ผมจะมาเล่าเรื่องของคุณแม่ของผมที่เพิ่งจะเสียไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนะครับ
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อราวๆ2เดือนก่อน(เดือนตุลาคม2559) คุณแม่ของผมยังแข็งแรงดีทุกประการ ยังไปเที่ยวที่ที่อยากไป กินอะไรที่อยากกินได้ตามปรกติเหมือนคนทั่วไป
อยู่มาวันหนึ่งต้นเดือนตุลาคม2559 ที่สถานอนามัยแถวบ้านผมได้มีการตรวจร่างกายฟรี แม่ผมซึ่งไปออกกำลังกายที่นั่นพอดีก็เลยเข้าไปตรวจ(เพราะว่าฟรี) ผลเอ็กซเรย์ออกมา หมอบอกว่า ที่ปอดของแม่ มีจุดดำๆเล็กๆอยู่1จุด ซึ่งหมอก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร หมอจึงแนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล แม่ผมจึงไปตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช(แม่ผมมีบัตรทอง สามารถใช้สิทธิ์30บาทที่ศิริราชได้) ผลการตรวจหมอที่ศิริราชบอกว่าไม่เป็นอะไร กลับบ้านได้ แม่ผมก็กลับบ้านมาใช้ชิวิตปรกติ ตื่นมาพาหลาน(ลูกสาวผม)ไปตลาด แล้วก็ออกไปเที่ยว ไปหาเพื่อน ไปหาคุณตาคุณยายผมตามปรกติ...
ผ่านไปประมาณ1อาทิตย์ คุณแม่ผมเริ่มรู้สึกปวดบริเวณไหปลาร้าข้างซ้ายเยื้องๆไปทางหัวไหล่ข้างซ้าย ทำให้อุ้มหลานไม่ได้ ณ ตอนนั้น ทั้งผมทั้งแม่และพี่สาวผมก็คิดว่าเป็นเพราะแม่อุ้มหลานมากไปเลยปวดไหล่ตามประสาคนแก่ แต่แล้วอาการปวดก็ต่อเนื่องนานไป4-5วันก็ไม่หาย และเริ่มมีก้อนเนื้อปูดขึ้นมาตรงบริเวณที่ปวด จึงไปให้หมอที่ศิริราชตรวจอีกประมาณ2-3ครั้ง ทุกครั้งก็จะเจอแต่หมอฝึกหัด ตรวจแล้วก็บอกให้กลับบ้านแล้วนัดให้มาใหม่อาทิตย์หน้าเพื่อมาดูอาการตามสไตล์โรงพยาบาลรัฐ เพราะคนไข้เขาเยอะ การที่จะไปตรวจอะไรใหญ่ๆ หรือต้องการพบอาจารย์หมอ ต้องนัดล่วงหน้าเป็นเดือนๆถึงจะได้พบ ผ่านไป1เดือน แม่ผมได้พบอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกและมะเร็ง(มั้ง...ผมก็ไม่รู้เขาเชี่ยวชาญด้านไหน) อาจารย์หมอท่านนี้ก็ยังไม่สามารถระบุได้แน่นอนว่าแม่ผมเป็นโรคอะไร ถ้าอยากรู้ต้องทำCT scan ซึ่งการทำCT scanต้องรอคิว เพราะเครื่องมีน้อย และมีคนไข้เยอะมาก. คิวแม่ผมคือเดือน ก.พ.2560... แม่จ้าววว!!! ต้องรอปีหน้ากันเลยทีเดียว!!??? ซึ่งตอนนั้นถ้าผมรอ ป่านนี้แม่ผมก็ยังไม่ได้scanเลย ซึ่งผมรอไม่ไหว เพราะแม่เริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ผมจึงพาแม่ไปที่โรงพยาบาลบางปะกอก9(เอกชน) ซึ่งแม่ผมได้ทำการCT scanทันที(แน่นอนสิ ค่าscan4หมื่นบาท) และแล้ว ข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของผมก็ออกมาจากปากคุณหมอว่า แม่ผมเป็นมะเร็ง ซึ่งอยู่ในระยแพร่กระจายแล้ว(น่าจะระยะสุดท้าย) หมอก็ไม่รู้ว่าแม่ผมเป็นมะเร็งที่อวัยวะไหน เพราะมันลามไปทั่วแล้ว และกินปอดไปครึ่งหนึ่งแล้ว และไม่สามารถผ่าตัดออกไได้ เพราะใกล้หัวใจมาก. หมอบอกว่าแม่ผมเป็นเคสที่ตรวจหาเจอได้ยาก 10ปีจะมีคนเป็นแค่ไม่กี่คน ต่อให้เป็นหมอที่เชี่ยวชาญก็ตรวจไม่เจอถ้าไม่CT scan หมอบอกว่า ให้ผมทำใจเลย แม่ผมจะอยูาได้อีกไม่เกิน3-6เดือน
ณ ตอนนั้น ผมงงมาก เมื่อเดือนก่อนแม่ยังไม่เป็นอะไรเลย หมอที่ศิริราชก็บอกไม่เป็นอะไร แถมนัดให้ไปสแกนปีหน้าโน่น...ทุกอย่างมันช่างเร็วเหลือเกิน ไม่ทันให้ผมกับแม่ได้ตั้งตัวเลย. ผมไม่ได้บอกเรื่องแม่เป็นมะเร็งให้แม่รู้ หมอก็บอกแม่แค่ว่าแม่เป็นเนื้องอก เพื่อไม่ให้แม่ต้องกลุ้มใจและทรุดหนักไปมากกว่านี้ หลังจากกลับมาบ้านได้1-2วัน แม่ผมก็ล้มทันที ขาทั้ง2ข้างไม่มีแรงไม่สามารถขยับได้เพราะก้อนมะเร็งไปกดทับเส้นประสาท ผมเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวแม่ไปที่ศิริราชหมอก็พ่นน้ำลายเน่าๆออกมา บอกให้ผมนำแม่กลับบ้าน เพราะไม่มีเตียง(เขารับแอดมิทเฉพาะเคสที่รักษาได้ แม่ผมซึ่งไม่มีทางรักษาแล้วเขาเลยไม่รับแอดมิท) ผมซึ่งอับจนหนทาง ก็ได้ให้หมอที่ศิริราชส่งตัวแม่ผมไปที่ศูนย์มะเร็งที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เขารับแอดมิททันที เพราะแม่ผมไม่สามารถลุกนั่งหรือเดินได้แล้ว แต่หมอที่นั่นก็บอกเหมือนที่โรงพยาบาลบางปะกอก9 ว่าเคสแม่ผมรักษาไม่ทันแล้ว ทำให้ได้แค่ฉายแสงตรงที่มันเป็นก้อนเพื่อลดความเจ็บปวด ที่โรงบาลแนะนำให้ผมไปติดต่อศิริราชให้ทางศิริราชทำเรื่องส่งสิทธิ์30บาทให้โรงบาลจุฬาภรณ์เพื่อที่จะได้ลดค่าใช้จ่าย ทางศิริราชก็ได้พ่นน้ำลายเน่าๆออกมาอีกครั้งว่า เขาไม่สามารถทำเรื่องส่งไปที่โรงพยาบาลที่เล็กกว่าได้ เพราะที่ศิริราชก็รักษาได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องส่งไป(กั๊กคนไข้นั่นเอง)
ดด ก็คุณเพิ่งจะไล่แม่ผมกลับบ้านไม่ยอมแอดมิทเพราะคุณบอกว่าเคสแม่ผมรักษาไม่ได้ไง!? ผ่านไป7วัน แม่ผมก็กลับมาพักฟื้นที่บ้าน
ถึงตรงนี้แม่ผมต้องใช้เครื่องผลิตออกซิเจนช่วยหายใจแล้ว เพราะปอดแม่โดนเซลมะเร็งกินจนเกือบหมดแล้ว ขยับได้แต่หัวกับแขน ทานข้าวแทบไม่ได้ แค่นอนเฉยๆก็เหนื่อยหอบเหมือนเพิ่งไปออกวิ่งมา ณ ตอนนั้น แม่ผมซึ่งยังเข้าใจว่าเขาเป็นแค่เนื้องอกก็คอยสงสัยและถามผมกับพี่สาวตลอด ว่าทำไมหมอไม่ผ่าตัดก้อนเนื้อออกให้ "ถ้าโรงบาลรัฐมันช้านัก ทำไมไม่พาแม่ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอกชนล่ะ เสียดายเงินกันรึไง" คำพูดประโยคนี้ช่างเหมือนเอามีดมาจ้วงแทงที่หัวใจผมเหลือเกิน ผมอยากจะบอกแม่ออกไปเหลือเกิน ว่าผมทำไม่ได้ แต่ก็กลัวว่าถ้าแม่รู้ความจริง แม่ผมจะไม่ยอมกินข้าวกินยา(แม่ผมเป็นคนแบบนั้น)
และแล้วก็ถึงวันที่18ธ.ค.2559 วันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผมก็มาถึง วันนั้นยังคงเป็นเหมือนทุกๆวัน แม่ผมก็นอนอยู่บนเตียง ผมก็ป้อนข้าวแม่ตามปรกติ วันนั้นลูกสาวผมงอแงผิดปรกติ ร้องไห้ทั้งวัน เหมือนลูกสาวผมจะรับรู้ลางร้ายอะไรสักอย่างที่กำลังจะเกิด ผมแปลกใจมากที่วันก่อนๆแม่จะบ่นปวด ขอยาแก้ปวดทุกๆ2ชม. ถึงเวลากินข้าวก็ไม่ค่อยอยากจะกิน กินก็กินได้น้อยมากๆ แต่ในวันนั้นแม่ไม่บ่นเลยสักคำ ไม่ขอยาแก้ปวดเลย และกินข้าวหมดจานทั้ง3มื้อ เมื่อป้อนข้าวเย็นเสร็จประมาณทุ่มกว่าๆ แม่ผมก็บอกว่าง่วง จะนอน ผมก็ขึ้นไปนอนชั้น3 แต่แฟนผมยังอยู่ข้างล่าง ล้างขวดนมลูกอยู่ ผ่านไปแค่5นาทีหลังจากที่แยกกับแม่ พี่สาวผมที่กลับมาจาก7-11ก็ได้เห็นว่าแม่แปลกไป แม่ไม่หายใจแรงเหมือนปกติ พอเข้าไปดูใกล้ๆก็ได้รู้ว่า แม่ไม่หายใจแล้ว แม่ได้จากผมไปตลอดกาลแล้ว....
ทุกวันนี้ในหัวผมยังคงคิดวนเวียนอยู่ว่า ทำไมถึงไม่รู้เร็วกว่านี้. ทำไมถึงไม่พาแม่ไปตรวจสุขภาพให้เร็วกว่านี้. ถ้ารู้เร็วกว่านี้จะรักษาทันมั้ยนะ??? คำถามนี้ยังคงก้องอยู่ในหัวผมตลอดเวลาที่ตื่น
อยากให้คนที่อ่านเรื่องนี้แล้ว กลับไปดูแลสุขภาพตัวเองและของคนที่คุณรักให้ดี พากันไปตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง เป็นอะไรจะได้รู้เร็ว รักษาได้ทัน อย่าให้เป็นแบบผม ที่ไม่เคยพาแม่ไปตรวจสุขภาพเลยเพราะเห็นท่านยังแข็งแรงดี และเมื่อสงสัยว่าเป็นอะไร อย่ามัวไปรอโรงพยาบาลรัฐ มันไม่ทัน
"มะเร็ง" โรคร้ายที่จะมาพรากคนสำคัญของคุณไปโดยที่คุณไม่ทันตั้งตัว
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อราวๆ2เดือนก่อน(เดือนตุลาคม2559) คุณแม่ของผมยังแข็งแรงดีทุกประการ ยังไปเที่ยวที่ที่อยากไป กินอะไรที่อยากกินได้ตามปรกติเหมือนคนทั่วไป
อยู่มาวันหนึ่งต้นเดือนตุลาคม2559 ที่สถานอนามัยแถวบ้านผมได้มีการตรวจร่างกายฟรี แม่ผมซึ่งไปออกกำลังกายที่นั่นพอดีก็เลยเข้าไปตรวจ(เพราะว่าฟรี) ผลเอ็กซเรย์ออกมา หมอบอกว่า ที่ปอดของแม่ มีจุดดำๆเล็กๆอยู่1จุด ซึ่งหมอก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร หมอจึงแนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล แม่ผมจึงไปตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช(แม่ผมมีบัตรทอง สามารถใช้สิทธิ์30บาทที่ศิริราชได้) ผลการตรวจหมอที่ศิริราชบอกว่าไม่เป็นอะไร กลับบ้านได้ แม่ผมก็กลับบ้านมาใช้ชิวิตปรกติ ตื่นมาพาหลาน(ลูกสาวผม)ไปตลาด แล้วก็ออกไปเที่ยว ไปหาเพื่อน ไปหาคุณตาคุณยายผมตามปรกติ...
ผ่านไปประมาณ1อาทิตย์ คุณแม่ผมเริ่มรู้สึกปวดบริเวณไหปลาร้าข้างซ้ายเยื้องๆไปทางหัวไหล่ข้างซ้าย ทำให้อุ้มหลานไม่ได้ ณ ตอนนั้น ทั้งผมทั้งแม่และพี่สาวผมก็คิดว่าเป็นเพราะแม่อุ้มหลานมากไปเลยปวดไหล่ตามประสาคนแก่ แต่แล้วอาการปวดก็ต่อเนื่องนานไป4-5วันก็ไม่หาย และเริ่มมีก้อนเนื้อปูดขึ้นมาตรงบริเวณที่ปวด จึงไปให้หมอที่ศิริราชตรวจอีกประมาณ2-3ครั้ง ทุกครั้งก็จะเจอแต่หมอฝึกหัด ตรวจแล้วก็บอกให้กลับบ้านแล้วนัดให้มาใหม่อาทิตย์หน้าเพื่อมาดูอาการตามสไตล์โรงพยาบาลรัฐ เพราะคนไข้เขาเยอะ การที่จะไปตรวจอะไรใหญ่ๆ หรือต้องการพบอาจารย์หมอ ต้องนัดล่วงหน้าเป็นเดือนๆถึงจะได้พบ ผ่านไป1เดือน แม่ผมได้พบอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกและมะเร็ง(มั้ง...ผมก็ไม่รู้เขาเชี่ยวชาญด้านไหน) อาจารย์หมอท่านนี้ก็ยังไม่สามารถระบุได้แน่นอนว่าแม่ผมเป็นโรคอะไร ถ้าอยากรู้ต้องทำCT scan ซึ่งการทำCT scanต้องรอคิว เพราะเครื่องมีน้อย และมีคนไข้เยอะมาก. คิวแม่ผมคือเดือน ก.พ.2560... แม่จ้าววว!!! ต้องรอปีหน้ากันเลยทีเดียว!!??? ซึ่งตอนนั้นถ้าผมรอ ป่านนี้แม่ผมก็ยังไม่ได้scanเลย ซึ่งผมรอไม่ไหว เพราะแม่เริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ผมจึงพาแม่ไปที่โรงพยาบาลบางปะกอก9(เอกชน) ซึ่งแม่ผมได้ทำการCT scanทันที(แน่นอนสิ ค่าscan4หมื่นบาท) และแล้ว ข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของผมก็ออกมาจากปากคุณหมอว่า แม่ผมเป็นมะเร็ง ซึ่งอยู่ในระยแพร่กระจายแล้ว(น่าจะระยะสุดท้าย) หมอก็ไม่รู้ว่าแม่ผมเป็นมะเร็งที่อวัยวะไหน เพราะมันลามไปทั่วแล้ว และกินปอดไปครึ่งหนึ่งแล้ว และไม่สามารถผ่าตัดออกไได้ เพราะใกล้หัวใจมาก. หมอบอกว่าแม่ผมเป็นเคสที่ตรวจหาเจอได้ยาก 10ปีจะมีคนเป็นแค่ไม่กี่คน ต่อให้เป็นหมอที่เชี่ยวชาญก็ตรวจไม่เจอถ้าไม่CT scan หมอบอกว่า ให้ผมทำใจเลย แม่ผมจะอยูาได้อีกไม่เกิน3-6เดือน
ณ ตอนนั้น ผมงงมาก เมื่อเดือนก่อนแม่ยังไม่เป็นอะไรเลย หมอที่ศิริราชก็บอกไม่เป็นอะไร แถมนัดให้ไปสแกนปีหน้าโน่น...ทุกอย่างมันช่างเร็วเหลือเกิน ไม่ทันให้ผมกับแม่ได้ตั้งตัวเลย. ผมไม่ได้บอกเรื่องแม่เป็นมะเร็งให้แม่รู้ หมอก็บอกแม่แค่ว่าแม่เป็นเนื้องอก เพื่อไม่ให้แม่ต้องกลุ้มใจและทรุดหนักไปมากกว่านี้ หลังจากกลับมาบ้านได้1-2วัน แม่ผมก็ล้มทันที ขาทั้ง2ข้างไม่มีแรงไม่สามารถขยับได้เพราะก้อนมะเร็งไปกดทับเส้นประสาท ผมเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวแม่ไปที่ศิริราชหมอก็พ่นน้ำลายเน่าๆออกมา บอกให้ผมนำแม่กลับบ้าน เพราะไม่มีเตียง(เขารับแอดมิทเฉพาะเคสที่รักษาได้ แม่ผมซึ่งไม่มีทางรักษาแล้วเขาเลยไม่รับแอดมิท) ผมซึ่งอับจนหนทาง ก็ได้ให้หมอที่ศิริราชส่งตัวแม่ผมไปที่ศูนย์มะเร็งที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เขารับแอดมิททันที เพราะแม่ผมไม่สามารถลุกนั่งหรือเดินได้แล้ว แต่หมอที่นั่นก็บอกเหมือนที่โรงพยาบาลบางปะกอก9 ว่าเคสแม่ผมรักษาไม่ทันแล้ว ทำให้ได้แค่ฉายแสงตรงที่มันเป็นก้อนเพื่อลดความเจ็บปวด ที่โรงบาลแนะนำให้ผมไปติดต่อศิริราชให้ทางศิริราชทำเรื่องส่งสิทธิ์30บาทให้โรงบาลจุฬาภรณ์เพื่อที่จะได้ลดค่าใช้จ่าย ทางศิริราชก็ได้พ่นน้ำลายเน่าๆออกมาอีกครั้งว่า เขาไม่สามารถทำเรื่องส่งไปที่โรงพยาบาลที่เล็กกว่าได้ เพราะที่ศิริราชก็รักษาได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องส่งไป(กั๊กคนไข้นั่นเอง) ดด ก็คุณเพิ่งจะไล่แม่ผมกลับบ้านไม่ยอมแอดมิทเพราะคุณบอกว่าเคสแม่ผมรักษาไม่ได้ไง!? ผ่านไป7วัน แม่ผมก็กลับมาพักฟื้นที่บ้าน
ถึงตรงนี้แม่ผมต้องใช้เครื่องผลิตออกซิเจนช่วยหายใจแล้ว เพราะปอดแม่โดนเซลมะเร็งกินจนเกือบหมดแล้ว ขยับได้แต่หัวกับแขน ทานข้าวแทบไม่ได้ แค่นอนเฉยๆก็เหนื่อยหอบเหมือนเพิ่งไปออกวิ่งมา ณ ตอนนั้น แม่ผมซึ่งยังเข้าใจว่าเขาเป็นแค่เนื้องอกก็คอยสงสัยและถามผมกับพี่สาวตลอด ว่าทำไมหมอไม่ผ่าตัดก้อนเนื้อออกให้ "ถ้าโรงบาลรัฐมันช้านัก ทำไมไม่พาแม่ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอกชนล่ะ เสียดายเงินกันรึไง" คำพูดประโยคนี้ช่างเหมือนเอามีดมาจ้วงแทงที่หัวใจผมเหลือเกิน ผมอยากจะบอกแม่ออกไปเหลือเกิน ว่าผมทำไม่ได้ แต่ก็กลัวว่าถ้าแม่รู้ความจริง แม่ผมจะไม่ยอมกินข้าวกินยา(แม่ผมเป็นคนแบบนั้น)
และแล้วก็ถึงวันที่18ธ.ค.2559 วันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผมก็มาถึง วันนั้นยังคงเป็นเหมือนทุกๆวัน แม่ผมก็นอนอยู่บนเตียง ผมก็ป้อนข้าวแม่ตามปรกติ วันนั้นลูกสาวผมงอแงผิดปรกติ ร้องไห้ทั้งวัน เหมือนลูกสาวผมจะรับรู้ลางร้ายอะไรสักอย่างที่กำลังจะเกิด ผมแปลกใจมากที่วันก่อนๆแม่จะบ่นปวด ขอยาแก้ปวดทุกๆ2ชม. ถึงเวลากินข้าวก็ไม่ค่อยอยากจะกิน กินก็กินได้น้อยมากๆ แต่ในวันนั้นแม่ไม่บ่นเลยสักคำ ไม่ขอยาแก้ปวดเลย และกินข้าวหมดจานทั้ง3มื้อ เมื่อป้อนข้าวเย็นเสร็จประมาณทุ่มกว่าๆ แม่ผมก็บอกว่าง่วง จะนอน ผมก็ขึ้นไปนอนชั้น3 แต่แฟนผมยังอยู่ข้างล่าง ล้างขวดนมลูกอยู่ ผ่านไปแค่5นาทีหลังจากที่แยกกับแม่ พี่สาวผมที่กลับมาจาก7-11ก็ได้เห็นว่าแม่แปลกไป แม่ไม่หายใจแรงเหมือนปกติ พอเข้าไปดูใกล้ๆก็ได้รู้ว่า แม่ไม่หายใจแล้ว แม่ได้จากผมไปตลอดกาลแล้ว....
ทุกวันนี้ในหัวผมยังคงคิดวนเวียนอยู่ว่า ทำไมถึงไม่รู้เร็วกว่านี้. ทำไมถึงไม่พาแม่ไปตรวจสุขภาพให้เร็วกว่านี้. ถ้ารู้เร็วกว่านี้จะรักษาทันมั้ยนะ??? คำถามนี้ยังคงก้องอยู่ในหัวผมตลอดเวลาที่ตื่น
อยากให้คนที่อ่านเรื่องนี้แล้ว กลับไปดูแลสุขภาพตัวเองและของคนที่คุณรักให้ดี พากันไปตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง เป็นอะไรจะได้รู้เร็ว รักษาได้ทัน อย่าให้เป็นแบบผม ที่ไม่เคยพาแม่ไปตรวจสุขภาพเลยเพราะเห็นท่านยังแข็งแรงดี และเมื่อสงสัยว่าเป็นอะไร อย่ามัวไปรอโรงพยาบาลรัฐ มันไม่ทัน