เมื่อปลายปี 55 ได้มีโอกาสเดินทางไปยังบ้านพักของพ่อที่จังหวัดลพบุรี (พ่อ จขกท. ทำงานอยู่ที่จังหวัดนี้) และได้เจอะเจอกับเหตุการณ์สยองขวัญที่ชีวิตนี้ไม่มีทางลืม
วันนั้นเรามาถึงลพบุรีประมาณ 10 โมงแต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปหาพ่อที่บ้าน ขับรถลัดเลาะหาที่เที่ยวไปเรื่อยเพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้มา แวะเที่ยวแวะกินจนบ่ายแก่จึงตัดสินใจกลับ มาถึงบ้านก็สวัสดีพ่อ พูดคุยกันนิดหน่อย พ่อบอกว่าให้เราขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้ลงมาทานข้าวพร้อมกัน
(บ้านหลังนี้เป็นบ้านปูน 2 ชั้น อยู่ติดถนน ฝั่งตรงข้ามบ้านเป็นป่าหญ้าและมีต้นก้ามปูใหญ่สูงตะหง่าน อายุไม่น่าต่ำกว่า 30-40 ปีหรืออาจจะมากกว่านั้น)
บ้านหลังนี้นอกจากพ่อแล้ว ก็ยังมีลุงจิตเพื่อนพ่อและภรรยาของแกอาศัยอยู่ด้วย เราทั้ง 4 คนนั่งทานข้าวไปพลางดูทีวีไปพลาง หลังทานข้าวเสร็จก็นั่งทานผลไม้ คุยกันสัพเพเหระจนเกือบ 4 ทุ่มก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอน ลุงจิตกับภรรยาแกนอนที่ชั้นล่างของบ้าน ส่วนเรานอนห้องใกล้ๆห้องพ่อซึ่งแต่เดิมเป็นห้องของลูกชายลุงจิตที่ตอนนี้เค้าไปทำงานอยู่ที่เมืองนอกนานๆจะกลับมาบ้านซะที
หลังจากเข้าห้องมาได้ซักพักพ่อก็มาเคาะประตูเรียก เราเปิดประตูออกไปถามพ่อว่ามีอะไรเหรอพ่อ พ่อเราบอกว่าคืนนี้นอนที่นี่อย่าลืมสวดมนต์บอกเจ้าที่เจ้าทางด้วยนะแล้วก็ถ้าดึกๆ...ถ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติห้ามลุกมาดู ห้ามทัก ห้ามพูดอะไรทั้งนั้นเข้าใจมั้ย??? เราค่อนข้างแปลกใจกับสิ่งที่พ่อพูดแต่ก็พยักหน้ารับทราบแม้ในใจตอนนี้อยากจะถามออกไปแต่ก็พอจะรู้ว่าพ่อคงไม่บอก หรือจริงๆมันไม่ได้มีอะไร พ่ออาจจะแค่มาเตือนตามปกติ เพราะพ่อก็รู้ว่าเรามีสัมผัสที่ 6 ชอบเห็นภูติผีวิญญาณ
เที่ยงคืนกว่าแล้วเราก็นั่งนอนดูทีวีอยู่ ด้วยความที่แปลกที่ทำให้นอนไม่หลับก็เลยดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยบวกกับนอนคิดว่าพรุ่งนี้จะไปไหนอีกดี มาท้งทีก็ต้องเที่ยวให้คุ้ม ...แล้วก็คงผล็อยหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีตอนตี 2 กว่า รู้สึกปวดฉี่อยากเข้าห้องน้ำ แต่ห้องน้ำมันอยู่ชั้นล่าง ต้องออกจากห้องและเดินลงไป
นอกห้องไม่มืดอย่างที่คิดคงเป็นเพราะตำแหน่งของเสาไฟฟ้าที่อยู่หน้าบ้านพอดีจึงทำให้ความสว่างสาดเข้ามาถึงในบ้าน และระหว่างที่เรากำลังเดินลงบันไดไปชั้นล่าง (ตอนนี้ยืนอยู่ตรงทางเชื่อมบันได) จากตรงนี้เรามองผ่านหน้าต่างออกไปยังถนนหน้าบ้าน ตำแหน่งของหน้าต่างที่เรายืนอยู่เยื้องกับต้นก้ามปูเล็กน้อยและระหว่างที่เราสอดส่ายสายตาไปเรื่อย (ก็ไม่รู้จะมายืนสอดส่องอะไรเวลานี้) เราก็เห็นผู้หญิงคนนึงเดินอยู่ข้างทาง แต่งตัวแบบชาวบ้าน นุ่งผ้าถุงใส่เสื้อยืดสีขาว สวมรองเท้าแตะ ตอนนั้นในใจยังคิดว่าคงเป็นชาวบ้านแถวนี้ที่อาจจะออกมาหากบหาเขียดไปขาย หรือไม่ก็อาจจะไปไหนมาแล้วเพิ่งกลับมาก็ได้ พอเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้นึกสนใจอะไร กำลังจะก้าวขาเดินลงบันไดต่อ อยู่ๆก็มีเสียงหมาหอนดังต่อกันมาเป็นทอดๆระงมไปทั่ว จากที่จะก้าวขาลงบันไดไปชั้นล่างตอนนี้กลายเป็นเปลี่ยนใจไม่ปงไม่ไปมันละห้องน้ำ อั้นไว้ดีกว่า
แต่ยังไม่ทันจะได้เดินกลับขึ้นไปชั้น 2 เหมือนมีบางอย่างมาดลใจให้เราหันกลับไปมองที่ต้นก้ามปูอีกครั้งและสิ่งที่เราเห็นก็คือ ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ใต้ต้นก้ามปูและกำลังจะปีนขึ้นไป เราค่อนข้างตกใจในสิ่งที่เห็นแต่ด้วยความอยากรู้ก็ยังยืนมองอย่างไม่คลาดสายตาจนเผลอหลุดปากไปว่า "ปีนขึ้นไปทำไมวะ"
และไม่นานคำตอบก็มาถึง เมื่อผู้หญิงคนนี้ปีนขึ้นไปบนต้นก้ามปูสำเร็จ ตอนนี้เราไม่เห็นตัวของผู้หญิงคนนั้นแล้วเพราะบนต้นก้ามปูค่อนข้างมืดจนมองไม่ค่อยชัดว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่บริเวณไหนของต้น หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเราก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิง เสียงนั้นดังและแหลมมาก (ตอนนั้นสายตาเรายังจับจ้องอยู่ที่ต้นก้ามปู) เสียงกรีดร้องหยุดไป .........และอยู่ๆ..... ก็มีร่างของคนร่วงลงมาจากต้นก้ามปู เพียงแต่ร่างนั้นไม่ได้ร่วงลงมาที่พื้น ร่างนั้นห้อยต่องแต่งอยู่กับกิ่งใดกิ่งหนึ่งของต้นก้ามปูโดยมีสิ่งหนึ่งรัดอยู่ที่ลำคอของร่างนั้น แล้วเสียงกรีดร้องก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงหมาหอนโหยหวนต่อเนื่อง......
เราตื่นมาอีกทีที่ห้องรับแขกตอนเที่ยงของอีกวัน คำแรกที่ได้ยินออกมาจากพ่อ "เจอจนได้ ขนาดเตือนแล้วนะ" หลังจากที่พูดคุยกัน เลยจับใจความได้ว่า ผู้หญิงคนนี้มาผูกคอตายที่ใต้ต้นก้ามปูเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เพราะว่าสามีเค้าหนีไปกับเมียน้อยทิ้งหนี้สินไว้ให้รับผิดชอบมากมาย คงเครียดเลยหาทางออกให้ชีวิตตัวเองแบบนี้ พ่อบอกว่าจะได้ยินเสียงกรีดร้องนี้ทุกคืนตั้งแต่เกิดเรื่อง แต่พ่อไม่เคยออกมาดูเพราะพ่อรู้ว่าคืออะไร อีกอย่างวิญญาณเค้าแรงมาก ขนาดเอาพระมาทำพิธียังไม่ไปเลย
เราไม่เคยกลับไปที่นั่นอีกและไม่คิดจะกลับไป .... เรากลัวที่จะต้องเห็น ต้องเจอกับเธออีก ครั้งเดียวก็เกินพอ
เธอ ... ที่ลพบุรี
วันนั้นเรามาถึงลพบุรีประมาณ 10 โมงแต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปหาพ่อที่บ้าน ขับรถลัดเลาะหาที่เที่ยวไปเรื่อยเพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้มา แวะเที่ยวแวะกินจนบ่ายแก่จึงตัดสินใจกลับ มาถึงบ้านก็สวัสดีพ่อ พูดคุยกันนิดหน่อย พ่อบอกว่าให้เราขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้ลงมาทานข้าวพร้อมกัน
(บ้านหลังนี้เป็นบ้านปูน 2 ชั้น อยู่ติดถนน ฝั่งตรงข้ามบ้านเป็นป่าหญ้าและมีต้นก้ามปูใหญ่สูงตะหง่าน อายุไม่น่าต่ำกว่า 30-40 ปีหรืออาจจะมากกว่านั้น)
บ้านหลังนี้นอกจากพ่อแล้ว ก็ยังมีลุงจิตเพื่อนพ่อและภรรยาของแกอาศัยอยู่ด้วย เราทั้ง 4 คนนั่งทานข้าวไปพลางดูทีวีไปพลาง หลังทานข้าวเสร็จก็นั่งทานผลไม้ คุยกันสัพเพเหระจนเกือบ 4 ทุ่มก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอน ลุงจิตกับภรรยาแกนอนที่ชั้นล่างของบ้าน ส่วนเรานอนห้องใกล้ๆห้องพ่อซึ่งแต่เดิมเป็นห้องของลูกชายลุงจิตที่ตอนนี้เค้าไปทำงานอยู่ที่เมืองนอกนานๆจะกลับมาบ้านซะที
หลังจากเข้าห้องมาได้ซักพักพ่อก็มาเคาะประตูเรียก เราเปิดประตูออกไปถามพ่อว่ามีอะไรเหรอพ่อ พ่อเราบอกว่าคืนนี้นอนที่นี่อย่าลืมสวดมนต์บอกเจ้าที่เจ้าทางด้วยนะแล้วก็ถ้าดึกๆ...ถ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติห้ามลุกมาดู ห้ามทัก ห้ามพูดอะไรทั้งนั้นเข้าใจมั้ย??? เราค่อนข้างแปลกใจกับสิ่งที่พ่อพูดแต่ก็พยักหน้ารับทราบแม้ในใจตอนนี้อยากจะถามออกไปแต่ก็พอจะรู้ว่าพ่อคงไม่บอก หรือจริงๆมันไม่ได้มีอะไร พ่ออาจจะแค่มาเตือนตามปกติ เพราะพ่อก็รู้ว่าเรามีสัมผัสที่ 6 ชอบเห็นภูติผีวิญญาณ
เที่ยงคืนกว่าแล้วเราก็นั่งนอนดูทีวีอยู่ ด้วยความที่แปลกที่ทำให้นอนไม่หลับก็เลยดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยบวกกับนอนคิดว่าพรุ่งนี้จะไปไหนอีกดี มาท้งทีก็ต้องเที่ยวให้คุ้ม ...แล้วก็คงผล็อยหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีตอนตี 2 กว่า รู้สึกปวดฉี่อยากเข้าห้องน้ำ แต่ห้องน้ำมันอยู่ชั้นล่าง ต้องออกจากห้องและเดินลงไป
นอกห้องไม่มืดอย่างที่คิดคงเป็นเพราะตำแหน่งของเสาไฟฟ้าที่อยู่หน้าบ้านพอดีจึงทำให้ความสว่างสาดเข้ามาถึงในบ้าน และระหว่างที่เรากำลังเดินลงบันไดไปชั้นล่าง (ตอนนี้ยืนอยู่ตรงทางเชื่อมบันได) จากตรงนี้เรามองผ่านหน้าต่างออกไปยังถนนหน้าบ้าน ตำแหน่งของหน้าต่างที่เรายืนอยู่เยื้องกับต้นก้ามปูเล็กน้อยและระหว่างที่เราสอดส่ายสายตาไปเรื่อย (ก็ไม่รู้จะมายืนสอดส่องอะไรเวลานี้) เราก็เห็นผู้หญิงคนนึงเดินอยู่ข้างทาง แต่งตัวแบบชาวบ้าน นุ่งผ้าถุงใส่เสื้อยืดสีขาว สวมรองเท้าแตะ ตอนนั้นในใจยังคิดว่าคงเป็นชาวบ้านแถวนี้ที่อาจจะออกมาหากบหาเขียดไปขาย หรือไม่ก็อาจจะไปไหนมาแล้วเพิ่งกลับมาก็ได้ พอเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้นึกสนใจอะไร กำลังจะก้าวขาเดินลงบันไดต่อ อยู่ๆก็มีเสียงหมาหอนดังต่อกันมาเป็นทอดๆระงมไปทั่ว จากที่จะก้าวขาลงบันไดไปชั้นล่างตอนนี้กลายเป็นเปลี่ยนใจไม่ปงไม่ไปมันละห้องน้ำ อั้นไว้ดีกว่า
แต่ยังไม่ทันจะได้เดินกลับขึ้นไปชั้น 2 เหมือนมีบางอย่างมาดลใจให้เราหันกลับไปมองที่ต้นก้ามปูอีกครั้งและสิ่งที่เราเห็นก็คือ ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ใต้ต้นก้ามปูและกำลังจะปีนขึ้นไป เราค่อนข้างตกใจในสิ่งที่เห็นแต่ด้วยความอยากรู้ก็ยังยืนมองอย่างไม่คลาดสายตาจนเผลอหลุดปากไปว่า "ปีนขึ้นไปทำไมวะ"
และไม่นานคำตอบก็มาถึง เมื่อผู้หญิงคนนี้ปีนขึ้นไปบนต้นก้ามปูสำเร็จ ตอนนี้เราไม่เห็นตัวของผู้หญิงคนนั้นแล้วเพราะบนต้นก้ามปูค่อนข้างมืดจนมองไม่ค่อยชัดว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่บริเวณไหนของต้น หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเราก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิง เสียงนั้นดังและแหลมมาก (ตอนนั้นสายตาเรายังจับจ้องอยู่ที่ต้นก้ามปู) เสียงกรีดร้องหยุดไป .........และอยู่ๆ..... ก็มีร่างของคนร่วงลงมาจากต้นก้ามปู เพียงแต่ร่างนั้นไม่ได้ร่วงลงมาที่พื้น ร่างนั้นห้อยต่องแต่งอยู่กับกิ่งใดกิ่งหนึ่งของต้นก้ามปูโดยมีสิ่งหนึ่งรัดอยู่ที่ลำคอของร่างนั้น แล้วเสียงกรีดร้องก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงหมาหอนโหยหวนต่อเนื่อง......
เราตื่นมาอีกทีที่ห้องรับแขกตอนเที่ยงของอีกวัน คำแรกที่ได้ยินออกมาจากพ่อ "เจอจนได้ ขนาดเตือนแล้วนะ" หลังจากที่พูดคุยกัน เลยจับใจความได้ว่า ผู้หญิงคนนี้มาผูกคอตายที่ใต้ต้นก้ามปูเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เพราะว่าสามีเค้าหนีไปกับเมียน้อยทิ้งหนี้สินไว้ให้รับผิดชอบมากมาย คงเครียดเลยหาทางออกให้ชีวิตตัวเองแบบนี้ พ่อบอกว่าจะได้ยินเสียงกรีดร้องนี้ทุกคืนตั้งแต่เกิดเรื่อง แต่พ่อไม่เคยออกมาดูเพราะพ่อรู้ว่าคืออะไร อีกอย่างวิญญาณเค้าแรงมาก ขนาดเอาพระมาทำพิธียังไม่ไปเลย
เราไม่เคยกลับไปที่นั่นอีกและไม่คิดจะกลับไป .... เรากลัวที่จะต้องเห็น ต้องเจอกับเธออีก ครั้งเดียวก็เกินพอ