ต้องขออนุญาติจริงๆค่ะ มาอีกรอบ คือ เพื่อนถอดคนนั้นออกจากเป็นกรรมการแล้ว แต่ เค้าพูดแกมขู่ว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะเขาเป็นกรรมการ แต่สุดท้ายถอดไปแล้วค่ะด้วยเสียงข้างมาก ตอนนี้นางเลยมามุกใหม่ ว่านางจะเอาหุ้นไปขายให้คน ประมาณสิบคนเพื่อเข้ามาตรวจสอบ คำถามคือ
1. ผู้ถือหุ้นตรวจสอบอะไรได้อะคะ
2. หุ้นชำระแค่ ร้อยละ25 โอนได้ด้วยหรอคะ
3. คือเข้าใจค่ะว่ามันต้องการเอาชนะ แต่ทุกอย่างแบบนี้จะแก้อย่างไรดีคะ
เรียงลำดับง่ายๆ บริษัทเปิดมาก่อน สามปี อยู่ดีๆจะทำโปรเจค เลยชวนคนมาร่วมหุ้น คนมาร่วมหุ้นลงเงินแค่ที่จะใช้
โปรเจคเจ้ง มีคนถอ นหุ้นออกไป คนที่อยู่ก็อยู่ไปงั้นจนมีลูกค้ามา อยู่ดีๆ ไม่ช่วยทำงาน แต่จะเอาเงิน
เอาเงินออกไปโดยไม่เสียภาษี ไม่ทำงานไม่รับผิกชอบงานจนงานเขาป่วนไปหมด
สุดท้ายโดนปลดจากกรรมการ ตอนนี้จะมาบอหว่าจะขายหุ้นให้คนสิบคน
ควรทำอย่างไรดีคะ???
ก่อนอื่นต้องขอเล่าก่อนว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนคนหนึ่งค่ะ นางเป็นคนชอบทำงาน แล้วตอนนี้ประสบปัญหาเรื่องเกี่ยวกับกฏหมายและหุ้นส่วน นางเลยไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครเพราะว่า ตอนที่เปิดบริษัท หรือ ทำบริษัทก็ไม่คิดว่าสุดท้ายจะเกิดปัญหาขึ้นกับหุ้นส่วนซึ่งเป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันเองค่ะ เราเองก็เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ด้วยความไม่ประสาอะไรกับเรื่องของกฏหมาย ส่วนเพื่อนนางก็เครียดๆไม่รู้จะพูดอะไรได้ เราเลยลองมาสอบถามผู้รู้ในนี้ดีกว่า
เริ่มต้นเพื่อนเราค่ะ นางมาสายพีอาร์อีเว้นท์ ก็มาเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง โดยไม่คิดมาก มีงานมาก็รับเปิดเหมือนว่าจะขำๆ รับงานไป หุ้นส่วนก็ไม่มีใคร เอาพี่เอาน้องมาถือ ให้ครบ สามคน จนกระทั่งวันหนึ่งนางไปหลงรักกับโปรเจคอะไรบางอย่างที่นางทำงานประจำอยู่ จึงมีความคิดว่าอยากมาเปิดเองโดยใช้บริษัทนี่แหละ เปลี่ยนวัตถุประสงค์เอา แล้วเรื่องราวมันก็เกิดขึ้น นางตั้งโปรเจคนี้เนื่องจากนางก็ตั้งเงินทุนแค่ไม่เท่าไหร่ น่าจะพอใจการบริหารจัดการสิ่งที่จะทำ เรียกว่า โปรเจค กอไก่ แล้วกัน โปรเจคกอไก่ นี้ ต้องใช้เงินลงทุนประมาณหนึ่งแล้วจะไปหาได้อย่างไร ก็ระดมหาคนมาถือหุ้นสิคะ แต่นางก็คิดง่ายๆ คือ ไปชวนเพื่อนๆกันนี่แหละ ว่าใครอยากทำกับนางบ้าง (ตอนนั้นเราก็อยากทำนะโปรเจคน่าสนใจแต่ดั๊น สามี ไม่อนุมัติให้ทำ ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก) ทีนี้นางก็เลยได้เพื่อนมา จนครบหุ้น
ลงทุนกัน งบทั้งสิ้นประมาณห้าแสนบาท (บริษัทจดทะเบียน สองล้านบาท) นางก็ด้วยความคงไม่รู้มั้งคิดง่ายๆ (มาตอนนี้เราอยากตีมือนางแรงๆมาก ทำไมนางถึงยอมขนาดนั้น) นางยอมให้ผู้ลงทุนกับนางถือหุ้นในบริษัทที่นางเปิดไว้ ตามจำนวนเงินที่ลง โดยนางยอมถือหุ้นมากกว่าคนอื่นเพียง สามเปอร์เซ็นต์ได้มั้งคะ ก็ประมาณว่า นางลงเงินประมาณ แสนเจ็ดแสนแปดเนี่ยแหละ ที่เหลือก็เป็นอีกสองหุ้นลงไป ปรากฏว่า ทำไปสักพักไปไม่รอดค่ะเงินหมดไม่พอบริหาร มีการเพิ่ม แต่หุ้นส่วนคนนึงไม่ไหวก็ขอไม่ลงเพิ่ม จะทำไรก็ทำไป นางก็เลยลงต่อกับเพื่อนเพื่อให้งานรันต่อไปได้ สุดท้ายไปไม่รอดจริงๆ แต่ตอนนั้นนางก็แฮปปี้กับเพื่อนอีกคนนึงนะ (เราไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวแต่ก็เห็นเพื่อนพูดเรื่องดีๆให้ฟังบ่อยๆว่าเพื่อนคนนี้น่ารัก นิสัยดี บลา บลา บลา แอบน้อยใจแล้วเราล่ะ ห้าห้าห้า)
สุดท้ายโปรเจคก็ถูกพับเก็บไป นางก็เลยกลับไปทำงานประจำ แต่ก็ยังคงรับอีเว้น หรือพีอาร์เป็นงานฝิ่นนะ กับบริษัทของนาง แต่ว่าช่วงนั้นงานไม่มี เลยไม่ได้ขยับอะไรกับบริษัทนาง จนเรื่องเข้ามาตอนที่นางดั๊นไปได้รับโปรเจคใหญ่ที่อาจจะเป็นรายได้ประจำของบริษัท นาง นางก็มาปรึกษาเราแหละว่า งี้ๆ งี้ๆ ๆๆๆ งั้นๆๆ เราก็ถามกลับไปว่า อ้าวแล้วหุ้นส่วนอีกสองคนล่ะ ไม่ชวนเขาหรอ นางก็บอกว่า อือ ก่อนหน้านี้คนที่ร่วมหัวร่วมหางกันด้วยก็คุยกันนะว่ากลับมาทำอีเว้น เค้าก้อบอกว่าเอาด้วย แต่ก็ให้เขาช่วยทำพรีเซ้นไปขายงานกัน แต่ก็เงียบๆ สุดท้ายเขาก็มากระตุกๆ พอนางแอคทีฟขึ้นมา เพื่อนนางก็เงียบไป จนกระทั่งนางได้ลูกค้าอันนี้ นางบอกว่า พยายามไลน์ไป ก็ไม่อ่าน บอกว่าลูกค้าเป็นไงบลาบลาบลา เพื่อนก็ไม่ตอบ ไม่อะไร จนนางคิดว่านางทำคนเดียวไม่ได้เพราะโปรเจคต้องการคน นางเลยมาปรึกษาเรา ว่าจะทำไงดี เราก็เลย บอกว่าเธอมีผู้ถือหุ้นลองถามทุกคนดูก่อนไหมว่า อยากทำไหม
สรุป อีกคนนึงที่ถอดใจไปนานมาแล้วก็ดูไม่สนใจ เราเลยแนะนำว่า พอมีคนไหมล่ะ ช่วยกันวางแผน ไปพิชงาน เดี๋ยวงานมี เพื่อนก็มาแหละ ฉันอ่ะ ยังติดให้นมลูกอยู่เลยไปช่วยแกไม่ได้นะ เข้าใจเนอะ จากนั้น สักพักนางกลับมาบอกว่า พอดี นางคุยกับน้องสาว แล้วช่วยกันละ พิชมาได้งานแล้ว เราจึงถามถึงเพื่อนหุ้นส่วนล่ะ นางบอกว่ายังคงเงียบนะ แม้เรากระทั่งวันพิช และแล้วเมื่อวันที่นางไปรับบรีฟ นางก็โทรมาเล่าให้ฟังว่า เพื่อนติดต่อมาแล้ว โอเคมากเลย เพื่อนจะช่วย (หมายถึงคนที่ถือหุ้นอ่ะนะ) เราก็ยินดีกับนางด้วยมีคนช่วยแล้ว ยังแอบอิจฉาลึกๆ อยากไปทำด้วยจัง นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในพาร์ทแรก ที่เราคิดว่ามันน่าจะลงเองได้ด้วยดี
ปรากฏว่า นางหายไป สักสองสามเดือนก็กลับมานั่งปรับทุกข์กับเราว่า ทำไงดี เหมือนจะมีปัญหา ฉันไปทำเพื่อนฉันเดือดร้อนหรือเปล่า เราเลยถามว่า มีไรอีกอะ ดราม่าเนอะ นางบอกว่า ไม่หรอกเห็นเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน เริ่มมีอารมณ์แบบดาวน์ๆ งานการไม่ค่อยแตะ เหมือนเบื่อ ก็เลยรู้สึกว่า ไปเอาเขามาลำบากป่าวเพราะว่า ปกตินางเป็นลูกคณหนู อยู่บ้านเฉยๆ หายใจเฉยๆก็มีตังค์ใช้ ก็เลยเกิดเอฟเฟคป่าวไม่รู้ เราเลยบอกนางว่า งั้นเรียกคุยสิแกรร เรืองงี้พวกนี้เค้าน่าจะพูดตรงๆแหละ เค้าทนไม่ไหว เขาก็ไปเอง ไม่เสียเพื่อนด้วย ปรากฏว่าผ่านไปประมาณสามวันนางก็โทรมาเล่าว่า คุยแล้ว นางบอกว่าไม่ได้เป็นไร นางโอเค ก็แฮปปี้ นางบอกว่านางบอกไปหมดเลยว่า จากนี้ไปเราต้องคิดถึงอนาคตของบริษัทด้วยกัน ต้องวางโครงสร้างนะ นั่นนี่นู่น นางบอกว่าเพื่อนนางก็เข้าใจไปในทางเดียวกัน
แต่ ผ่านไปอาทิตย์นึงได้มั้ง นางบอกว่า เพื่อนนางกลับมีพฤติกรรมที่แย่ลง เลือกทำงานเฉพาะที่ตัวเองอยากทำ งานที่ควรช่วยกันทำ ไม่ทำ ตัดสินใจอะไรไม่ได้ เหวี่ยงใส่พนักงาน เหวี่ยงใส่ลูกค้า สำคัญตัวว่าใหญ่มากมาย ไรเงี้ย (อันนี้เราเวอร์เอง ห้าห้าห้า) จบจากการเล่าแค่นี้เพื่อนเราก็หายจากการติดต่อเรานานมาก ประมาณสองอาทิตย์มั้งเราก็คิดว่า นางคงเคลียร์ได้แล้ว ปรากฏว่า ล่าสุด นางมาเล่าให้ฟังว่า นางไม่ไหวละ ธาตุแท้คนมันออก นางบอกว่า นางพยายามคุยกัน อยากทราบว่าต้องการอะไร แต่เหมือนเพื่อนนางยังดูไม่เข้าใจตนเอง งานมีให้ทำไม่ทำ จะไปทำงานคนอื่น บางทีถึงกับไปอินซิเดียสเพื่อนเรา ราวกับว่าเป็นแอคโค่ก็ไม่ปาน ก็คือทำงานซ้ำซ้อนเพื่อนเรานั่นเอง จนเพื่อนเราสุดจะทน ก็ว่านางไป เพื่อนเราเคลียร์กันได้ความว่า นางไม่ชอบสังคมแบบนี้ ไม่ชอบงานแบบนี้ ไม่รู้สึกหลงใหลในงานประเภทนี้แต่กลับหลงใหลในงานอีกประเภท ต้องรื่นเริง ปาร์ตี้ ไรเงี้ย อีเพื่อนก็พาซื่อไปบอกว่า งั้นเราไปเปิดบริษัทใหม่กันมะ ทำแบบนี้เลย ถ้านางไม่ชอบลูกค้าอันนี้ก็เพราะเซ็นสัญญาตั้งปีนึง นางก็ดูเหมือนโอเค
ปรากฏว่า มาอีกวันหนึ่ง นางมาพูดกับเพื่อนฉันราวกับว่า อิเพื่อนฉันเป็นเมย์พิชในละครน้ำเน่า ว่า เธอวางแผนจะไล่ฉันออกจาบริษัทใช่ไหม งั้นเอาเงิน แสนแปดฉันคืนมา ฉันจะได้ไป สิ้นเสียงนี้ เราถึงขึ้นอุทานออกมาว่า เฮ้ยยยยย สมงสมอง คือไร นางบอกว่า อือ ตรูก็ช็อค เช่นกัน คือก่อนหน้านี้ หลายเดือนที่ผ่านมา นางก็รับเงินทุกเดือนนะ ในปริมาณที่มากพอสมควรด้วย เพราะเราเคยคุยกันด้วยวาจาว่า ไหนๆก็ไหนๆ เรามีลูกค้าที่เป็นรายได้ประจำ ทุกคนก็เอาตังค์ออกไปเท่าที่ที่ตนลงมา เพราะเข้าใจว่าเป็นเงินเก็บที่เอามาลงในโปรเจคกอไก่ แล้วหลังจากนั้นค่อย มาดูกันว่าจะบริหารจัดการยังไงต่อไป ซึ่งคนนั้นก็รับทราบ เพื่อนเรานางก็ไม่ค่อยคิดมากอะไร จนมาเจอเหตุการณ์แบบนี้แหละ เล่ามาเสียยาวเลย จับประเด็นประมาณนี้คือ
1. เงินที่เพื่อนนางเบิกออกไปทุกเดือน ไม่ใช่เบิกไปฐานะเงินเดือน แต่เป็นเงินยืมกรรมการ ( กรรมของมันจริงๆ ) อย่างนี้บริษัทต้องเสียดอกไหมคะ เรามองว่า ทำไมเพื่อนคนนั้นเห็นแก่ตัวจัง ไม่ยอมหักภาษี
2. จากพฤติกรรมการไม่ทำงานของเพื่อนคนนั้น ทำให้เกิดปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้าคอมเพลน ความขัดแย้ง ต่างๆนาๆ เพื่อนเราปวดหัวจัด นางบอกว่า ถ้าปัญหาเยอะมาก แล้วปวดหัว เสียทั้งเพื่อนเสียทั้งเงิน เอาเป็นว่า นางออกเอง เพราะนางคิดแล้วว่านางเซทระบบไว้แล้ว จึงคิดว่า ที่เพื่อนนางเป็นแบบนี้เพราะว่า อยากนั่งบริหารเองหรือเปล่า สุดท้าย อิเพื่อนคนนั้น หว่านล้อมกลับว่า อย่าทำแบบนี้สิ เห็นแก่ตัว ไม่ได้นะ คนอื่นจะทำอย่างไร (เราเดานะ คือนางทำงานไม่เป็นไง คืออิเพื่อนเราก็เมือนโดนสนสะพายเนอะ แฮ่ๆๆ ) แต่ก็ปลุกไฟในตัวเพื่อนเราขึ้นมาได้ จึงเกิดการเสนอกันว่า ไปเปิดบริษัทใหม่เพื่อให้เพือ่นนางสบายใจจะได้รับงานที่รัก แล้วอันนี้เด๋วนางจัดการเอง คำตอบที่ได้คือ ไล่ตรูหรา งั้นเอาเงินคืนมาแสนแปด เพื่อนเราพยายามอธิบายว่า ไม่สิ ตอนนี้ถ้าเธอจะเอาแสนแปดคืนไปเธอก็คำนวนจากที่เธอได้รับไปแล้วเหลือเท่าไหร่เด๋วนางให้ แต่เพื่อนนางไม่ยอมค่ะ บอกว่า เงินที่ได้รับรายเดือน (เงินที่เอาออกมาโดยไม่หักภาษี) นั่นคือเงินเดือนนาง ส่วนเงินหุ้นอีกเรื่องนึง ถ้าจะให้ออกต้องคืนนางค่ะ
3. ตอนนี้เพื่อนของนางเริ่มเหวี่ยงค่ะไปพูดถึงหุ้นส่วนก่อนหน้านี้อีกคนนึงที่ โอนหุ้นมาให้น้องที่มาช่วยงาน ว่า เพื่อนเราทำไม่ถูกต้อง ทั้งๆที่ตอนที่คุยกับหุ้นคนนั้น นางก็เห็นดีเห็นงามด้วยนะ คือเพื่อนเราคิดง่ายๆไง คุยจบๆว่า เออ โปรเจคเก่าเจ๊ง ตอนนี้โปรเจคใหม่ขอหุ้นคืนได้ไหมจะได้รันต่อ คือรันโปรเจคใหม่ต่ออะ ก็คือคนที่มาทำงาน ถ้าน้องไม่สะดวกมาก็ขอคืน หุ้นคนนั้นก็โอนหุ้นคืนให้โดยดุษฏี แล้วยังทิ้งท้ายว่า คนที่อยู่ต่อคือคนทำงานใช่ไหมคะ หนูคงไม่ได้ทำเพราะหนูมีงานทำอยู่อ่ะค่ะขอให้โชคดีนะคะ ประมาณนี้ (น้องคนนี้เราก็รู้จัก น้องเค้าติ๊สๆนะแต่ก็ดูมีเหตุผล) แต่อิเพื่อนคนนี้กลับมาว่าเพื่อนเราว่า ไม่มีคุณธรรมซะงั้น งง สิคะ
4. ตอนนี้เลยเป็นความกันค่ะ เนื่องจาก เพื่อนอิชั้นอีกแล้วค่ะ ไว้ใจฝุดๆ ให้เป็นกรรมการด้วย เอากะมันสิ หึหึหึ น่าหยิก นัก ทางนู้นเค้าพยายาม ปั่นประสาทเพื่อน แบบเริ่มมาว่า เพื่อนเราว่านี่คือ เราให้เธอยืมเงินมาเปิดบริษัท แสนแปด ตอนนี้บริษัทคุณดีขึ้นแล้วควรคืนนะคะ เราไม่คิดดอก โหๆๆๆ เราได้ยินมันเล่างี้ของขึ้นเลยอ่ะ บ้าไปแล้วเลยถามว่า ถามจริงๆ นางเป็นคนดีหรอ เพื่อนบอกว่า เออ เริ่มโกรธละ งานการก็ไม่ทำ มานั่งเสนอหน้าให้ลูกค้าเห็น แทนที่จะทำงานให้เค้าดูว่าเป็นมืออาชีพ เปล่าเลย เอางานที่บ้านมานั่งทำ ( เย็บปักถักร้อย แพคขงแพคของขาย) ทั้งๆที่งานที่ต้องทำให้ลูกค้าก็มีตั้งเยอะแยะ ยังจะมาบ่อนทำลาย ชอบทำหน้ามุ่ย จนลูกค้าชอบมาแอบถามว่า เขาเป็นอะไรหรอ เงี้ย จะบ้าตาย
อันนี้เราเล่าเรื่องปูมหลังมาพอสังเขปละค่ะ ( สังเขปมากจนจะทำซีรี่ย์ส์ได้ ) ขออภัยนะค้าอาจจะยาวหน่อย พอเล่าแล้วมันมันมือค่ะ สงสารเพื่อน
คำถามคือ
1. คือเพื่อนคนนี้ไม่ต่างอะไรกับกาฝาก ที่ทำนาบนหลังคนค่ะ ชอบอย่างเดียวคือเวลาที่ตัวเองเซ็นชื่อและทำเบิกเงินเดือนพนักงาน นางเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัท จะทำอย่างไรได้บ้างในจุดนี้คะ เพื่อนตอนนี้ถ้ารวมกับน้องสาวนางแล้วหุ้นนางมีประมาณหกสิบกว่า ค่ะ
2. จำเป็นต้องจ่ายแสนแปดไหมในเมื่อที่ผ่านมา มันเอาไปแล้ว แสนห้า ซึ่งมันบอกว่าไม่นับรวม (คงเป็นค่าที่มันมานั่งหายใจทิ้งที่ทำงานมั้งคะ)
3. จะทำอย่างไรดี ที่ต้องการให้มันถอนหุ้นออกไปโดยเพื่อนเรายินดีที่จะให้แสนแปดแหละแต่ต้องแสนแปดจริงๆ คือ รวมกับเงินที่มันมาเบิกรายเดือนไปอะค่ะ ขอย้ำอีกที เบิกไปไม่หักภาษี มีที่ไหนนนนนน
รบกวนผู้รู้ ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการถอนหุ้นบริษัทค่ะ สงสารเพื่อนมากๆ โดนทั้งขึ้นทั้งร่อง
1. ผู้ถือหุ้นตรวจสอบอะไรได้อะคะ
2. หุ้นชำระแค่ ร้อยละ25 โอนได้ด้วยหรอคะ
3. คือเข้าใจค่ะว่ามันต้องการเอาชนะ แต่ทุกอย่างแบบนี้จะแก้อย่างไรดีคะ
เรียงลำดับง่ายๆ บริษัทเปิดมาก่อน สามปี อยู่ดีๆจะทำโปรเจค เลยชวนคนมาร่วมหุ้น คนมาร่วมหุ้นลงเงินแค่ที่จะใช้
โปรเจคเจ้ง มีคนถอ นหุ้นออกไป คนที่อยู่ก็อยู่ไปงั้นจนมีลูกค้ามา อยู่ดีๆ ไม่ช่วยทำงาน แต่จะเอาเงิน
เอาเงินออกไปโดยไม่เสียภาษี ไม่ทำงานไม่รับผิกชอบงานจนงานเขาป่วนไปหมด
สุดท้ายโดนปลดจากกรรมการ ตอนนี้จะมาบอหว่าจะขายหุ้นให้คนสิบคน
ควรทำอย่างไรดีคะ???
ก่อนอื่นต้องขอเล่าก่อนว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนคนหนึ่งค่ะ นางเป็นคนชอบทำงาน แล้วตอนนี้ประสบปัญหาเรื่องเกี่ยวกับกฏหมายและหุ้นส่วน นางเลยไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครเพราะว่า ตอนที่เปิดบริษัท หรือ ทำบริษัทก็ไม่คิดว่าสุดท้ายจะเกิดปัญหาขึ้นกับหุ้นส่วนซึ่งเป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันเองค่ะ เราเองก็เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ด้วยความไม่ประสาอะไรกับเรื่องของกฏหมาย ส่วนเพื่อนนางก็เครียดๆไม่รู้จะพูดอะไรได้ เราเลยลองมาสอบถามผู้รู้ในนี้ดีกว่า
เริ่มต้นเพื่อนเราค่ะ นางมาสายพีอาร์อีเว้นท์ ก็มาเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง โดยไม่คิดมาก มีงานมาก็รับเปิดเหมือนว่าจะขำๆ รับงานไป หุ้นส่วนก็ไม่มีใคร เอาพี่เอาน้องมาถือ ให้ครบ สามคน จนกระทั่งวันหนึ่งนางไปหลงรักกับโปรเจคอะไรบางอย่างที่นางทำงานประจำอยู่ จึงมีความคิดว่าอยากมาเปิดเองโดยใช้บริษัทนี่แหละ เปลี่ยนวัตถุประสงค์เอา แล้วเรื่องราวมันก็เกิดขึ้น นางตั้งโปรเจคนี้เนื่องจากนางก็ตั้งเงินทุนแค่ไม่เท่าไหร่ น่าจะพอใจการบริหารจัดการสิ่งที่จะทำ เรียกว่า โปรเจค กอไก่ แล้วกัน โปรเจคกอไก่ นี้ ต้องใช้เงินลงทุนประมาณหนึ่งแล้วจะไปหาได้อย่างไร ก็ระดมหาคนมาถือหุ้นสิคะ แต่นางก็คิดง่ายๆ คือ ไปชวนเพื่อนๆกันนี่แหละ ว่าใครอยากทำกับนางบ้าง (ตอนนั้นเราก็อยากทำนะโปรเจคน่าสนใจแต่ดั๊น สามี ไม่อนุมัติให้ทำ ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก) ทีนี้นางก็เลยได้เพื่อนมา จนครบหุ้น
ลงทุนกัน งบทั้งสิ้นประมาณห้าแสนบาท (บริษัทจดทะเบียน สองล้านบาท) นางก็ด้วยความคงไม่รู้มั้งคิดง่ายๆ (มาตอนนี้เราอยากตีมือนางแรงๆมาก ทำไมนางถึงยอมขนาดนั้น) นางยอมให้ผู้ลงทุนกับนางถือหุ้นในบริษัทที่นางเปิดไว้ ตามจำนวนเงินที่ลง โดยนางยอมถือหุ้นมากกว่าคนอื่นเพียง สามเปอร์เซ็นต์ได้มั้งคะ ก็ประมาณว่า นางลงเงินประมาณ แสนเจ็ดแสนแปดเนี่ยแหละ ที่เหลือก็เป็นอีกสองหุ้นลงไป ปรากฏว่า ทำไปสักพักไปไม่รอดค่ะเงินหมดไม่พอบริหาร มีการเพิ่ม แต่หุ้นส่วนคนนึงไม่ไหวก็ขอไม่ลงเพิ่ม จะทำไรก็ทำไป นางก็เลยลงต่อกับเพื่อนเพื่อให้งานรันต่อไปได้ สุดท้ายไปไม่รอดจริงๆ แต่ตอนนั้นนางก็แฮปปี้กับเพื่อนอีกคนนึงนะ (เราไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวแต่ก็เห็นเพื่อนพูดเรื่องดีๆให้ฟังบ่อยๆว่าเพื่อนคนนี้น่ารัก นิสัยดี บลา บลา บลา แอบน้อยใจแล้วเราล่ะ ห้าห้าห้า)
สุดท้ายโปรเจคก็ถูกพับเก็บไป นางก็เลยกลับไปทำงานประจำ แต่ก็ยังคงรับอีเว้น หรือพีอาร์เป็นงานฝิ่นนะ กับบริษัทของนาง แต่ว่าช่วงนั้นงานไม่มี เลยไม่ได้ขยับอะไรกับบริษัทนาง จนเรื่องเข้ามาตอนที่นางดั๊นไปได้รับโปรเจคใหญ่ที่อาจจะเป็นรายได้ประจำของบริษัท นาง นางก็มาปรึกษาเราแหละว่า งี้ๆ งี้ๆ ๆๆๆ งั้นๆๆ เราก็ถามกลับไปว่า อ้าวแล้วหุ้นส่วนอีกสองคนล่ะ ไม่ชวนเขาหรอ นางก็บอกว่า อือ ก่อนหน้านี้คนที่ร่วมหัวร่วมหางกันด้วยก็คุยกันนะว่ากลับมาทำอีเว้น เค้าก้อบอกว่าเอาด้วย แต่ก็ให้เขาช่วยทำพรีเซ้นไปขายงานกัน แต่ก็เงียบๆ สุดท้ายเขาก็มากระตุกๆ พอนางแอคทีฟขึ้นมา เพื่อนนางก็เงียบไป จนกระทั่งนางได้ลูกค้าอันนี้ นางบอกว่า พยายามไลน์ไป ก็ไม่อ่าน บอกว่าลูกค้าเป็นไงบลาบลาบลา เพื่อนก็ไม่ตอบ ไม่อะไร จนนางคิดว่านางทำคนเดียวไม่ได้เพราะโปรเจคต้องการคน นางเลยมาปรึกษาเรา ว่าจะทำไงดี เราก็เลย บอกว่าเธอมีผู้ถือหุ้นลองถามทุกคนดูก่อนไหมว่า อยากทำไหม
สรุป อีกคนนึงที่ถอดใจไปนานมาแล้วก็ดูไม่สนใจ เราเลยแนะนำว่า พอมีคนไหมล่ะ ช่วยกันวางแผน ไปพิชงาน เดี๋ยวงานมี เพื่อนก็มาแหละ ฉันอ่ะ ยังติดให้นมลูกอยู่เลยไปช่วยแกไม่ได้นะ เข้าใจเนอะ จากนั้น สักพักนางกลับมาบอกว่า พอดี นางคุยกับน้องสาว แล้วช่วยกันละ พิชมาได้งานแล้ว เราจึงถามถึงเพื่อนหุ้นส่วนล่ะ นางบอกว่ายังคงเงียบนะ แม้เรากระทั่งวันพิช และแล้วเมื่อวันที่นางไปรับบรีฟ นางก็โทรมาเล่าให้ฟังว่า เพื่อนติดต่อมาแล้ว โอเคมากเลย เพื่อนจะช่วย (หมายถึงคนที่ถือหุ้นอ่ะนะ) เราก็ยินดีกับนางด้วยมีคนช่วยแล้ว ยังแอบอิจฉาลึกๆ อยากไปทำด้วยจัง นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในพาร์ทแรก ที่เราคิดว่ามันน่าจะลงเองได้ด้วยดี
ปรากฏว่า นางหายไป สักสองสามเดือนก็กลับมานั่งปรับทุกข์กับเราว่า ทำไงดี เหมือนจะมีปัญหา ฉันไปทำเพื่อนฉันเดือดร้อนหรือเปล่า เราเลยถามว่า มีไรอีกอะ ดราม่าเนอะ นางบอกว่า ไม่หรอกเห็นเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน เริ่มมีอารมณ์แบบดาวน์ๆ งานการไม่ค่อยแตะ เหมือนเบื่อ ก็เลยรู้สึกว่า ไปเอาเขามาลำบากป่าวเพราะว่า ปกตินางเป็นลูกคณหนู อยู่บ้านเฉยๆ หายใจเฉยๆก็มีตังค์ใช้ ก็เลยเกิดเอฟเฟคป่าวไม่รู้ เราเลยบอกนางว่า งั้นเรียกคุยสิแกรร เรืองงี้พวกนี้เค้าน่าจะพูดตรงๆแหละ เค้าทนไม่ไหว เขาก็ไปเอง ไม่เสียเพื่อนด้วย ปรากฏว่าผ่านไปประมาณสามวันนางก็โทรมาเล่าว่า คุยแล้ว นางบอกว่าไม่ได้เป็นไร นางโอเค ก็แฮปปี้ นางบอกว่านางบอกไปหมดเลยว่า จากนี้ไปเราต้องคิดถึงอนาคตของบริษัทด้วยกัน ต้องวางโครงสร้างนะ นั่นนี่นู่น นางบอกว่าเพื่อนนางก็เข้าใจไปในทางเดียวกัน
แต่ ผ่านไปอาทิตย์นึงได้มั้ง นางบอกว่า เพื่อนนางกลับมีพฤติกรรมที่แย่ลง เลือกทำงานเฉพาะที่ตัวเองอยากทำ งานที่ควรช่วยกันทำ ไม่ทำ ตัดสินใจอะไรไม่ได้ เหวี่ยงใส่พนักงาน เหวี่ยงใส่ลูกค้า สำคัญตัวว่าใหญ่มากมาย ไรเงี้ย (อันนี้เราเวอร์เอง ห้าห้าห้า) จบจากการเล่าแค่นี้เพื่อนเราก็หายจากการติดต่อเรานานมาก ประมาณสองอาทิตย์มั้งเราก็คิดว่า นางคงเคลียร์ได้แล้ว ปรากฏว่า ล่าสุด นางมาเล่าให้ฟังว่า นางไม่ไหวละ ธาตุแท้คนมันออก นางบอกว่า นางพยายามคุยกัน อยากทราบว่าต้องการอะไร แต่เหมือนเพื่อนนางยังดูไม่เข้าใจตนเอง งานมีให้ทำไม่ทำ จะไปทำงานคนอื่น บางทีถึงกับไปอินซิเดียสเพื่อนเรา ราวกับว่าเป็นแอคโค่ก็ไม่ปาน ก็คือทำงานซ้ำซ้อนเพื่อนเรานั่นเอง จนเพื่อนเราสุดจะทน ก็ว่านางไป เพื่อนเราเคลียร์กันได้ความว่า นางไม่ชอบสังคมแบบนี้ ไม่ชอบงานแบบนี้ ไม่รู้สึกหลงใหลในงานประเภทนี้แต่กลับหลงใหลในงานอีกประเภท ต้องรื่นเริง ปาร์ตี้ ไรเงี้ย อีเพื่อนก็พาซื่อไปบอกว่า งั้นเราไปเปิดบริษัทใหม่กันมะ ทำแบบนี้เลย ถ้านางไม่ชอบลูกค้าอันนี้ก็เพราะเซ็นสัญญาตั้งปีนึง นางก็ดูเหมือนโอเค
ปรากฏว่า มาอีกวันหนึ่ง นางมาพูดกับเพื่อนฉันราวกับว่า อิเพื่อนฉันเป็นเมย์พิชในละครน้ำเน่า ว่า เธอวางแผนจะไล่ฉันออกจาบริษัทใช่ไหม งั้นเอาเงิน แสนแปดฉันคืนมา ฉันจะได้ไป สิ้นเสียงนี้ เราถึงขึ้นอุทานออกมาว่า เฮ้ยยยยย สมงสมอง คือไร นางบอกว่า อือ ตรูก็ช็อค เช่นกัน คือก่อนหน้านี้ หลายเดือนที่ผ่านมา นางก็รับเงินทุกเดือนนะ ในปริมาณที่มากพอสมควรด้วย เพราะเราเคยคุยกันด้วยวาจาว่า ไหนๆก็ไหนๆ เรามีลูกค้าที่เป็นรายได้ประจำ ทุกคนก็เอาตังค์ออกไปเท่าที่ที่ตนลงมา เพราะเข้าใจว่าเป็นเงินเก็บที่เอามาลงในโปรเจคกอไก่ แล้วหลังจากนั้นค่อย มาดูกันว่าจะบริหารจัดการยังไงต่อไป ซึ่งคนนั้นก็รับทราบ เพื่อนเรานางก็ไม่ค่อยคิดมากอะไร จนมาเจอเหตุการณ์แบบนี้แหละ เล่ามาเสียยาวเลย จับประเด็นประมาณนี้คือ
1. เงินที่เพื่อนนางเบิกออกไปทุกเดือน ไม่ใช่เบิกไปฐานะเงินเดือน แต่เป็นเงินยืมกรรมการ ( กรรมของมันจริงๆ ) อย่างนี้บริษัทต้องเสียดอกไหมคะ เรามองว่า ทำไมเพื่อนคนนั้นเห็นแก่ตัวจัง ไม่ยอมหักภาษี
2. จากพฤติกรรมการไม่ทำงานของเพื่อนคนนั้น ทำให้เกิดปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้าคอมเพลน ความขัดแย้ง ต่างๆนาๆ เพื่อนเราปวดหัวจัด นางบอกว่า ถ้าปัญหาเยอะมาก แล้วปวดหัว เสียทั้งเพื่อนเสียทั้งเงิน เอาเป็นว่า นางออกเอง เพราะนางคิดแล้วว่านางเซทระบบไว้แล้ว จึงคิดว่า ที่เพื่อนนางเป็นแบบนี้เพราะว่า อยากนั่งบริหารเองหรือเปล่า สุดท้าย อิเพื่อนคนนั้น หว่านล้อมกลับว่า อย่าทำแบบนี้สิ เห็นแก่ตัว ไม่ได้นะ คนอื่นจะทำอย่างไร (เราเดานะ คือนางทำงานไม่เป็นไง คืออิเพื่อนเราก็เมือนโดนสนสะพายเนอะ แฮ่ๆๆ ) แต่ก็ปลุกไฟในตัวเพื่อนเราขึ้นมาได้ จึงเกิดการเสนอกันว่า ไปเปิดบริษัทใหม่เพื่อให้เพือ่นนางสบายใจจะได้รับงานที่รัก แล้วอันนี้เด๋วนางจัดการเอง คำตอบที่ได้คือ ไล่ตรูหรา งั้นเอาเงินคืนมาแสนแปด เพื่อนเราพยายามอธิบายว่า ไม่สิ ตอนนี้ถ้าเธอจะเอาแสนแปดคืนไปเธอก็คำนวนจากที่เธอได้รับไปแล้วเหลือเท่าไหร่เด๋วนางให้ แต่เพื่อนนางไม่ยอมค่ะ บอกว่า เงินที่ได้รับรายเดือน (เงินที่เอาออกมาโดยไม่หักภาษี) นั่นคือเงินเดือนนาง ส่วนเงินหุ้นอีกเรื่องนึง ถ้าจะให้ออกต้องคืนนางค่ะ
3. ตอนนี้เพื่อนของนางเริ่มเหวี่ยงค่ะไปพูดถึงหุ้นส่วนก่อนหน้านี้อีกคนนึงที่ โอนหุ้นมาให้น้องที่มาช่วยงาน ว่า เพื่อนเราทำไม่ถูกต้อง ทั้งๆที่ตอนที่คุยกับหุ้นคนนั้น นางก็เห็นดีเห็นงามด้วยนะ คือเพื่อนเราคิดง่ายๆไง คุยจบๆว่า เออ โปรเจคเก่าเจ๊ง ตอนนี้โปรเจคใหม่ขอหุ้นคืนได้ไหมจะได้รันต่อ คือรันโปรเจคใหม่ต่ออะ ก็คือคนที่มาทำงาน ถ้าน้องไม่สะดวกมาก็ขอคืน หุ้นคนนั้นก็โอนหุ้นคืนให้โดยดุษฏี แล้วยังทิ้งท้ายว่า คนที่อยู่ต่อคือคนทำงานใช่ไหมคะ หนูคงไม่ได้ทำเพราะหนูมีงานทำอยู่อ่ะค่ะขอให้โชคดีนะคะ ประมาณนี้ (น้องคนนี้เราก็รู้จัก น้องเค้าติ๊สๆนะแต่ก็ดูมีเหตุผล) แต่อิเพื่อนคนนี้กลับมาว่าเพื่อนเราว่า ไม่มีคุณธรรมซะงั้น งง สิคะ
4. ตอนนี้เลยเป็นความกันค่ะ เนื่องจาก เพื่อนอิชั้นอีกแล้วค่ะ ไว้ใจฝุดๆ ให้เป็นกรรมการด้วย เอากะมันสิ หึหึหึ น่าหยิก นัก ทางนู้นเค้าพยายาม ปั่นประสาทเพื่อน แบบเริ่มมาว่า เพื่อนเราว่านี่คือ เราให้เธอยืมเงินมาเปิดบริษัท แสนแปด ตอนนี้บริษัทคุณดีขึ้นแล้วควรคืนนะคะ เราไม่คิดดอก โหๆๆๆ เราได้ยินมันเล่างี้ของขึ้นเลยอ่ะ บ้าไปแล้วเลยถามว่า ถามจริงๆ นางเป็นคนดีหรอ เพื่อนบอกว่า เออ เริ่มโกรธละ งานการก็ไม่ทำ มานั่งเสนอหน้าให้ลูกค้าเห็น แทนที่จะทำงานให้เค้าดูว่าเป็นมืออาชีพ เปล่าเลย เอางานที่บ้านมานั่งทำ ( เย็บปักถักร้อย แพคขงแพคของขาย) ทั้งๆที่งานที่ต้องทำให้ลูกค้าก็มีตั้งเยอะแยะ ยังจะมาบ่อนทำลาย ชอบทำหน้ามุ่ย จนลูกค้าชอบมาแอบถามว่า เขาเป็นอะไรหรอ เงี้ย จะบ้าตาย
อันนี้เราเล่าเรื่องปูมหลังมาพอสังเขปละค่ะ ( สังเขปมากจนจะทำซีรี่ย์ส์ได้ ) ขออภัยนะค้าอาจจะยาวหน่อย พอเล่าแล้วมันมันมือค่ะ สงสารเพื่อน
คำถามคือ
1. คือเพื่อนคนนี้ไม่ต่างอะไรกับกาฝาก ที่ทำนาบนหลังคนค่ะ ชอบอย่างเดียวคือเวลาที่ตัวเองเซ็นชื่อและทำเบิกเงินเดือนพนักงาน นางเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัท จะทำอย่างไรได้บ้างในจุดนี้คะ เพื่อนตอนนี้ถ้ารวมกับน้องสาวนางแล้วหุ้นนางมีประมาณหกสิบกว่า ค่ะ
2. จำเป็นต้องจ่ายแสนแปดไหมในเมื่อที่ผ่านมา มันเอาไปแล้ว แสนห้า ซึ่งมันบอกว่าไม่นับรวม (คงเป็นค่าที่มันมานั่งหายใจทิ้งที่ทำงานมั้งคะ)
3. จะทำอย่างไรดี ที่ต้องการให้มันถอนหุ้นออกไปโดยเพื่อนเรายินดีที่จะให้แสนแปดแหละแต่ต้องแสนแปดจริงๆ คือ รวมกับเงินที่มันมาเบิกรายเดือนไปอะค่ะ ขอย้ำอีกที เบิกไปไม่หักภาษี มีที่ไหนนนนนน