี้ มีมาตั้งแต่อดีต  ผู้หญิงบางคนเลือกที่จะไม่ทำแท้ง ปรากฏว่า ลูกดีมาก เรียนดี  แม้แม่จะเหนื่อยหน่อย แต่ก็ไม่รู้สึกผิดไปตลอกทั้งชีวิต  แล้วมารู้สึกผิดทีหลัง  เที่ยวไปทำบุญ อุทิศผลบุญให้ลูกตัวเอง ไปถวายสังฆทานยา  อะไรแบบนี้
ความคิดเห็นที่ 5
ครูทำถูกแล้วครับ

หนทางออกมันมีเท่านั้นจริงๆ หากจะพูดความจริง ก็ต้องชี้แจงให้หมดทุกแง่มุม และให้ผู้เกี่ยวข้องตัดสินใจเอง

ผู้ตอบไม่สนับสนุนการทำแท้ง แต่ก็ไม่อาจจะไปต่อต้านหากใครจะทำ เพราะหนทางของใครก็ต้องเลือกเอง และเราเองก็ไม่อาจจะไปช่วยรับผิดชอบในชีวิตของใครได้ ได้แต่แนะนำ และบอกอย่างที่ครูบอก นั่นคือมันไม่ดีที่จะทำ แต่ ต้องตัดสินใจเอง

และคนที่คิดจะแก้ปัญหาแบบนั้น ถึงครูจะไม่บอกทาง เขาก็ทำครับ เขารู้ทางออกทางนี้ดีอยู่แล้ว มันไม่ได้ลึกลับไม่ได้ปกปิดจนไม่มีใครรู้

ยังมีศิษย์อีกมากมาย ที่รอให้ครูช่วยในหลายเรื่อง ให้เรื่องนี้มันเป็นเพียงความทรงจำ อย่าให้มันเป็นเครื่องตัดโอกาศเด็กที่รอความช่วยเหลือจากครูอยู่อีกนะครับ

ขอแสดงความนับถือ
ความคิดเห็นที่ 32
ครูให้ทางเลือกเด็กสองทาง ทางแรกบอกแต่วิธีปฎิบัติคร่าวๆ ทางที่สองบอกข้อเสียของทางแรกอย่างชัดเจน ใครๆก็ฟังรู้ว่าครูมีความคิดเห็นเอียงไปทางที่สอง ซึ่งเป็นทางที่ง่ายที่สุด ในขณะที่หนทางแรกต้องการความกล้าหาญ ความอดทนและเข้มแข็งอย่างสูงที่จะยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง คนที่จะเลือกทางที่สองจะต้องเป็นคนที่ไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ

การให้ข้อมูลในการตัดสินใจที่สำคัญเช่นนี้ ต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนและเป็นกลาง ครูทำอย่างนั้นแล้วหรือยัง
ความคิดเห็นที่ 1
ถูกแล้วครับ


อย่าให้ชีวิตต้องหยุดตอนนี้เลยครับ
ก้าวไปก่อนครับ

คุณทำดีแล้วครับ น้องเค้าไม่พร้อมจริงๆ
ดีกว่าเอาไว้ แล้วชีวิตตกต่ำครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่