ดอยม่อนจอง
ได้ยินชื่อมานานและอ่านมาหลายรีวิวแล้วเหมือนกัน
โห น่าไปดีเนอะ ภูเขาที่มีทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง
แต่ก็นั่นแหละ ได้แต่คิดว่าอยากไปๆ แต่ก็ยังไม่ได้ไปสักที
จนมาปีนี้ก็บ่นเปรยๆ กับคนโน่นทีคนนี้ทีตามประสาแหละว่าอยากไปม่อนจอง
แต่บทจะได้ไปก็ได้ไปเฉยเลย ก่อนเดินทางสักสองวันน้องที่รู้จักกันบอกว่าเพื่อนจะไป
โอ้โห ตาโตเลย รีบตอบตกลงทันทีแบบไม่มีลังเลเลยสักนิด ไปก็ไปสิ๊
โธ่ววววว ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย หึหึ ทริปนี้เตรียมตัวน้อยมาก
พร้อมแล้วก็ไปกันเลย...
ทริปนี้คงไม่ได้อธิบายรายละเอียดของการเดินทางและค่าใช้จ่าย
เพราะหลายๆกระทู้มีครบอยู่แล้ว
ส่วนกระทู้นี้มาบอกเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางก็แล้วกันเนอะ
เราเดินทางด้วยรถส่วนตัวจากเชียงใหม่ไปอำเภออมก๋อย เพราะนัดกันที่นั่น
แต่... อย่าคิดว่าไปถึงที่นั่นแล้วจะได้เดินเลยเนอะ
เพราะเราต้องนั่งรถจากตัวอำเภอไปที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์อมก๋อย หน่วยมูเซออีกเกือบชั่วโมง
ยั๊ง ยัง ยังไม่ได้เริ่มเดิน
จากจุดนี้ตามภาพ เราก็จะต้องมาลงชื่อก่อน
ใครใคร่เช่าเต้นท์หรือถุงนอนก็จัดกันไป หรืออยากใช้บริการคุณพี่ลูกหาบ
เพื่อที่จะได้เดินตัวปลิวขึ้นดอยสบายๆก็เชิญเลย
หลังจากจุดนี้เรายังต้องนั่งโฟลวิลบุกป่าฝ่าดง ลุยดินแดงกันไปอีกเกือบชั่วโมงเพื่อไปที่จุดเริ่มเดิน
สรุปทริปนี้นั่งรถนานสุด เกือบ 5 ชั่วโมงกว่าจะได้เริ่มเดิน
เอ้า เริ่มเดินละนะ...
ตอนแรกก็ออกตัวแรงละ ไปเป็นคนแรกๆเลย
สักพัก เอ๊ะ เริ่มโดนแซงไปทีละคนสองคน
รู้ตัวอีกทีปิดท้ายเลยนี่หว่าเรา
แหม่ เป็นรองหัวหน้าลูกเสือสำรองก็ได้เนอะ
เดินไปสักพัก ชักเหนื่อยแฮะ ขอพักแป๊บ
แค่เดินขึ้นๆลงๆเขาว่าเหนื่อยแล้ว
การแบกกระเป๋าเกือบ 6 กิโลไปด้วยตลอดทางยิ่งเหนื่อยเข้าไปอีก
เดินขึ้นเขาด้วยความเร็วเต่าเลยค่ะคุณผู้ชม หน่วงไปอีก
เดินไปก็ให้กำลังใจตัวเองสุดพลัง
ระหว่างที่เดินนี่ก็ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ฮาาาา
มีแต่เดินกับเดินเท่านั้น
เจอภูเขาลูกแล้วลูกเล่าก็ยังไม่เห็นวี่แววของจุดหมายปลายทาง
ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป มองแค่ทางที่ต้องก้าวไปข้างหน้าก็พอ
แล้วก็มาถึงเนินวัดใจและวัดกำลังกาย
“เนินหมาหอบ” ที่เราต้องหอบก่อนหมา
โอ้โห ชันไปอีก ตอนนี้แหละรั้งท้ายของทีมเลย (จริงๆก็รั้งท้ายมาตลอดเส้นทาง)
ตอนนี้มองไปข้างหน้าไม่เจอใครแล้ว
เหลือแค่เราที่ค่อยๆเดินจนแทบจะคลานขึ้นเนินหมาหอบ
ตอนนั้นคือเหนื่อยมาก เหนื่อยสุดพลัง
กระเป๋าก็หนักมากจนอยากจะปลดออกจากหลังแล้วทิ้งไว้กลางทาง
เกือบห้าโมงเย็นแล้ว ลมเริ่มแรง หมอกเริ่มมา คงต้องรีบเดิน
อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะพ้นจากเนินหมาหอบ
แล้วก็จะไปถึงที่จุดกางเต้นท์ ฮึบๆ
เย้ พ้นเนินหมาหอบมาแล้ว
มาถึงเป็นคนสุดท้ายของกลุ่มและของวันนี้ด้วย
วิวสวยน่าชื่นใจ ภูเขาฝั่งนี้สีเหลืองทอง ภูเขาฝั่งโน้นสีเขียว
ในที่สุดเราก็เดินทางมาจนถึงจุดกางเต้นท์ซะที
มีลูกหาบบางคนตบมือให้ด้วย แอบดีใจเบาๆ
ปลดกระเป๋าลงจากหลัง นั่งกองลงไปกับพื้น เป็นอะไรที่โล่งสุดๆละ
พี่ๆน้องๆลูกหาบทั้งหลาย กำลังก่อกองไฟและเตรียมทำอาหารเย็นกัน
ยอมใจลูกหาบทั้งหญิงและชาย
แข็งแรงกันมาก ทั้งแบกของหนักและเดินเร็ว
ด้วยเวลาที่จำกันและสภาพขาที่ไม่เอื้ออำนวยให้เดินไกลๆแล้ว
เย็นนี้เลยไม่ได้ไปผาหัวสิงห์
เลยไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่สนามกอล์ฟช้างแทน ใกล้ๆกับจุดกางเต้นท์
ปวดเมื่อยฝุดๆ
เรามาไกลเท่านี้ก็ดีเหลือเกิน...
ตอนนี้คือดีที่สุด วิวสวย อากาศดี แต่ลมแรงไปนิด
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลับแนวเขาไปเรื่อยๆ
ความหนาวเริ่มแทรกซึมทุกหนแห่ง
กลับมาที่จุดกางเต้นท์
ทุกคนนั่งล้อมรอบกองไฟทั้งนักท่องเที่ยวและลูกหาบ
เราพูดคุยกันท่ามกลางหยดน้ำค้าง ลมหนาว และไออุ่นจากกองไฟ
มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ เพราะเราไม่สามารถพบเจอบรรยากาศแบบนี้ได้บ่อยในชีวิตประจำวัน
แน่นอนว่าเราเป็นคนแปลกหน้าที่มาร่วมวงพูดคุยกัน หัวเราะร่วมกัน
เรื่องเล่าจากคนที่เดินช้า l ทริป ดอย “ม่อนจอง” ไปลองถึงจะรู้
ได้ยินชื่อมานานและอ่านมาหลายรีวิวแล้วเหมือนกัน
โห น่าไปดีเนอะ ภูเขาที่มีทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง
แต่ก็นั่นแหละ ได้แต่คิดว่าอยากไปๆ แต่ก็ยังไม่ได้ไปสักที
จนมาปีนี้ก็บ่นเปรยๆ กับคนโน่นทีคนนี้ทีตามประสาแหละว่าอยากไปม่อนจอง
แต่บทจะได้ไปก็ได้ไปเฉยเลย ก่อนเดินทางสักสองวันน้องที่รู้จักกันบอกว่าเพื่อนจะไป
โอ้โห ตาโตเลย รีบตอบตกลงทันทีแบบไม่มีลังเลเลยสักนิด ไปก็ไปสิ๊
โธ่ววววว ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย หึหึ ทริปนี้เตรียมตัวน้อยมาก
พร้อมแล้วก็ไปกันเลย...
เพราะหลายๆกระทู้มีครบอยู่แล้ว
ส่วนกระทู้นี้มาบอกเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางก็แล้วกันเนอะ
เราเดินทางด้วยรถส่วนตัวจากเชียงใหม่ไปอำเภออมก๋อย เพราะนัดกันที่นั่น
แต่... อย่าคิดว่าไปถึงที่นั่นแล้วจะได้เดินเลยเนอะ
เพราะเราต้องนั่งรถจากตัวอำเภอไปที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์อมก๋อย หน่วยมูเซออีกเกือบชั่วโมง
ยั๊ง ยัง ยังไม่ได้เริ่มเดิน
จากจุดนี้ตามภาพ เราก็จะต้องมาลงชื่อก่อน
ใครใคร่เช่าเต้นท์หรือถุงนอนก็จัดกันไป หรืออยากใช้บริการคุณพี่ลูกหาบ
เพื่อที่จะได้เดินตัวปลิวขึ้นดอยสบายๆก็เชิญเลย
หลังจากจุดนี้เรายังต้องนั่งโฟลวิลบุกป่าฝ่าดง ลุยดินแดงกันไปอีกเกือบชั่วโมงเพื่อไปที่จุดเริ่มเดิน
สรุปทริปนี้นั่งรถนานสุด เกือบ 5 ชั่วโมงกว่าจะได้เริ่มเดิน
ตอนแรกก็ออกตัวแรงละ ไปเป็นคนแรกๆเลย
สักพัก เอ๊ะ เริ่มโดนแซงไปทีละคนสองคน
รู้ตัวอีกทีปิดท้ายเลยนี่หว่าเรา
แหม่ เป็นรองหัวหน้าลูกเสือสำรองก็ได้เนอะ
แค่เดินขึ้นๆลงๆเขาว่าเหนื่อยแล้ว
การแบกกระเป๋าเกือบ 6 กิโลไปด้วยตลอดทางยิ่งเหนื่อยเข้าไปอีก
เดินขึ้นเขาด้วยความเร็วเต่าเลยค่ะคุณผู้ชม หน่วงไปอีก
เดินไปก็ให้กำลังใจตัวเองสุดพลัง
ระหว่างที่เดินนี่ก็ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ฮาาาา
เจอภูเขาลูกแล้วลูกเล่าก็ยังไม่เห็นวี่แววของจุดหมายปลายทาง
ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป มองแค่ทางที่ต้องก้าวไปข้างหน้าก็พอ
แล้วก็มาถึงเนินวัดใจและวัดกำลังกาย
“เนินหมาหอบ” ที่เราต้องหอบก่อนหมา
โอ้โห ชันไปอีก ตอนนี้แหละรั้งท้ายของทีมเลย (จริงๆก็รั้งท้ายมาตลอดเส้นทาง)
เหลือแค่เราที่ค่อยๆเดินจนแทบจะคลานขึ้นเนินหมาหอบ
ตอนนั้นคือเหนื่อยมาก เหนื่อยสุดพลัง
กระเป๋าก็หนักมากจนอยากจะปลดออกจากหลังแล้วทิ้งไว้กลางทาง
เกือบห้าโมงเย็นแล้ว ลมเริ่มแรง หมอกเริ่มมา คงต้องรีบเดิน
แล้วก็จะไปถึงที่จุดกางเต้นท์ ฮึบๆ
มาถึงเป็นคนสุดท้ายของกลุ่มและของวันนี้ด้วย
วิวสวยน่าชื่นใจ ภูเขาฝั่งนี้สีเหลืองทอง ภูเขาฝั่งโน้นสีเขียว
มีลูกหาบบางคนตบมือให้ด้วย แอบดีใจเบาๆ
ปลดกระเป๋าลงจากหลัง นั่งกองลงไปกับพื้น เป็นอะไรที่โล่งสุดๆละ
ยอมใจลูกหาบทั้งหญิงและชาย
แข็งแรงกันมาก ทั้งแบกของหนักและเดินเร็ว
เย็นนี้เลยไม่ได้ไปผาหัวสิงห์
เลยไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่สนามกอล์ฟช้างแทน ใกล้ๆกับจุดกางเต้นท์
ตอนนี้คือดีที่สุด วิวสวย อากาศดี แต่ลมแรงไปนิด
ความหนาวเริ่มแทรกซึมทุกหนแห่ง
ทุกคนนั่งล้อมรอบกองไฟทั้งนักท่องเที่ยวและลูกหาบ
เราพูดคุยกันท่ามกลางหยดน้ำค้าง ลมหนาว และไออุ่นจากกองไฟ
มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ เพราะเราไม่สามารถพบเจอบรรยากาศแบบนี้ได้บ่อยในชีวิตประจำวัน
แน่นอนว่าเราเป็นคนแปลกหน้าที่มาร่วมวงพูดคุยกัน หัวเราะร่วมกัน