ขอเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องย้อนไปถึงต้นเดือนพย.59 ทางสรรพากรได้มีจดหมายขอหลักฐานการตรวจสอบภาษีย้อนหลัง ปี57 จากดิฉัน ซึ่งให้แฟกซ์เข้าไปที่สำนักงานได้ ดิฉันก็ได้ส่งไปครบตามที่ขอ หลังจากนั้นดิฉันก็ได้รับเอกสารระบุว่าค่าบ้านที่กู้ซื้อไว้เป็นชื่อกู้ร่วมกับน้องชายหักได้แค่คนละ 50000 บาท ดิฉันก็ได้โทรเข้าไปสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ที่ทำการตรวจสอบ ก็ได้รับข้อมูลมาว่าบ้าน1หลังหักได้ไม่เกิน100000 เมื่อกู้ร่วมสองคนจึงหักได้คนละ 50000 ตอนนั้นดิฉันก็ไม่ได้เถียงว่าที่จริงที่ร่วมกู้นั้นซื้อ2หลัง. เพราะในตอนแรกดิฉันก็ลืมไปแล้วว่าโฉนดบ้านมันเป็น1แปลงหรือ2แปลง เพราะเราซื้อติดกันและทำรั้วเป็นหลังเดียว(ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อ8-9ปีที่แล้ว) แต่เมื่อกลับไปเช็คที่สัญญาเงินกู้ก็ระบุไว้ว่า2แปลง และทะเบียนบ้านก็มี2ฉบับ. ดิฉันจึงได้โทรติดต่อกับจนท.ท่านเดิมว่าดิฉันมีบ้าน2หลังนะคะ (ตอนนั้นใจจริงก็คิดว่าเผื่อจะสามารถส่งเอกสารเพิ่มเติมไปแสดงหลักฐานได้) จนท.ก็ตรวจสอบสักพัก(ได้ยินเสียงกดคอมพิวเตอร์) จากนั้นก็พูดดุกับดิฉันทันทีว่า"หลักฐานการจ่ายดอกเบี้ยเป็นเงินก้อนเดียวก็หักได้แค่50000น่ะแหละ" ดิฉันก็ถามกลับไปว่า"ถ้าอย่างนั้นให้เอาหลักฐานจากธนาคารมาแสดงเพิ่มได้หรือไม่" จนท.ท่านนั้นบอกมาว่า"ไม่ได้คุณต้องจ่ายเข้ามาก่อน ค่อยมาขอคืน" ตอนนั้นคือความรู้สึกว่าไม่ใช่แล้วเพราะเราก็ซื้อบ้าน2หลังแถมมีโฉนดกับทะเบียนบ้าน2หลัง ก็เลยถามกลับไปว่าถ้าขอยื่นเรื่องอุทธรณ์เพื่อพิจารณาใหม่ได้หรือไม่ จนทหญิงท่านนั้นก็ตอบแบบอารมณ์บูดและดุเต็มที่ว่า "ถ้าอย่างนั้นคุณก้อต้องไปฟ้องศาลเอาเอง แล้วถ้าคุณแพ้ก็จะโดนดอกเบี้ยไปเรื่อยๆนะ" ตอนนั้นคิดในใจว่า"เอิ่ม!คือจะพูดจาดีๆและอธิบายหน่อยได้หรือไม่. คนเค้าก็พูดด้วยดีๆ" เราก้อยังถามกลับดีๆก่อนว่า"แต่ในท้ายเอกสารที่คุณส่งมาเขียนว่า ถ้าไม่เห็นด้วยให้ยื่นเอกสารขออุทธรณ์ได้ไม่ใช่หรือคะ". เธอก้อตอบกลับมาแบบมะนวาไม่มีน้ำ"ก็คุณส่งเอกสารมาไม่ครบเอง. จนท.ไม่ได้ทำอะไรผิด"
ดิฉันก้อชักจะเริ่มโมโห ก้อได้เถียงกลับไปว่า "เอกสารที่คุณขอดิฉันก้อให้ครบหมดแล้ว แต่กรณีนี้มันต่างออกไปมั้ยคะ แล้วต้องฟ้องศาลเลยใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นก็ได้ แล้วต้องฟ้องร้องกับใครคะ" เธอก้อตอบแบบเหวี่ยงสุดได้"ก็ต้องคุยกับนิติกรนั้นแหละ"ร้องไห้นึกภาพเสียงประชดประชันสุดๆ) ดิฉันจึงขอสายนิติกรของสรรพากร. ก็ได้คุยกันถึงรายละเอียดซึ่งนิติกรคนนี้ก็อธิบายดีว่าเราสามารถส่งคำร้องอุทธรณ์และส่งหลักฐานได้ ไม่จำเป็นต้องไปห้องศาลอะไรตามที่น้องจนท.ท่านนั้นพูด. ก้อขอบคุณคุณนิติกรท่านนั้นมากและต้องขอโทษไว้นะที่นี้ที่พูดจาไม่ดีใส่เพราะโมโหจนท.หญิงคนแรกไปแล้ว ต้องขอโทษจริงๆค่ะ คือเรื่องของเรื่องเราไม่ได้ซีเรียสเรื่องเสียเงินภาษีเพิ่ม เพราะดิฉันก็คิดว่าทำถูกต้องและไม่เคยหนีภาษี ทำไมถึงพูดจากันดีๆไม่ได้ ประชาชนไม่ได้จบกฎหมายทุกคน แล้วคุณมีความรู้ทำไมไม่อธิบายดีๆ นี่ถ้าเป็นคนที่เค้าไม่รู้อะไรเลยเค้าจะทำยังไง ก้อเลยมาขอถามผู้รู้ไปด้วยเลยว่าในกรณีนี้ควรทำยังไงดีคะ
ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐถึงชอบพูดขาไม่ดี
ดิฉันก้อชักจะเริ่มโมโห ก้อได้เถียงกลับไปว่า "เอกสารที่คุณขอดิฉันก้อให้ครบหมดแล้ว แต่กรณีนี้มันต่างออกไปมั้ยคะ แล้วต้องฟ้องศาลเลยใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นก็ได้ แล้วต้องฟ้องร้องกับใครคะ" เธอก้อตอบแบบเหวี่ยงสุดได้"ก็ต้องคุยกับนิติกรนั้นแหละ"ร้องไห้นึกภาพเสียงประชดประชันสุดๆ) ดิฉันจึงขอสายนิติกรของสรรพากร. ก็ได้คุยกันถึงรายละเอียดซึ่งนิติกรคนนี้ก็อธิบายดีว่าเราสามารถส่งคำร้องอุทธรณ์และส่งหลักฐานได้ ไม่จำเป็นต้องไปห้องศาลอะไรตามที่น้องจนท.ท่านนั้นพูด. ก้อขอบคุณคุณนิติกรท่านนั้นมากและต้องขอโทษไว้นะที่นี้ที่พูดจาไม่ดีใส่เพราะโมโหจนท.หญิงคนแรกไปแล้ว ต้องขอโทษจริงๆค่ะ คือเรื่องของเรื่องเราไม่ได้ซีเรียสเรื่องเสียเงินภาษีเพิ่ม เพราะดิฉันก็คิดว่าทำถูกต้องและไม่เคยหนีภาษี ทำไมถึงพูดจากันดีๆไม่ได้ ประชาชนไม่ได้จบกฎหมายทุกคน แล้วคุณมีความรู้ทำไมไม่อธิบายดีๆ นี่ถ้าเป็นคนที่เค้าไม่รู้อะไรเลยเค้าจะทำยังไง ก้อเลยมาขอถามผู้รู้ไปด้วยเลยว่าในกรณีนี้ควรทำยังไงดีคะ