กรรมที่ทำให้เป็นเศรษฐีระดับโลก


ดั ง ต ฤ ณ
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว 9
ถาม – เศรษฐีระดับโลกหลายคนเคยยากจนมาก่อน และไม่ใช่ยากจนธรรมดา บางคนเช่นวอร์เรน บัฟเฟต์ถูกบีบให้ออกมาทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัวตั้งแต่สิบขวบ แล้วจึงใช้ความสามารถเฉพาะตัวสร้างความร่ำรวยให้ตนเองในภายหลัง อย่างนี้พวกเขามีกรรมแต่หนหลังแบบไหนที่ทำให้ต้องยากจนข้นแค้นในวัยเด็ก แล้วกลับร่ำรวยเมื่อเติบโตขึ้นมาได้? หากความเชื่อแบบพุทธที่ว่าการให้ทานมีผลเป็นความร่ำรวย เหล่ามหาเศรษฐีก็น่าจะเคยให้ทานมามากมิใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สมควรมั่งคั่งมาตั้งแต่เด็กจึงจะถูกสิ

ตอบ:
ความหมายแบบเผินๆของคำว่า ‘รวย’ คือได้มาก หรือมีมาก ส่วนความหมายเผินๆของคำว่า ‘จน’ คืออัตคัด ขาดแคลน ฝืดเคือง มีไม่พอกินพอใช้ สำหรับคำตอบต่อไปนี้ ผมจะเล็งเฉพาะสุดโต่งสองขั้ว คือกรรมที่ทำให้จนมากกับรวยมาก เพื่อจะได้ตอบอย่างตรงประเด็นว่าทำไมบางคนจึง ‘สุดอัตคัดขัดสน’ แล้วแปรเป็น ‘มั่งคั่งอย่างยั่งยืน’ ได้ภายในชาติเดียว

กรรมที่ให้ผลเกี่ยวกับความยากดีมีจนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด ไม่ใช่ให้นิดให้หน่อยแล้วรวยแน่ และสำคัญคือไม่ใช่แค่กรรมเก่าที่มีส่วนกำหนด วิธีใช้ชีวิตทั้งหมดมีส่วนให้ผลกับฐานะได้ทั้งสิ้น

อย่าง ไรก็ตาม เวลาพูดถึงกรรมหลักที่เคยทำไว้ในอดีต ก็อาจต้องแยกแยะกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ว่าทำอะไรมากๆแล้วจึงให้ผลเป็นการไปเกิดในภพแห่งความอัตคัด หรือภพแห่งความมั่งคั่ง เมื่อแจกแจงอดีตกรรมแล้ว ก็จะค่อยลงรายละเอียดปัจจุบันกรรมเป็นลำดับต่อไป
กรรมหลักๆที่ทำให้ ‘ยากจนมาก’ ได้แก่

1. ความตระหนี่ถี่เหนียว คือให้ได้ก็ไม่ให้ หรือแม้สมควรให้ก็หวงไว้ ยื้อไว้ เช่นหนี้ของตัวเองแท้ๆ สมควรต้องใช้แต่ก็เสียดาย อยากดองไว้เป็นของตนเอง อย่าว่าแต่จะคิดถึงเรื่องแบ่งปันหรือเจือจาน ทั้งชีวิตกลัวแต่ว่าใครจะมาเอาเปรียบตน หรือกลัวแต่ว่าตนจะไม่ได้เปรียบใคร ผลแห่งการตระหนี่เกินเหตุ คือการเป็นผู้อัตคัดเกินเหตุเช่นกัน แล้งน้ำใจในกาลนี้ จะให้ผลเป็นความแล้งทรัพย์ในชาติถัดไป

2. ละโมบโลภมากขั้นรุนแรง คือโลภจัดขนาดผิดศีลข้อที่ว่าด้วยการลักทรัพย์ได้ หรือฉ้อโกงทรัพย์ได้โดยปราศจากความละอาย ผู้ทำความวิบัติยิ้มให้แก่ทรัพย์ของคนอื่น ย่อมรับผลเป็นความพินาศแห่งทรัพย์ของตนเช่นกัน แม้การให้ทานในอดีตจะได้ บันดาลทรัพย์ไว้มาก ทรัพย์นั้นย่อมถึงความวิบัติ อาจจะในระดับให้เกิดความเจ็บใจรุนแรง หรืออาจจะในระดับให้ตกยากแบบฉับพลันทันที ขึ้นอยู่กับความหนักเบาแห่งกรรมของอทินนาทานอันเป็นตัวต้นเหตุ

นอก จากนี้ ยังมีกรรมปลีกย่อยที่ทำให้ยากจนได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพชัดๆ เช่น ในภาวะสงครามที่ต้องคิดทำลายล้างศัตรู บางทีใช้วิธีล้อมเมือง ตัดข้าวตัดน้ำคนทั้งเมือง เพื่อบีบให้เจ้าเมืองยอมจำนน หากทำอย่างนี้สักสองสามหนโดยไม่เห็นใจลูกเด็กเล็กแดงเลย ก็มีสิทธิ์ไปเกิดในถิ่นฐานกันดาร หรือทรมานกว่านั้นคือเกิดในถิ่นฐานอุดมสมบูรณ์ ทว่าไม่มีสิทธิ์กิน ไม่มีสิทธิ์ใช้ อัตคัดเหลือจะทานทน

ส่วนกรรมหลักๆที่ทำให้ ‘ร่ำรวยมาก’ ได้แก่

1. ความมีนิสัยใจคอเผื่อแผ่ คือเอาแต่คิดให้ ผูกใจอยู่กับการให้ เคยชินกับการเป็นผู้ให้ ขนาดไม่มีให้ก็ขวนขวายกระวนกระวายอยากหามาช่วยเหลือคนกำลังตกทุกข์ได้ยาก ตลอดชีวิตมีแต่ใจอยากเจือจาน กลัวแต่ว่าคนอื่นจะมีไม่พอ กระทั่งลืมๆว่าตัวเองจะมีพอไหม ผลแห่งการใจดีเกินธรรมดา คือการเป็นผู้มีทรัพย์มากเกินกว่าชาวโลกทั่วไปเขา

2. การละอายต่อบาปอย่างยิ่งยวด คือขนาดยอมอดตายดีกว่าคิดคดโกง ผู้ไม่คิดเพ่งเล็งเอาทรัพย์ผู้อื่นโดยมิชอบ ย่อมรับผลเป็นความสวัสดีแห่งทรัพย์ แม้ความตระหนี่ในอดีตอาจก่อให้เกิดทรัพย์เพียงน้อย ทว่าทรัพย์นั้นก็จะอยู่ทน ไม่วิบัติไปด้วยภัยธรรมชาติหรือภัยจากมือโจร

นอก จากนี้ ยังมีกรรมปลีกย่อยที่ทำให้ร่ำรวยได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพชัดๆ เช่น ชี้ช่องคนอื่นรู้จักทำมาหากิน ช่วยให้เขาเป็นผู้ฉลาดในธุรกิจ กับทั้งมีใจใหญ่คิดเผื่อแผ่กลยุทธ์ให้กับคนทั้งประเทศ หรือทั้งโลก หากการเผื่อแผ่ของเขาเป็นไปโดยบริสุทธิ์และปรารถนาให้คนทั้งแผ่นดินอยู่ดี กินดี มีชีวิตที่เป็นสุขขึ้น บุญที่ทำนี้ก็มีสิทธิ์นำให้ไปเกิดในถิ่นฐานอุดมสมบูรณ์ หรืออย่างน้อยแม้เกิดในถิ่นฐานแห้งแล้งด้วยบาปบางประการ เขาก็จะมีกินมีใช้เหนือกว่าคนที่อยู่แวดล้อมทั้งหมดตั้งแต่เกิด กับทั้งฉลาดในการหา ฉลาดในการเก็บ และฉลาดในการใช้เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อแยกให้เห็นเป็นเรื่องๆเช่นนี้ คุณคงพอมองออกว่าในชีวิตเดียว คนเราอาจสร้างทั้งเหตุที่ทำให้ยากจน และเหตุที่ทำให้ร่ำรวยได้ ไม่ ใช่ว่าทำทานมากแล้วเป็นประกันว่าเกิดใหม่จะได้สบายตั้งแต่ต้น ต้องดูด้วยว่าทุ่มเททำแค่ไหน ตลอดไปหรือเปล่า และเคยก่อบาปไว้ถ่วงความเจริญเพียงใดด้วย
เพื่อให้เห็นชัดเจน ขอแยกแยะ ‘บุญที่ทำให้รวย’ เป็นข้อๆดังนี้


บุญเก่าที่ส่งไปเข้าท้องคนรวย

1. เคยงดเว้นบาปชนิดที่ให้ผลเป็นความอัตคัดขณะเกิด เช่นชาติใกล้ไม่เผาบ้านไล่ที่ใคร ทั้งที่มีสิทธิ์ทำด้วยอำนาจบาตรใหญ่
2.เคยผูกพันกับพ่อแม่ที่กำลังอยู่ในฐานะร่ำรวย เช่นชาติใกล้ให้การอุปถัมภ์และมีความเอ็นดูกันมา แต่ก็อาจเคยเป็นศัตรูกันมาก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเคยสาปแช่งอาฆาตว่าจะจองเวรกันอย่างเหนียวแน่น พอมาเกิดเป็นลูก ก็เป็นลูกทรพี เหี้ยมเกรียมขนาดจ้างฆ่าพ่อแม่เพื่อแย่งสมบัติได้
3. มีบุญพอจะเสวยสุขล้นหลามตั้งแต่แรกเกิด เช่นเป็นผู้ให้ก่อนโดยผู้รับไม่จำเป็นต้องเคยมีบุญคุณกับตน เป็นผู้คิดอุปถัมภ์สมณะซึ่งไม่อยู่ในฐานะเลี้ยงดูตนเองได้ ผลที่ได้ตอบแทนจากธรรมชาติ จึงเป็นการมีผู้เลี้ยงดูอย่างดี เมื่ออยู่ในฐานะที่ไม่อาจเลี้ยงดูตนเองได้เช่นกัน

บุญเก่าที่ทำให้ได้รับมรดกมาก

1. เคยเป็นผู้ยกผลประโยชน์ใหญ่ของตนให้คนอื่นด้วยน้ำใจการุณย์ ไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ
2. เคยเป็นผู้เคยมอบสมบัติให้แก่ผู้สมควรได้รับ หรือมอบวัตถุอย่างใหญ่ มอบที่ดินให้เป็นประโยชน์แด่สงฆ์ ขอให้คำนึงว่าสงฆ์เป็นนาบุญอันยิ่ง เมื่อมอบให้สงฆ์จึงสมควรแก่การรับมรดกใหญ่ในอนาคตเช่นกัน

บุญเก่าที่ทำให้ได้ลาภก้อนใหญ่

1. เคยเป็นผู้ให้ลาภลอยแก่คนอื่น โดยที่เขาไม่คาดฝัน หรือโดยที่ตนเองก็ไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน เมื่อพบเห็นใครน่าช่วยเหลือก็ช่วยเลยทันที เมื่อทำให้คนอื่นได้รับลาภ ก็ย่อมสมควรแก่การเป็นผู้รับลาภในอนาคต ลาภที่ให้ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องมากมาย แต่อย่างน้อยต้องทำให้เขายินดีปรีดา หรือทำให้เขารอดจากภาวะยากลำบากแบบฉับพลันทันที (ลาภที่ได้รับอาจมาจากหลายทางโดยไม่คาดฝัน อย่าแค่ไปคิดถึงการถูกล็อตเตอรี่อย่างเดียวนะครับ ประเภทอยู่ดีๆมีเงินโอนเข้าบัญชีหลายแสนแบบสืบหาต้นตอไม่ได้ แจ้งธนาคารตรวจสอบแล้วก็ไม่รู้ความเป็นมา อันนี้เคยเกิดกรณีพิลึกพรรค์นี้มาแล้วจริงๆ)

2. เคยเป็นผู้ตั้งใจให้คนอื่นดีใจกับการได้รับของขวัญ ของกำนัลโดยไม่คาดฝัน มีมากครับพวกชอบเซอร์ไพรส์ชาวบ้านโดยไม่เปิดโอกาสให้รู้เนื้อรู้ตัว หวังจะเห็นเขาตื่นเต้นยินดีสุดขีด ความหวังชนิดนั้น ถ้าทำสำเร็จก็ให้ผลเป็นลาภลอยก้อนใหญ่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้ว่าใครอยากได้อะไรมานาน รู้ว่าชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปในทางดีขึ้นหากได้สิ่งนั้น นั่นแหละตรงเป้าอย่างจังทีเดียว

บุญเก่าที่ทำให้ค้าขายได้กำไรเสมอ

1. เคยให้ความหวังแก่สมณะว่าจะถวายสิ่งโน้นสิ่งนี้ ตกปากรับคำแล้วภายหลังนำมาถวายตามสัญญาเสมอ แต่ให้ยิ่งขึ้นกว่านั้นคือท่านต้องการเพียงหนึ่ง แต่นำของที่ท่านประสงค์มาถวายเป็นสิบ อย่างนี้ถ้าเก็งไว้ว่าจะทำยอดให้ถึงเป้าสักล้าน ก็อาจพุ่งพรวดทะลุเป้าไปเป็นหลายสิบล้าน เป็นต้น พูดง่ายๆคือโชคช่วยตลอด แม้ฝีมือไม่ได้ดี เล่ห์เหลี่ยมธุรกิจไม่ได้มากกว่าพ่อค้าใกล้ละแวกก็ตาม ข้อนี้พระพุทธเจ้าเคยตรัสแนะนำไว้เป็นกรณีพิเศษ จะทดลองก็ไม่เสียหาย สำหรับหลายคนที่ไม่มีบาปเก่ามาเป็นอุปสรรค ก็น่าจะได้เห็นผลทันตาในชาตินี้ได้

2. เคยเป็นผู้คืนกำไรให้กับสังคม คือเมื่อสังคมช่วยให้ตนรวยแล้ว ก็แบ่งความรวยนั้นให้สังคมได้ประโยชน์สุขบ้าง พวกบริษัทใหญ่ๆที่คิดโครงการเพื่อสาธารณประโยชน์นั้นมาถูกทางแล้ว หากใจไม่เล็งอยู่แต่ว่าจะได้มีส่วนลดหย่อนภาษี ก็จะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เห็นผลอย่างรวดเร็วแทบไม่ต้องรอเกิดชาติหน้า เพราะการทำคุณกับมหาชน จะให้ผลขยายใหญ่ เห็นง่าย เห็นเร็วกว่าการทำคุณแบบเจาะจงกับกลุ่มคนเล็กๆ

บุญเก่าที่ทำให้ได้ผลตอบแทนคุ้มกับความรู้ความสามารถหรือฝีไม้ลายมือ

1. เคยให้ผลประโยชน์กับคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา สมน้ำสมเนื้อแล้วกับความรู้ความสามารถของพวกเขา อันนี้ต้องขอแสดงความเสียใจกับชาวไทยจำนวนหนึ่ง ที่นิยมซื้อซอฟต์แวร์เถื่อนเป็นประจำ ไม่เห็นแก่ค่าสมอง ค่าแรงงานของคนทำบ้างเลย กรรมนี้ต่อไปก็ยากจะเป็นผู้ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า แต่ถ้ามีเงินซื้อของจริงแล้วยอมจ่าย โดยคิดว่าเงินจะได้ไปเข้ากระเป๋าคนผลิตตัวจริง ถ้าทำเป็นประจำก็ส่งผลให้อนาคตเป็นผู้รับค่าตอบแทนคุ้มกับงาน ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือถูกกดค่าผลงาน

2. เคยเป็นผู้ทำงานโดยเล็งประโยชน์สุขแก่คนอื่น คือตั้งต้นไม่ได้คิดเรื่องกำไรหรือรายได้เป็นหลัก เช่นอยากทำยาสีฟัน ก็เฝ้าครุ่นคิด หรือให้ทุนนักวิจัยว่าทำอย่างไรจะได้ยาสีฟันดีๆ มีคุณภาพสูง รักษาเหงือกและฟันได้จริง กับทั้งมีราคาไม่แพงเกินกำลังผู้บริโภคส่วนใหญ่ เรียกว่ามอบสินค้าที่เกินคุ้มให้กับสังคม ประโยชน์สุขของผู้บริโภคจะย้อนกลับมาเป็นกำลังหนุนให้ได้รับผลตอบแทนเกิน กว่าที่คาดฝันเช่นกัน

จาก ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด แม้ยังไม่ตอบคำถามของคุณตรงๆ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เริ่มเห็นได้ว่าการเป็นคนรวยล้นฟ้านั้น แน่นอนว่าจะต้องมีทานในอดีตเป็นบุญเก่าหนุนส่งอยู่ แต่ยังต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายต่อหลายข้อประกอบร่วมเข้าไปด้วย

คราวนี้วกเข้าเรื่อง ทำไมเคยอัตคัดขัดสนขนาดถูกบีบให้ออกจากโรงเรียนมาทำงาน แล้วภายหลังจึงกลายเป็นเศรษฐีระดับซื้อโลกสักครึ่งใบได้?
มามองในมุมใหม่ดีไหม มันอาจจะเป็นเหตุเป็นผลกันก็ได้นะครับ การที่เขาถูกบีบให้ต้องทำงานตั้งแต่เด็กนั่นแหละ คือเงื่อนไขสำคัญในการสร้างเศรษฐีระดับโลกขึ้นมาคนหนึ่ง!

คนจะเป็นอภิมหาคนรวยได้ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง? เอาแบบเห็นชัดๆที่สุดเลยก็แล้วกัน คืออย่างน้อยที่สุด คนๆนั้นจะต้องมีความเป็นเจ้านาย ไม่ใช่ลูกจ้าง !!

เจ้า นายสร้างขึ้นมาจากอะไร? แน่นอนว่าไม่ใช่เด็กอัจฉริยะที่เกิดมาพร้อมกับความสามารถชี้นิ้วสั่งงาน แม้ไมเคิล เคียร์นีย์ (Michael Kearney) ที่เข้ามหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่ ๖ ขวบก็คงไม่อาจชี้นิ้วสั่งงานหรือออกปากสั่งคนให้ทำตามที่ตนต้องการได้ ความเป็นเจ้านายต้องสร้างขึ้นด้วยบารมี

บารมีเจ้านายมาจากไหน เอาสั้นๆแค่ ๓ ข้อ แบบที่ดิ้นไปเป็นอื่นไม่ได้
1. เคยเป็นลูกจ้างที่ ‘เต็มใจ’ ทำงานหนักกว่าลูกจ้างอื่น
2. เคยเป็นลูกจ้างที่ ‘มีหัวคิด’ ก้าวหน้ามากกว่าลูกจ้างอื่น
3. เคยเป็นลูกจ้างที่ ‘ไม่อยาก’ เป็นลูกจ้างตลอดไปเหมือนลูกจ้างอื่น

กล่าวโดยย่นย่อที่สุด เจ้านายสร้างขึ้นมาจากลูกจ้างที่ยินดีดิ้นรนปรับฐานะตัวเองให้เป็นนาย!
ถ้าคุณเป็นลูกจ้างตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ แปลว่าคุณมีเวลาสร้างศักยภาพแห่งความเป็นนายมากกว่าคนอื่นราวๆสิบปี… ถูกไหม?
คน ยากจนมีแรงบีบคั้นให้รู้สึกน้อย เนื้อต่ำใจในวาสนาเหมือนๆกัน แต่คนยากจนที่มีอนาคตเรืองรองสุดขีดนั้น เขามีบุญเก่าหนุนใจให้ไม่ยอมแพ้กับวาสนาในช่วงต้นชีวิต ตรงข้ามจะยินดีอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการหาช่องทางสร้างความก้าวหน้าให้ตน เอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพบ เขาทำให้มันเป็นวัตถุดิบสร้างวันใหม่ได้ทั้งสิ้น และวิบากด้านดีแต่หนหลังของเขา ก็จะอำนวยโอกาสให้ไต่เต้าขึ้นมาได้ภายในเวลาไม่นานเกินอายุขัยของเขา

มีนักพูดระดับโลกคนหนึ่งชื่อ จิม รอห์น (Jim Rohn) ให้วาทะเด็ดไว้ว่า ‘กำไรดีกว่าค่าจ้าง เพราะค่าจ้างทำให้เลี้ยงตัวได้แค่รอด ในขณะที่กำไรจะทำให้เป็นเศรษฐี’

ข้อเท็จจริงนี้เกี่ยวข้องกับกรรมวิบากโดยตรง นั่นคือ ต่อให้คุณมีบุญเก่าหนุนหลังเท่าภูเขา คุณก็ไม่มีวันเป็นเศรษฐีระดับโลกขึ้นมาได้จากการเป็นลูกจ้าง !!!!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่