นับตั้งแต่จำความได้ ดิฉัน เคยมีประสบการณ์ใกล้ชิดกับการนอนโรงพยาบาลไม่กี่ครั้ง ซึ่งล้วนแล้วเป็นประสบการณ์การเฝ้าไข้ในฐานะญาติผู้ป่วยเท่านั้น การล้มป่วยขั้นที่ต้องนอนในโรงพยาบาลของตัวเองไม่เคยเกิดขึ้นเลย
แต่สองปีหลังมานี้ ตัวดิฉันเองทำงานค่อนข้างหนัก มีความกดดันสูง ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง และเมื่อปีที่แล้วก็ตรวจพบเนื้องอกในโพรงมดลูก และถุงน้ำแบบเลือด หรือที่เรียกกันว่าชอคโกแลตชีสต์ที่ปีกมดลูกข้างซ้าย หลังจากพบว่าตัวเองมีอาการปวดท้องน้อยมาได้ระยะหนึ่ง
หลังจากได้ติดตามอาการมาประมาณ 1 ปี ขนาดของเนื้องอกและ cyst ไม่เปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่นัก แต่พบว่าอาการปวดทวีความรุนแรงขึ้นพร้อมด้วยมีปริมาณเลือดประจำเดือนมากกว่าเดิมและเป็นลิ่มเลือดเสียส่วนใหญ่ ในหลายๆครั้งที่มีอาการปวด จะมือเท้าเย็น ปากชา หมดเรี่ยวแรง เดินตัวงอ ในบางครั้งก็ปวดจนนอนหลับไป และต้องกินยาทุกๆ 6 ชม. และเมื่อเดือนล่าสุดที่พบอาการปวดตนเองไม่บรรเทาลง จึงตัดใจผ่าออกตามคำแนะนำของแพทย์ ที่ให้ความเห็นว่า การรักษามี 2 ทาง คือตามดูอาการ ตรวจขนาดๆ ทุกๆ 3 หรือ 6 เดือน รักษาตามอาการด้วยยาแก้ปวด และให้สังเกตุว่ามีปริมาณเลือดออกมากเกินหรือไม่ ซึ่งก้อนเนื้องอกโดยปกติถ้าไม่ใช่เนื้อร้ายจะสามารถฝ่อลงไปเองได้ เมื่อฮอร์โมนลดน้อยลง หรือแปลได้ว่าย่างเข้าวัยหมดประจำเดือน และวิธีที่สองคือเอาออกเสีย ด้วยวิธีส่องกล้อง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนไข้โชคดีที่ดิฉันมีประกันสุขภาพซึ่งครอบคลุมการการรักษาผ่าตัดด้วย ดิฉันเลยตัดสินใจเอาออก
ในบ่ายวันอังคาร ดิฉันลาไปพบแพทย์หลังจากมีการเลื่อนนัดกันหลายครั้ง และได้มีการตกลงกับหมอเจ้าของไข้ถึงการตัดสินใจผ่า หมอจึงถามว่าสะดวกเมื่อไหร่ ด้วยดิฉันเองมีงานประจำซึ่งค่อนข้างยุ่งมากหาเวลาลงตัวค่อนข้างยาก ช่วงเวลาสิ้นปีถือเป็นเวลาที่สะดวกที่สุดแล้ว จึงตอบไปว่าพร้อมเลย หมอเลยบอกงั้นพรุ่งนี้เลยเป็นไง .....ให้ตายเถอะ มันเร็วมาก นึกว่าจะวันเสาร์ มันเร็วกว่าที่คิด
หลังจากนั้นหมอให้ไปคุยกับพยาบาลเรื่องขั้นตอน ดิฉันเลยติดต่อบอกน้องสาวและเจ้านาย ว่าจะขอลาไปผ่าตัดตามที่เคยคุยไว้ก่อนหน้านี้
พยาบาลขอตรวจร่างกายและเลือดเพิ่มเพื่อดูผลเอดส์ ค่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอ็กซ์เลย์ปอด ปัสสาวะ ดิฉันจึงแจ้งไปว่าเพิ่งตรวจสุขภาพมาเมื่อกลางเดือน พ.ย. จึงขอใช้ผลนั้นยื่นแทน เมื่อเจรจาตกลงกันเรียบร้อย ดิฉันต้องไปจองห้อง และจ่ายค่าปรึกษา และที่สำคัญกว่านั้นคือพยาบาลแจ้งว่า ต้องงดน้ำงดอาหาร 6 ชม. ก่อนผ่า ซึ่งการผ่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ ถ้าเข้า Admit วันรุ่งขึ้นตอนตี 5 ก็จะฉุกละหุกเกินไป จึงขอให้ Admit ก่อนเลย คืนนี้ 2 ทุ่มพร้อมกับผลการตรวจร่างกาย
เร็วกว่าที่คาดหมาย กว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลก็เกือบ 4 โมงเย็น ดิฉันวิ่งกลับไปหาผลการตรวจร่างกายและกลับมาให้ทันเวลา 2 ทุ่ม ระหว่างที่ลนลานจะรีบเดินทางให้ทันตามนัดของพยาบาล งานก็ยังกระหน่ำเข้ามาทางโทรศัพท์ไม่เลิกรา ในใจเริ่มลังเลว่าเราตัดสินใจถูกไหม หรือควรปล่อยอีก 6 เดือนค่อยมาดูอีกที ทำไมต้องเจ็บตัวด้วย แล้วถ้าค่ารักษาบังเอิญเกิดเกินวงเงินคุ้มครองไปมากนี่จะทำไง หาเรื่องให้ตัวเองเกินเหตุไปไหม
แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้ว จึงเดินหน้าต่อไป บอกตัวเองว่าทุกอย่างลงตัวแล้ว ดีกว่ารอให้ทรุดแล้วค่อยรักษา ดิฉันทานมื้อเย็นคนเดียวอย่างเงียบเหงาเสร็จก็รีบอาบน้ำแต่งตัว ชาร์จแบตและเตรียมของส่วนตัวเล็กน้อยพวกสายชาร์จ กระเป๋าเงินไปให้พร้อม พร้อมทั้งทิ้งข้อความบอกน้องสาว แม่ และเพื่อนสนิทไว้ จากนั้นก็บึ่งนั่งซ้อนวินมอเตอรไซด์ไปโรงพยาบาลคนเดียว
ประสบการณ์ครั้งแรกในห้องผ่าตัด
แต่สองปีหลังมานี้ ตัวดิฉันเองทำงานค่อนข้างหนัก มีความกดดันสูง ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง และเมื่อปีที่แล้วก็ตรวจพบเนื้องอกในโพรงมดลูก และถุงน้ำแบบเลือด หรือที่เรียกกันว่าชอคโกแลตชีสต์ที่ปีกมดลูกข้างซ้าย หลังจากพบว่าตัวเองมีอาการปวดท้องน้อยมาได้ระยะหนึ่ง
หลังจากได้ติดตามอาการมาประมาณ 1 ปี ขนาดของเนื้องอกและ cyst ไม่เปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่นัก แต่พบว่าอาการปวดทวีความรุนแรงขึ้นพร้อมด้วยมีปริมาณเลือดประจำเดือนมากกว่าเดิมและเป็นลิ่มเลือดเสียส่วนใหญ่ ในหลายๆครั้งที่มีอาการปวด จะมือเท้าเย็น ปากชา หมดเรี่ยวแรง เดินตัวงอ ในบางครั้งก็ปวดจนนอนหลับไป และต้องกินยาทุกๆ 6 ชม. และเมื่อเดือนล่าสุดที่พบอาการปวดตนเองไม่บรรเทาลง จึงตัดใจผ่าออกตามคำแนะนำของแพทย์ ที่ให้ความเห็นว่า การรักษามี 2 ทาง คือตามดูอาการ ตรวจขนาดๆ ทุกๆ 3 หรือ 6 เดือน รักษาตามอาการด้วยยาแก้ปวด และให้สังเกตุว่ามีปริมาณเลือดออกมากเกินหรือไม่ ซึ่งก้อนเนื้องอกโดยปกติถ้าไม่ใช่เนื้อร้ายจะสามารถฝ่อลงไปเองได้ เมื่อฮอร์โมนลดน้อยลง หรือแปลได้ว่าย่างเข้าวัยหมดประจำเดือน และวิธีที่สองคือเอาออกเสีย ด้วยวิธีส่องกล้อง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนไข้โชคดีที่ดิฉันมีประกันสุขภาพซึ่งครอบคลุมการการรักษาผ่าตัดด้วย ดิฉันเลยตัดสินใจเอาออก
ในบ่ายวันอังคาร ดิฉันลาไปพบแพทย์หลังจากมีการเลื่อนนัดกันหลายครั้ง และได้มีการตกลงกับหมอเจ้าของไข้ถึงการตัดสินใจผ่า หมอจึงถามว่าสะดวกเมื่อไหร่ ด้วยดิฉันเองมีงานประจำซึ่งค่อนข้างยุ่งมากหาเวลาลงตัวค่อนข้างยาก ช่วงเวลาสิ้นปีถือเป็นเวลาที่สะดวกที่สุดแล้ว จึงตอบไปว่าพร้อมเลย หมอเลยบอกงั้นพรุ่งนี้เลยเป็นไง .....ให้ตายเถอะ มันเร็วมาก นึกว่าจะวันเสาร์ มันเร็วกว่าที่คิด
หลังจากนั้นหมอให้ไปคุยกับพยาบาลเรื่องขั้นตอน ดิฉันเลยติดต่อบอกน้องสาวและเจ้านาย ว่าจะขอลาไปผ่าตัดตามที่เคยคุยไว้ก่อนหน้านี้
พยาบาลขอตรวจร่างกายและเลือดเพิ่มเพื่อดูผลเอดส์ ค่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอ็กซ์เลย์ปอด ปัสสาวะ ดิฉันจึงแจ้งไปว่าเพิ่งตรวจสุขภาพมาเมื่อกลางเดือน พ.ย. จึงขอใช้ผลนั้นยื่นแทน เมื่อเจรจาตกลงกันเรียบร้อย ดิฉันต้องไปจองห้อง และจ่ายค่าปรึกษา และที่สำคัญกว่านั้นคือพยาบาลแจ้งว่า ต้องงดน้ำงดอาหาร 6 ชม. ก่อนผ่า ซึ่งการผ่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ ถ้าเข้า Admit วันรุ่งขึ้นตอนตี 5 ก็จะฉุกละหุกเกินไป จึงขอให้ Admit ก่อนเลย คืนนี้ 2 ทุ่มพร้อมกับผลการตรวจร่างกาย
เร็วกว่าที่คาดหมาย กว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลก็เกือบ 4 โมงเย็น ดิฉันวิ่งกลับไปหาผลการตรวจร่างกายและกลับมาให้ทันเวลา 2 ทุ่ม ระหว่างที่ลนลานจะรีบเดินทางให้ทันตามนัดของพยาบาล งานก็ยังกระหน่ำเข้ามาทางโทรศัพท์ไม่เลิกรา ในใจเริ่มลังเลว่าเราตัดสินใจถูกไหม หรือควรปล่อยอีก 6 เดือนค่อยมาดูอีกที ทำไมต้องเจ็บตัวด้วย แล้วถ้าค่ารักษาบังเอิญเกิดเกินวงเงินคุ้มครองไปมากนี่จะทำไง หาเรื่องให้ตัวเองเกินเหตุไปไหม
แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้ว จึงเดินหน้าต่อไป บอกตัวเองว่าทุกอย่างลงตัวแล้ว ดีกว่ารอให้ทรุดแล้วค่อยรักษา ดิฉันทานมื้อเย็นคนเดียวอย่างเงียบเหงาเสร็จก็รีบอาบน้ำแต่งตัว ชาร์จแบตและเตรียมของส่วนตัวเล็กน้อยพวกสายชาร์จ กระเป๋าเงินไปให้พร้อม พร้อมทั้งทิ้งข้อความบอกน้องสาว แม่ และเพื่อนสนิทไว้ จากนั้นก็บึ่งนั่งซ้อนวินมอเตอรไซด์ไปโรงพยาบาลคนเดียว