สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
วันนึงข้างหน้า ลองให้ จขกท เจอคู้ค้าไม่จ่ายหนี้ เสร็จแล้ว คุณต้องฟ้องล้มละลายเขา. เสร็จเขามีลูกมาตั้งบริษัท แล้วให้เป็นคู่ข้ากับ จขกทต่อ. แล้วตอนนั้น อยากรู้เช่นกันว่า จขกท จะยอมให้เครดิตเขามั้ยนะคับ
เข้าใจจขกท ในมุมมองของคุณคับ. แต่ก็ต้องเข้าใจฝากคนให้กู้ด้วย.
จขกท เก่งนะคับผมชื่นชม. แต่จะชมมากกว่านี้ถ้าคุณบอกว่าคุณไปเคลียหนี้ให้คุณพ่อคุณทั้งหมดด้วย
เข้าใจจขกท ในมุมมองของคุณคับ. แต่ก็ต้องเข้าใจฝากคนให้กู้ด้วย.
จขกท เก่งนะคับผมชื่นชม. แต่จะชมมากกว่านี้ถ้าคุณบอกว่าคุณไปเคลียหนี้ให้คุณพ่อคุณทั้งหมดด้วย
ความคิดเห็นที่ 21
ผมกลับเห็นด้วยกับจขกทนะครับ
ระบบการเงินบ้านเราเวลาให้ใครกู้พอเป็นหนี้เสียแล้วไม่ยอมจบตามล้างตามเช็ดกันไปเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆเลยนะครับ เรื่องการให้กู้บ้าน ซึ่งธนาคารก็ให้กู้ไม่เกิน ๘๐ หรือ ๙๐%
ของราคาทรัพย์สิน (ที่ธนาคารก็ตีราคาเองด้วย) พอกลายเป็นหนี้เสีย ยึดบ้านเค้าไปแล้ว ดันไม่
ยอมจบ ทั้งๆที่ยึดบ้านเค้าไปแล้ว ผมว่าอย่างนี้มันทำให้ระบบเศรษฐกิจของเรามันไม่โต เพราะ
ยึดบ้านไปแล้วเรื่องควรจะจบไป เซ็ตซีโร่ซะ มันก็จะมีลูกค้าที่ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้น
ไม่ใช่ว่ายึดบ้านไปแล้วก็ยังไม่จบ
ผมจำได้ว่าสมัยตอนที่มีการก่อการร้ายในเมกา พวกของ บิน ลาเด้น ขับเครื่องบินชนเวิร์ดเทรด
เช็นเตอร์ ลูกค้าผมยกเลิกออเดอร์ สินค้าผมค้างเต็มสต๊อค ผิดนัดธนาคาร ผมต้องจ่ายดอกเบี้ย
ผิดนัดเป็นปี ในที่สุดเคลียหนี้ด้วยการขายทรัพย์สินออกไปบางส่วน เคลียหนี้ธนาคารหมด ต่อมา
ธนาคารเดิมนี่แหละเค้าก็ปล่อยสินเชื่อผมทั้งๆที่เคยเป็นหนี้เสีย แต่คงเพราะจ่ายหนี้เค้าหมดรวม
ทั้งดอกเบี้ยผิดนัดและค่าธรรมเนียมต่างๆด้วย
ผมมองว่าการที่คุณพ่อของจขกทล้มละลายแล้วกลับมาจนได้ถึงขนาดนี้ แต่ไม่เคยจ่ายหนี้ที่ติดไว้
(จนเค้าฟ้องล้มละลาย) ให้ครบถ้วน เป็นเหตุทำให้ธนาคารตั้งข้อรังเกียจที่จะให้กู้ใหม่ ผมว่าทาง
ที่ดีควรจะเคลียหนี้ที่ติดอยู่ให้หมด(แม้จะโดนยึดอะไรไปหมดแล้วก็ตาม) ตามไปใช้ให้หมดโดย
การต่อรองว่าจ่ายเฉพาะเงินต้นที่เหลือค้างไว้ ฯลฯ ผมว่าธนาคารน่าจะปล่อยกู้ได้อีกเพราะผมก็เคย
เป็นหนี้เสียมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยล้มละลาย
คนที่ล้มละลาย แล้วถือโอกาสชักดาบหนี้ที่เหลือ ผมว่ามันก็น่าจะเป็นที่น่ารังเกียจของธนาคารที่เคย
ให้กู้อยู่นะครับ
ลองพิจารณาในแง่มุมของธนาคารดู ถ้าผมเป็นจขกทจะต้องทำการเคลียหนี้ที่เหลือ และทำข้อตกลง
กับธนาคารและเจ้าหนี้ต่างๆ เพื่อชำระหนี้ที่ค้างไว้ อย่างน้อยก็ส่วนของเงินต้นที่ยังคงค้างๆๆอยู่ ผมว่า
ถ้าทำได้อย่างที่ผมว่า ธนาคารคงไม่ตั้งข้อรังเกียจอะไรที่จะปล่อยสินเชื่อให้ใหม่ เพราะผมเคยมาแล้ว
แต่ใช้หนี้หมด(ทั้งๆที่เป็นหนี้ผิดนัดชำระ) ไม่ได้ถือโอกาสชักดาบส่วนที่เหลือเพราะคำว่าล้มละลาย ยิ่ง
ทั้งๆที่ปัจจุบันก็มีเงินมีทองกลับมาแล้วอย่างที่จขกทกำลังทำอยู่นะครับ ถ้ามีเงินแล้วตามใช้เงินคืนเจ้าหนี้
ผมว่าธนาคารปล่อยกู้แน่ๆครับ
ลองเอาข้อความของผมไปให้คุณพ่อพิจารณาดูนะครับ ตอนนี้ก็มีเงินแล้วควรจะพิจารณาเคลียหนี้ที่เหลือไม๊ครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ
ระบบการเงินบ้านเราเวลาให้ใครกู้พอเป็นหนี้เสียแล้วไม่ยอมจบตามล้างตามเช็ดกันไปเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆเลยนะครับ เรื่องการให้กู้บ้าน ซึ่งธนาคารก็ให้กู้ไม่เกิน ๘๐ หรือ ๙๐%
ของราคาทรัพย์สิน (ที่ธนาคารก็ตีราคาเองด้วย) พอกลายเป็นหนี้เสีย ยึดบ้านเค้าไปแล้ว ดันไม่
ยอมจบ ทั้งๆที่ยึดบ้านเค้าไปแล้ว ผมว่าอย่างนี้มันทำให้ระบบเศรษฐกิจของเรามันไม่โต เพราะ
ยึดบ้านไปแล้วเรื่องควรจะจบไป เซ็ตซีโร่ซะ มันก็จะมีลูกค้าที่ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้น
ไม่ใช่ว่ายึดบ้านไปแล้วก็ยังไม่จบ
ผมจำได้ว่าสมัยตอนที่มีการก่อการร้ายในเมกา พวกของ บิน ลาเด้น ขับเครื่องบินชนเวิร์ดเทรด
เช็นเตอร์ ลูกค้าผมยกเลิกออเดอร์ สินค้าผมค้างเต็มสต๊อค ผิดนัดธนาคาร ผมต้องจ่ายดอกเบี้ย
ผิดนัดเป็นปี ในที่สุดเคลียหนี้ด้วยการขายทรัพย์สินออกไปบางส่วน เคลียหนี้ธนาคารหมด ต่อมา
ธนาคารเดิมนี่แหละเค้าก็ปล่อยสินเชื่อผมทั้งๆที่เคยเป็นหนี้เสีย แต่คงเพราะจ่ายหนี้เค้าหมดรวม
ทั้งดอกเบี้ยผิดนัดและค่าธรรมเนียมต่างๆด้วย
ผมมองว่าการที่คุณพ่อของจขกทล้มละลายแล้วกลับมาจนได้ถึงขนาดนี้ แต่ไม่เคยจ่ายหนี้ที่ติดไว้
(จนเค้าฟ้องล้มละลาย) ให้ครบถ้วน เป็นเหตุทำให้ธนาคารตั้งข้อรังเกียจที่จะให้กู้ใหม่ ผมว่าทาง
ที่ดีควรจะเคลียหนี้ที่ติดอยู่ให้หมด(แม้จะโดนยึดอะไรไปหมดแล้วก็ตาม) ตามไปใช้ให้หมดโดย
การต่อรองว่าจ่ายเฉพาะเงินต้นที่เหลือค้างไว้ ฯลฯ ผมว่าธนาคารน่าจะปล่อยกู้ได้อีกเพราะผมก็เคย
เป็นหนี้เสียมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยล้มละลาย
คนที่ล้มละลาย แล้วถือโอกาสชักดาบหนี้ที่เหลือ ผมว่ามันก็น่าจะเป็นที่น่ารังเกียจของธนาคารที่เคย
ให้กู้อยู่นะครับ
ลองพิจารณาในแง่มุมของธนาคารดู ถ้าผมเป็นจขกทจะต้องทำการเคลียหนี้ที่เหลือ และทำข้อตกลง
กับธนาคารและเจ้าหนี้ต่างๆ เพื่อชำระหนี้ที่ค้างไว้ อย่างน้อยก็ส่วนของเงินต้นที่ยังคงค้างๆๆอยู่ ผมว่า
ถ้าทำได้อย่างที่ผมว่า ธนาคารคงไม่ตั้งข้อรังเกียจอะไรที่จะปล่อยสินเชื่อให้ใหม่ เพราะผมเคยมาแล้ว
แต่ใช้หนี้หมด(ทั้งๆที่เป็นหนี้ผิดนัดชำระ) ไม่ได้ถือโอกาสชักดาบส่วนที่เหลือเพราะคำว่าล้มละลาย ยิ่ง
ทั้งๆที่ปัจจุบันก็มีเงินมีทองกลับมาแล้วอย่างที่จขกทกำลังทำอยู่นะครับ ถ้ามีเงินแล้วตามใช้เงินคืนเจ้าหนี้
ผมว่าธนาคารปล่อยกู้แน่ๆครับ
ลองเอาข้อความของผมไปให้คุณพ่อพิจารณาดูนะครับ ตอนนี้ก็มีเงินแล้วควรจะพิจารณาเคลียหนี้ที่เหลือไม๊ครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ
ความคิดเห็นที่ 38
ธุรกิจคุณมีจุดอ่อนเยอะมากค่ะ ค่อนข้างอ่อนไหวกับปัจจัยภายนอกพอสมควร ไม่แน่ใจว่าทำด้านไหนเรื่องอุปกรณ์การก่อสร้าง แต่สมัยนี้เทคโนโลยีเดินไวมาก เป็นเราเราก็คงไม่ปล่อยเหมือนกันค่ะ (เราทำปล่อยสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ แบงค์เอกชน) มีประวัติล้มละลายจาก Key Management ถึงจะมองว่าไม่ได้เป็นกรรมการแล้ว แต่ยังคงเล่นบทสำคัญในการเซ็น และตัดสินใจอยู่ดี ท้ายสุดแล้ว แบงค์ที่เก่ง จะต้องสืบไปให้ได้ว่าใครคือ Key Person คุณก็จะยังถูกมองว่าเป็น นอร์มินีต่อไป อาจจะด้วยอายุยังน้อย และคุณพ่อก็คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานาน การปล่อยสินเชื่อสุ่มสื่สุ่มห้า เหมือนกับก้าวขาเข้าไปในคุกแล้ว รวมไปถึงหน้าที่การงานด้วยค่ะ
แบงค์ก็คือธุรกิจหนึ่งนะคะ ไม่ได้ก่อตั้งมาเพื่อช่วยเหลือใคร นั่นมันคำโกหกที่เค้าเอาตั้งขึ้นมาให้คุณรู้สึกว่าเค้าเป็นเพื่อน เป็นคนคู่คิด เค้าจะหุบร่มเมื่อฝนเริ่มตั้งเค้าค่ะ เมื่อ 2 ธุรกิจมี need ที่ตรงกันก็เป็นพาร์ทเนอร์กันได้ เหมือนการเลือกลูกค้า ถ้ามีลูกค้าคุณ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มีประวัติเสียด้านการจ่ายหนี้สิน ถึงขึ้นล้มละลาย คุณจะให้เค้าเปิดเครดิตเป็น สิบๆ ล้านเหรอคะ? อันนี้คิดในแง่ของ 2 Business man talking นะคะ
เราอยากบอกว่า ท้ายสุดแล้ว อย่าเป็นหนี้ให้เยอะ พยายามคุมให้อยู่ในส่วนที่จำเป็นที่สุดดีกว่าค่ะ การขยายตัวทางธุรกิจ ส่วนใหญ่ควรจะขยายจากกำไรที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ขยายจากเจ้าหนี้ที่เพิ่มขึ้นค่ะ ภาระเพิ่มขึ้น เราก็หนักมากขึ้น หมุนเงินมาจ่ายดอก p/N, roll ตั๋วทุก 3 เดือน ปวดหัวทุก due.. เห็นลูกค้าตัวเองมาเยอะค่ะ จบแบบไม่สวยทั้งที่ตอนต้นเริ่มดีมาก แต่กระโดดเข้าไปในภาพลวงตากับ order ที่มากขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว ทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้ จขกท. ประสบความสำเร็จในธุรกิจ แล้วก็ดำเนินกิจการอย่างมั่นคงนะคะ ขอเอาใจช่วยค่ะ
แบงค์ก็คือธุรกิจหนึ่งนะคะ ไม่ได้ก่อตั้งมาเพื่อช่วยเหลือใคร นั่นมันคำโกหกที่เค้าเอาตั้งขึ้นมาให้คุณรู้สึกว่าเค้าเป็นเพื่อน เป็นคนคู่คิด เค้าจะหุบร่มเมื่อฝนเริ่มตั้งเค้าค่ะ เมื่อ 2 ธุรกิจมี need ที่ตรงกันก็เป็นพาร์ทเนอร์กันได้ เหมือนการเลือกลูกค้า ถ้ามีลูกค้าคุณ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มีประวัติเสียด้านการจ่ายหนี้สิน ถึงขึ้นล้มละลาย คุณจะให้เค้าเปิดเครดิตเป็น สิบๆ ล้านเหรอคะ? อันนี้คิดในแง่ของ 2 Business man talking นะคะ
เราอยากบอกว่า ท้ายสุดแล้ว อย่าเป็นหนี้ให้เยอะ พยายามคุมให้อยู่ในส่วนที่จำเป็นที่สุดดีกว่าค่ะ การขยายตัวทางธุรกิจ ส่วนใหญ่ควรจะขยายจากกำไรที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ขยายจากเจ้าหนี้ที่เพิ่มขึ้นค่ะ ภาระเพิ่มขึ้น เราก็หนักมากขึ้น หมุนเงินมาจ่ายดอก p/N, roll ตั๋วทุก 3 เดือน ปวดหัวทุก due.. เห็นลูกค้าตัวเองมาเยอะค่ะ จบแบบไม่สวยทั้งที่ตอนต้นเริ่มดีมาก แต่กระโดดเข้าไปในภาพลวงตากับ order ที่มากขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว ทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้ จขกท. ประสบความสำเร็จในธุรกิจ แล้วก็ดำเนินกิจการอย่างมั่นคงนะคะ ขอเอาใจช่วยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
บุคคลล้มละลายบ้านเรา ธนาคารเค้ามองว่าคนเหล่านี้เค้าไปฆ่าคนตายมาหรอครับ???
ผมเองทำธุรกิจต่อจากที่บ้าน เป็นธุรกิจเกี่ยวกับงานสร้างเครื่องจักรก่อสร้างที่ค่อนข้างซับซ้อน และบางส่วนต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
คุณพ่อผมเป็นคนเริ่มธุรกิจด้วยความที่มาจากสายวิศวะเต็มตัว และค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงการ เนื่องจากมีเพียงไม่กี่คนในประเทศที่ทำได้ ในช่วงที่เศรษฐกิจบูมมากๆ คุณพ่อเคยไปกู้ธนาคาร 50ล้าน แต่ธนาคารกลับบังคับกู้ให้ถึง 80ล้าน ซึ่งด้วยประสบการณ์ คุณพ่อก็ยอมรับเงื่อนไข และขยายงานค่อนข้างเกินตัว ต่อมาตอนปี 40 จากพนักงาน 100 คนต้องลดเหลือ 10คน เป็นหนี้กว่า 100ร้อยล้าน และพยายามต่อสู้ ทำธุรกิจต่อ และชำระมาตลอด จนสุดท้ายไม่ไหว ก็ล้มละลายในปี 2550 บ้าน และทรัพย์สินถูกยึดหมด เรียกว่าแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องไปเช่าอพาทเม้นต์อยู่
ต่อมา แกยังไม่ยอมแพ้ และจดทะเบียนใหม่ในปี 51 โดยตัวเองเป็นผู้ก่อตั้ง(ในขณะที่อยู่ในภาวะล้มละลาย) ด้วยทุนไม่กี่แสน เจอหลายเหตุการณ์ที่คนหลายๆคนน่าจะถอดใจ แม้กระทั่งน้ำท่วมปี 55 ที่ทำให้โรงงานของเราที่เช่าอยู่จมน้ำหมด
ตัวผม ซึ่งจบสายบริหาร ตอนที่เรียนมหาลัย ฝันของผมคืออยากกู้ชื่อคุณพ่อคืนมา อยากตอบแทนพนักงานที่อยู่สู้เคียงข้างคุณพ่อมาตลอด ก็เข้ามาช่วยบริหารในปี 52 และเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทแทน พยายามเรียนรู้งานทั้งหมด ลงไปคลุกคลีกับหน้างาน กับช่าง นั่งดูแบบต่างๆจนมีความรู้ในระดับหนึ่ง และเปลี่ยนแปลงการบริหารหลายๆอย่างของบริษัท
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมแทบจะไม่ยุ่งกับธนาคาร เพราะติดเรื่องกรรมการผู้ก่อตั้งซึ่งผมก็เข้าใจ จนในปี 2556 ผมเริ่มมองอะไรเปลี่ยนไป เมื่อมีผู้การธนาคารเอกชนแห่งหนึ่งเห็นถึงความตั้งใจ พยายามดันจนเราสามารถได้วงเงินเล็กๆจากธนาคาร ประมาณ 5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นลมหายใจเฮือกใหญ่ๆของบริษัทเล็กๆอย่างเรา
ต่อมา ในปี 2558 ผมแทบจะทำงานแทนคุณพ่อเกือบ 100% เพียงแต่คุณพ่อยังเป็นคนเซ็นตรวจแบบงานต่างๆบ้างอยู่ด้วยวิชาชีพ และความไว้เนื้อเชื่อใจของลูกค้าที่มีมากว่า 25ปี ยอดขายของบริษัทเราอยู่ที่ 80ล้าน ผมได้มีโอกาสพบกับ จนท.ธนาคารรัฐแห่งหนึ่ง ทางเราก็ได้จัดทำเอกสารขอกู้เงินตามระเบียบของธนาคาร ซึ่งตอนนั้นเครดิตเราดีขึ้นมาก และเจ้าหน้าที่ที่ดูแลผมค่อนข้างมีความหวัง(และให้ความหวัง)ผมว่า การขอสินเชื่อ จะไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากขอเพียงวงเงินเล็กๆ เพียง 3-5ล้านบาท ในขณะที่ตอนนั้บริษัทเริ่มมีทรัพย์สินในระบดับหนึ่งเเล้ว
สุดท้าย เคสของบริษัทผม ถูกปัดออกจากการพิจารณาตั้งแต่ยังไม่เปิดแฟ้ม ด้วยเหตุผลที่ว่า "ผู้ก่อตั้งบริษัทเป็นบุคคลล้มละลาย" ซึ่งนั่นก็คือคุณพ่อผม และผู้บริหารธ.ได้ต่อว่าจนท.ที่ดูแลผมว่า ไม่รอบคอบ ปล่อยให้นอมินี(หรือผมเองนี่แหละ)มายื่นกู้ จะทำให้ธนาคารเสียหายนั่นเอง ซึ่งผมก็พยายามไม่ติดใจอะไร เพียงแค่รู้สึกตั้งคำถามว่า แบงก์เอกชนดันช่วยเรา แต่แบงก์รัฐที่อ้างว่าช่วยรายย่อยกลับไม่คิดแม้แต่เหลียวตามองแม้แต่น้อย
2559 ผมได้รับวงเงินจากแบงก์เอกชนเดิม เป็น 45ล้าน และธนาคารอื่นๆเริ่มปล่อยสินเชื่อ clean loanให้ผม แน่นอน ธุรกิจไปได้ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อวันที่ 30ธ.ค.59 ที่ผ่านมา ผมรวมตัวเลขยอดขายได้ 200ล้าน+ วันพฤหัส ผมเซ็นจ่ายโบนัสพนักงานเป็นปีแรกในรอบ 20ปี เช้าวันศุกร์เมื่อผมเปิดประตูออฟฟิส พนักงานเก่าแกเดินมากอดผม ตกเย็นผมเอาตัวเลขไปให้คุณพ่อดู ถึงกับทำให้แกนั่งร้องไห้ดีใจ แม้ว่าคุณพ่อจะไม่ได้บริหารงานเเล้ว แต่แกก็ดีใจที่บริษัทที่แกสร้างมีแววจะกลับมายืนได้ ปีนี้ ผมเอากำไรไปลงทุนในเครื่องจักร โรงงานเกือบทั้งหมดหลายสิบล้าน เพราะรู้ว่าอีกปี 2ปี จะเป็น big shotของเรา
ก่อนเลิกงาน ผมเดินไปกราบอกพนักงานที่แก่กว่าหลายๆคน กล่าวขอบคุณสำหรับปีนี้ และฝากเนื้อฝากตัวสำหรับปีหน้า
เย็นวันนั้น ผมได้ไปงานเลี้ยงแห่งหนึ่งของกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ของประเทศ ได้พบเจอกับคนธนาคารหลายคน ผมซึ่งถือว่าเป็นรุ่นอายุน้อยที่สุดในวง ค่อนข้างได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ในวงการ ได้พาไปแนะนำตัวให้กับผู้ใหญ่หลายท่าน รวมถึงได้มีโอกาสพบกับเจ้าหน้าที่(น่าจะระดับบริหาร)ธนาคาร ที่ปฏิเสธผมด้วยเหตุผลดังกล่าว ก่อนเลิกงานได้มีโอกาสสนทนากับท่านสั้นๆ ด้วยความที่ผมเป็นคนไม่ชอบอะไรที่คาใจ(ซึ่งคามาเกือบปี) จึงเอ่ยปากถามท่านไปว่า ทำไมธนาคารถึงปฏิเสธเคสผม และได้เล่าเรื่องให้ท่านฟังไป
ผู้บริหาร : เอ้า แล้วพ่อคุณล้มจริงป่าวละ
ผม : จริงครับท่าน แต่นั่นมันปี 40 ใครๆก็ล้มครับท่าน ตอนนี้คุณพ่อผมพ้นสภาวะเเล้ว เเล้วตอนนี้คนบริหารคือผม ผมเป็นกรรมการคนเดียว
ผู้บริหาร : อายุเท่าคุณ เป็นไปไม่ได้หรอก ตอนนี้คุณอาจเป็นแค่กรรมการลอยๆ ออกหน้าออกตาแทนพ่อเฉยๆก็ได้ ทางนิตินัย คุณอาจจะใช่ แต่ตราบใดที่พ่อคุณยังเซ็นแบบให้อยู่ approveสัญญาให้อยู่(คุณพ่อกว้างขวางในวงการและลูกค้าค่อนข้างไว้ใจมาก) ทางพฤตินัยคุณก็เป็นแค่นอมินี
ผมจำคำทั้งหมดไม่ได้ มาได้แค่คร่าวๆเพราะผมค่อนข้างหัวเสียกับคำดูถูก เอาเป็นว่าผมตัดบทและสวัสดีปีใหม่กับท่าน และลุกออกไป
ผมอยากจะบอกท่านๆว่า ถ้าท่านจะมองแค่นี้ ท่านช่วยไปเปลี่ยนชื่อธนาคารเป็น BIG CAP BANK หรือธนาคารเพื่อลูกค้ารายใหญ่เท่านั้นเถอะครับ ผมเห็นใจคนทำธุรกิจหลายๆคนนะครับ ที่ต้องก้มหัวให้กับใจแคบของธนาคารรัฐที่ควรจะยื่นมือช่วยผู้ประกอบการรายย่อย อีกอย่างครับ คนล้มละลายเค้าต้องคดีความอาญาก่อการร้าย ฆ่าขมขื่น มาหรอครับพวกคุณถึงต้องรังเกียจพวกเขาขนาดนั้น ไม่ได้มีใครอยากล้มหรอกครับ ที่ผ่านมาเราก็พยายามชำระเเล้ว ทุกอย่างเราก็ถูกยึดไปแล้ว แล้วสถานะบุคคลล้มละลาย ไม่ได้สืบทางสายเลือดนะครับที่ว่าผมจะต้องทำผิดพลาดแบบคนรุ่นก่อน
ถึงเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆที่ทำธุรกิจครับ สำหรับผมนะครับ สิ่งที่สอนผมมาตลอดการทำงาน 7 8 ปี คือ อย่าโทษเศรษฐกิจ อย่าโทษนโยบายรัฐ อย่าโทษค่าแรง อย่าโทษเทคโนโลยีที่มาแทน อย่าโทษม็อบเผาเมืองม็อบนกหวีด เพราะทุกคนก็โทษเหมือนกัน คุณมีหน้าที่ต้องปรับตัว สิ่งเดียวที่โทษได้ คือตัวเราเองเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับระบบธนาคาร ผมบอกเลย ว่าพวกคุณต้องหาทางพึ่งตัวเอง ดิ้นรนเอง หาทางออกเองก่อนให้ได้ ก่อนที่คิดจะพึ่งแบงก์ ตราบใดที่หาไม่ได้ แบงก์ไม่ใช่คำตอบของคุณ และจำไว้ครับ ธนาคารเป็นธุรกิจที่เอาร่มมาให้เราในยามที่ฝนไม่ตก และดึงร่มออกจากเราเมื่อพายุเข้า
ขอให้ทุกท่านที่แว้บเข้ามาอ่านโชคดีในวันปีใหม่ครับ ขอให้ปีหน้าดีกว่าปีนี้ เฉกเช่นที่เราๆทุกคนอยากให้เป็นครับ
สวัสดีปีใหม่ 2560 ครับ
พิมพ์ตอบไม่เป็น พอดีไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้พันทิพ ขอขยายความตรงนี้ละกันครับ
อื้อหื้มมมม ผมไม่ได้เล่นคอมวันทำงาน ไม่คิดว่าจะมีคนมาแสดงความคิดเห็น+ด่าผมขนาดนี้ครับ55
ขออนุญาตชี้แจงคร่าวๆครับ ผมเองก็ให้รายละเอียดมากไม่ได้ ตอนนั้นยังไม่กี่ขวบ เอาเท่าที่รู้นะครับ
วงเงินที่คุณพ่อได้ก่อน 40 เป็นวงเงิน L/C เกือบทั้งหมด(วงเงินสำหรับการนำสินค้าเข้ามาขาย) ซึ่งตอนนั้นมีมูลค่าเกือบ 80m สินทรัพย์ค้ำคือบ้านผม รถ โรงงาน เงินสด และที่ดินติดถนนใหญ่เส้นรังสิต(ปจบ.ที่ตรงนั้นบูมมาก พูดไปใครก็นึกออก) ปรากฏว่า July97 รบ.ไทยลอยตัวค่าเงินบาท จาก 25บาท/USD ไป 40กว่า ในขณะนั้นคุณพ่อมีออเดอร์เปิดเข้ามาเต็ม และด้วยความที่เศรษฐกิจดีมาก เลยเก็บมัดจำแค่ 10% ปรากฏว่าพอของมาถึง L/Cซึ่งอยู่ในหน่วย USD ทำให้เรากลายเป็นหนี้หลักร้อยล้านโดยปริยาย เศรษฐกิจพังลูกค้าเจ๊ง ทิ้งออเดอร์ แบงก์ยึดหลักทรัพย์ค้ำทั้งหมดเรียบร้อยตามระเบียบ รวมถึงของที่ลงเรือเช่นกัน
ปัจจุบัน ถามว่าชำระหนี้เก่ามั้ย ผมบอกตรงๆบ้านผมที่ผมนั่งพิมพ์ตอบเพื่อนๆพันทิพย์อยู่ เพิ่งซื้ออกมา 3 ปีก่อนจากธนาคาร ผมไม่รู้ว่านี่เรียกชำระมั้ยนะครับ แน่นอน ปีที่เเล้ว แบงก์เกษตรๆ ปล่อยวงเงินผมเพิ่ม เป็น LC แต่ไม่เยอะเหมือนสมัยก่อนเพราะผมผลิตเองเเล้ว ไม่ได้นำเข้า แบงก์เจ้าหนี้เก่ารูปดอกบัว ที่เราเอาบ้านออกมา ปล่อย clean loanผมอีกครั้ง แต่ผมก็ขอแค่นิดเดียว ไว้ใช้ขยายงาน อาเจ็กอาแปะที่เราค้างเงินตอนพ่อล้ม ปีที่เเล้ว ผมเคลียเกือบหมด จนทุกวันนี้กลับมาค้าขายเครดิตกันใหม่ ถามว่าผมมีปัญญาชำระหนี้ทั้งหมดมั้ย บอกเลยว่าไม่มีปัญญาครับ คิดเลวๆหน่อยผมว่าธนาคารเอาที่เก่าของครอบครัวผมตรงรังสิตไปปล่อย ก็กำไรอื้อซ่าเเล้ว
ถามว่าเคยกู้แบงก์รัฐมั้ย บอกเลย ผมไม่เคยกู้ได้ครับ55 แล้วพอธุรกิจดีขึ้น มีคนแนะนำ โดนปฏิเสธก็เข้าใจ แต่มีคำถามในใจ แต่พออ่านคห.ของเพื่อนๆแล้วก็เข้าใจ ว่าแบงก์รัฐ ถ้าปล่อยไม่ดูตาม้าตาเรือ ขาข้างนึกก็อยู่ในตาราง ใจเขาใจเรา ขอบคุณที่เตือนสติครับ
ไม่ได้ล้มบนฟูก ไม่ได้ขโมยเงินแบงก์มาทั้งดุ้นอย่างที่เข้าใจกัน เป็นวงเงิน LC 95%ครับ
จะบอกว่าผมแก้ตัวก็แล้วแต่
ไปทำงานดีกว่า
ขอบคุณครับ