สวัสดีค่ะ นี่เป็นการรีวิวครั้งแรกของเรา ^___^
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขอโทษด้วยนะคะ
ทริปนี้เป็นทริปเที่ยวสุดท้ายของปี 2559 ของเราค่ะ เดินทางกัน 2 คน ไปมาต้นเดือน พฤศจิกายน ซึ่งควรจะเป็นปลายฝนต้นหนาว ใช่ไหมคะ แต่จริงๆ ร้อนสุดๆ
เริ่มทริปจากลงเครื่องกันที่สนามบินน่านนคร พี่ซัน เจ้าของเกสเฮาส์ ซันดารา มารับที่สนามบิน เลยค่ะ ใจดีสุดๆ
รูปที่พักค่ะ มีประมาณ 6 ห้อง เงียบ และส่วนตัวดีค่ะ
รูปในห้องพักค่ะ
ที่นี่มีจักรยานให้ยืมฟรีนะคะ ขี่ไปไหนก็ได้ จอดไม่ต้องกลัวหายด้วย พี่ซันบอกว่าเดี๋ยวก็หาเจอ เมืองมันเล็ก
เราเลยพักแป็ปนึง ให้พระอาทิตย์ไม่อยู่กลางหัว แล้วก็เลยขี่จักรยานออกไปเที่ยวเมืองน่านกัน ใครกังวลว่ารถจะเยอะไหน ก็เยอะนะคะ ดมท่อไอเสียกันไป แต่ขี่จักรยานก็ยังเป็นทางเลือกที่ดี เพราะไม่ต้องหาที่จอดรถให้เสียเวลา และสถานที่เที่ยวก็อยู่ใกล้กันมากๆ เลยค่ะ
ที่เที่ยวแรกคือวัดที่ทุกคนที่มาน่านต้องมา คือ "วัดภูมินทร์" เพราะ ลือชื่อเรื่องภาพจิตรกรรมฝาผนัง "กระซิบรักบันลือโลก" อันเป็นผลงานของหนานบัวผัน จิตรกรพื้นถิ่นเชื้อสายไทลื้อ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานที่ปราณีตและเป็นภาพที่ปู่ม่านกระซิบย่าม่านอย่างใกล้ชิด
landmark#1
จริงๆ พระพุทธรูปและภาพเขียนฝาผนังอื่นๆ ในวัดภูมินทร์ สำหรับเราก็สวยงามเช่นกัน แต่อาจเพราะภาพปู่ม่านย่าม่านนั้นเป็นภาพเขียนที่ใหญ่สะดุดตา รวมทั้งยังถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์เลยทีเดียว
สถานที่ต่อไป อยู่ข้างๆกันเลย แค่ข้ามถนนมาหน่อยเดียว คือ "พิพิธภัณฑ์น่าน" โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมข้างในได้ฟรี ข้างหน้าของพิพิธภัณฑ์ จะมีซุ้มดอกลีลาวดียาว เป็นอีกจุดที่ใครมาจะแวะมาถ่ายรูป เป็นเหมือน landmark#2 อีกจุดของน่าน เสียดายที่เรามาตอนแดดเปรี้ยงกันเลยทีเดียว รูปที่ได้ออกมาเลยดูแข็งไปหน่อยค่ะ T_T
มองจากหน้าพิพิธภัณฑ์ไป จะเจอ วัดช้างค้ำอยู่ฝั่งตรงข้ามเลย ไหนๆมาเกือบถึงแล้ว ก็ข้ามฝั่งไปซะหน่อยค่ะ
รูปจากหน้าพิพิธภัณฑ์น่านค่ะ
วันที่เราไป กำลังจะมีทอดกฐินพระราชทาน เลยมีการเตรียมงานกันอยู่พอดีค่ะ และไม่ใช่วัดที่อยู่ในลิสต์นักท่องเที่ยว คนจึงไม่เยอะคะวัดนี้
รูปพระประธานในวันช้างค้ำค่ะ
สถานที่ต่อไป มาแวะสักการะ "ศาลหลักเมือง" และ "วัดมิ่งเมือง" ก็อยู่ในพื้นที่เดียวกันค่ะ
สำหรับวันแรก เที่ยวเพียงแค่นี้ก่อน เพราะแดดแรงมากจริงๆ คนที่นั่นคงสงสัยว่า ปั่นจักรยานกันไหวได้ไง 55 แต่เราขอแทรกด้วยของกินอร่อยๆ แทนนะคะ
ที่แรกเป็น "ร้านกาแฟ บ้านๆน่านๆ" ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอย ขากลับจากที่เที่ยวกลับที่พัก ที่นี่มีที่พักด้วย ส่วนของร้านกาแฟก็มีหนังสือขายให้ซื้ออ่าน แม้ไม่มีแอร์ แต่เข้ามาในร้านแล้วเย็นสบายดี เงียบดีด้วย เหมาะกับการ slow life เหลือเกิน
มื้อเย็น ขอแนะนำ "ร้านโจ๊กหมูเมืองสอง" หลังจากเราผิดหวังกับ ตลาดคนเดิน ข้างวัดภูมินทร์ ด้วยอากาศที่ร้อนมาก และ อาหารก็ไม่ดึงดูดกระเพาะเราสักเท่าไหร่ ร้านโจ๊กหมูเมืองสอง มีโจ็กที่เนื้ออร่อยแบบที่เราชอบ คือละเอียดไม่ต้องเคี้ยว เนื้อหมูก็ดูดีมีคุณภาพ ถ้าอยู่อีกก็จะไปซ้ำแน่ค่ะ
จบทริปวันแรกแบบร้อนๆ รีบนอน เพราะวันรุ่งขึ้นเรามีแพลนตื่นเช้าไปดูวิวเมืองน่านกันค่ะ
วันนี้ แพลนออกจากที่พักก่อนหกโมงเช้า โดยจะขี่จักรยานประมาณกี่โลกว่าๆ ไปพระธาตุเขาน้อยกัน ส่วนตัวเราไม่ได้เตรียมใจว่าจะเหนื่อยเลยสักนิด เพราะขี่จักรยานโลกว่าๆ นี่คือสบาย แต่เราหารู้ไม่ว่าต้องปั่นขึ้นเขา พร้อมด้วยเดิมขึ้นบันไดอีก 300 กว่าขั้นจร้า
กว่าจะถึง คือเหนื่อยมาก ไม่หนาวอย่างที่คิดอีกต่างหาก เหงื่อนี่ท่วมตัวเลยทีเดียว
ถ้ามีคนถามว่าคุ้มไหม ใครยังไม่เคยมาก็มากันเถอะค่ะ แต่เตรียมร่างกายให้พร้อม แต่สำหรับเรา ครั้งนี้ผิดหวัง เพราะกะว่าอย่างน้อยจะได้รูปสวยๆ แต่บรรยากาศกลับไม่เป็นใจ หมอกเต็มเลย มองไปไม่เห็นอะไรเลยคร่า ถือว่าไปไหว้พระกันนะคะ
landmark#3
กลับมาที่พัก อาบน้ำแต่งตัว และเชคเอ้าท์ ออกจากที่พัก ซันดารา เพราะเดี๋ยวเราจะออกเดินทางไป อ.ปัว กัน โดยการเช่ารถ พาหนะพาเที่ยวในวันที่เหลือค่ะ ทางบริษัทรถเช่าใจดี เอารถมาส่งถึงเกสเฮ้าส์ เลยค่ะ
ก่อนออกไปนอกอำเภอเมือง ขอแวะ วัดพระธาตุแช่แห้ง เพื่อสักการะพระบรมสารีริกธาตุ สำหรับเราที่มาน่านครั้งแรกก่อน ถือว่าเป็น landmark#4 สำหรับน่านค่ะ
วัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นวันที่แนะนำประจำปีเถาะนะคะ
ระหว่างทางเมืองน่าน-ปัว ให้สังเกต ทางขวามือ จะมี "หอศิลป์ริมน่าน" ให้แวะชมกันก่อน ส่วนตัวอยากแนะนำให้มากันนะคะ หลายคนอาจไม่เคยสังเกต ช่วงเวลานี้ มีจัดแสดงภาพวาดฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ด้วยค่ะ โชคดีจริงๆ
ภาพขวานี้ เป็นพระราชอารมณ์ขันของสมเด็จพระเทพฯ เพราะท่านว่า แก่แล้วกระซิบไม่ได้ยินแล้ว ต้อง "ตะโกน" ^___^
ดูศิลปะภาพวาดกันเรียบร้อย ไปอีกไม่ไกลมากก็จะเข้า อำเภอปัว แล้วค่ะ ถ้าขับอย่างต่อเนื่องก็น่าจะกินเวลาแค่ชั่วโมงนิดๆเองนะคะ
เดี๋ยวจขกท.มาต่อ อ.ปัว นะคะ
[CR] รีวิว ครั้งแรก เก็บบรรยากาศดีๆ ที่น่าน...นะสิ
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขอโทษด้วยนะคะ
ทริปนี้เป็นทริปเที่ยวสุดท้ายของปี 2559 ของเราค่ะ เดินทางกัน 2 คน ไปมาต้นเดือน พฤศจิกายน ซึ่งควรจะเป็นปลายฝนต้นหนาว ใช่ไหมคะ แต่จริงๆ ร้อนสุดๆ
เริ่มทริปจากลงเครื่องกันที่สนามบินน่านนคร พี่ซัน เจ้าของเกสเฮาส์ ซันดารา มารับที่สนามบิน เลยค่ะ ใจดีสุดๆ
รูปที่พักค่ะ มีประมาณ 6 ห้อง เงียบ และส่วนตัวดีค่ะ
รูปในห้องพักค่ะ
ที่นี่มีจักรยานให้ยืมฟรีนะคะ ขี่ไปไหนก็ได้ จอดไม่ต้องกลัวหายด้วย พี่ซันบอกว่าเดี๋ยวก็หาเจอ เมืองมันเล็ก
เราเลยพักแป็ปนึง ให้พระอาทิตย์ไม่อยู่กลางหัว แล้วก็เลยขี่จักรยานออกไปเที่ยวเมืองน่านกัน ใครกังวลว่ารถจะเยอะไหน ก็เยอะนะคะ ดมท่อไอเสียกันไป แต่ขี่จักรยานก็ยังเป็นทางเลือกที่ดี เพราะไม่ต้องหาที่จอดรถให้เสียเวลา และสถานที่เที่ยวก็อยู่ใกล้กันมากๆ เลยค่ะ
ที่เที่ยวแรกคือวัดที่ทุกคนที่มาน่านต้องมา คือ "วัดภูมินทร์" เพราะ ลือชื่อเรื่องภาพจิตรกรรมฝาผนัง "กระซิบรักบันลือโลก" อันเป็นผลงานของหนานบัวผัน จิตรกรพื้นถิ่นเชื้อสายไทลื้อ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานที่ปราณีตและเป็นภาพที่ปู่ม่านกระซิบย่าม่านอย่างใกล้ชิด
landmark#1
จริงๆ พระพุทธรูปและภาพเขียนฝาผนังอื่นๆ ในวัดภูมินทร์ สำหรับเราก็สวยงามเช่นกัน แต่อาจเพราะภาพปู่ม่านย่าม่านนั้นเป็นภาพเขียนที่ใหญ่สะดุดตา รวมทั้งยังถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์เลยทีเดียว
สถานที่ต่อไป อยู่ข้างๆกันเลย แค่ข้ามถนนมาหน่อยเดียว คือ "พิพิธภัณฑ์น่าน" โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมข้างในได้ฟรี ข้างหน้าของพิพิธภัณฑ์ จะมีซุ้มดอกลีลาวดียาว เป็นอีกจุดที่ใครมาจะแวะมาถ่ายรูป เป็นเหมือน landmark#2 อีกจุดของน่าน เสียดายที่เรามาตอนแดดเปรี้ยงกันเลยทีเดียว รูปที่ได้ออกมาเลยดูแข็งไปหน่อยค่ะ T_T
มองจากหน้าพิพิธภัณฑ์ไป จะเจอ วัดช้างค้ำอยู่ฝั่งตรงข้ามเลย ไหนๆมาเกือบถึงแล้ว ก็ข้ามฝั่งไปซะหน่อยค่ะ
รูปจากหน้าพิพิธภัณฑ์น่านค่ะ
วันที่เราไป กำลังจะมีทอดกฐินพระราชทาน เลยมีการเตรียมงานกันอยู่พอดีค่ะ และไม่ใช่วัดที่อยู่ในลิสต์นักท่องเที่ยว คนจึงไม่เยอะคะวัดนี้
รูปพระประธานในวันช้างค้ำค่ะ
สถานที่ต่อไป มาแวะสักการะ "ศาลหลักเมือง" และ "วัดมิ่งเมือง" ก็อยู่ในพื้นที่เดียวกันค่ะ
สำหรับวันแรก เที่ยวเพียงแค่นี้ก่อน เพราะแดดแรงมากจริงๆ คนที่นั่นคงสงสัยว่า ปั่นจักรยานกันไหวได้ไง 55 แต่เราขอแทรกด้วยของกินอร่อยๆ แทนนะคะ
ที่แรกเป็น "ร้านกาแฟ บ้านๆน่านๆ" ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอย ขากลับจากที่เที่ยวกลับที่พัก ที่นี่มีที่พักด้วย ส่วนของร้านกาแฟก็มีหนังสือขายให้ซื้ออ่าน แม้ไม่มีแอร์ แต่เข้ามาในร้านแล้วเย็นสบายดี เงียบดีด้วย เหมาะกับการ slow life เหลือเกิน
มื้อเย็น ขอแนะนำ "ร้านโจ๊กหมูเมืองสอง" หลังจากเราผิดหวังกับ ตลาดคนเดิน ข้างวัดภูมินทร์ ด้วยอากาศที่ร้อนมาก และ อาหารก็ไม่ดึงดูดกระเพาะเราสักเท่าไหร่ ร้านโจ๊กหมูเมืองสอง มีโจ็กที่เนื้ออร่อยแบบที่เราชอบ คือละเอียดไม่ต้องเคี้ยว เนื้อหมูก็ดูดีมีคุณภาพ ถ้าอยู่อีกก็จะไปซ้ำแน่ค่ะ
จบทริปวันแรกแบบร้อนๆ รีบนอน เพราะวันรุ่งขึ้นเรามีแพลนตื่นเช้าไปดูวิวเมืองน่านกันค่ะ
วันนี้ แพลนออกจากที่พักก่อนหกโมงเช้า โดยจะขี่จักรยานประมาณกี่โลกว่าๆ ไปพระธาตุเขาน้อยกัน ส่วนตัวเราไม่ได้เตรียมใจว่าจะเหนื่อยเลยสักนิด เพราะขี่จักรยานโลกว่าๆ นี่คือสบาย แต่เราหารู้ไม่ว่าต้องปั่นขึ้นเขา พร้อมด้วยเดิมขึ้นบันไดอีก 300 กว่าขั้นจร้า
กว่าจะถึง คือเหนื่อยมาก ไม่หนาวอย่างที่คิดอีกต่างหาก เหงื่อนี่ท่วมตัวเลยทีเดียว
ถ้ามีคนถามว่าคุ้มไหม ใครยังไม่เคยมาก็มากันเถอะค่ะ แต่เตรียมร่างกายให้พร้อม แต่สำหรับเรา ครั้งนี้ผิดหวัง เพราะกะว่าอย่างน้อยจะได้รูปสวยๆ แต่บรรยากาศกลับไม่เป็นใจ หมอกเต็มเลย มองไปไม่เห็นอะไรเลยคร่า ถือว่าไปไหว้พระกันนะคะ
landmark#3
กลับมาที่พัก อาบน้ำแต่งตัว และเชคเอ้าท์ ออกจากที่พัก ซันดารา เพราะเดี๋ยวเราจะออกเดินทางไป อ.ปัว กัน โดยการเช่ารถ พาหนะพาเที่ยวในวันที่เหลือค่ะ ทางบริษัทรถเช่าใจดี เอารถมาส่งถึงเกสเฮ้าส์ เลยค่ะ
ก่อนออกไปนอกอำเภอเมือง ขอแวะ วัดพระธาตุแช่แห้ง เพื่อสักการะพระบรมสารีริกธาตุ สำหรับเราที่มาน่านครั้งแรกก่อน ถือว่าเป็น landmark#4 สำหรับน่านค่ะ
วัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นวันที่แนะนำประจำปีเถาะนะคะ
ระหว่างทางเมืองน่าน-ปัว ให้สังเกต ทางขวามือ จะมี "หอศิลป์ริมน่าน" ให้แวะชมกันก่อน ส่วนตัวอยากแนะนำให้มากันนะคะ หลายคนอาจไม่เคยสังเกต ช่วงเวลานี้ มีจัดแสดงภาพวาดฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ด้วยค่ะ โชคดีจริงๆ
ภาพขวานี้ เป็นพระราชอารมณ์ขันของสมเด็จพระเทพฯ เพราะท่านว่า แก่แล้วกระซิบไม่ได้ยินแล้ว ต้อง "ตะโกน" ^___^
ดูศิลปะภาพวาดกันเรียบร้อย ไปอีกไม่ไกลมากก็จะเข้า อำเภอปัว แล้วค่ะ ถ้าขับอย่างต่อเนื่องก็น่าจะกินเวลาแค่ชั่วโมงนิดๆเองนะคะ
เดี๋ยวจขกท.มาต่อ อ.ปัว นะคะ