อสทิสทาน ถ้ามาทำในสมัยนี้จะได้คำชมหรือโดนด่า?

สมัยหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลได้อาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมกับพระภิกษุ ๕๐๐ รูปเพื่อเสวยภัตตาหารซึ่งได้จัดเตรียมอย่างปราณีต
พร้อมกับได้เชิญชาวเมืองมาชมมหาทานของตน

ชาวเมืองเมื่อได้เห็นทานอันปราณีตของพระราชาแล้วก็มีกุศลจะทำอย่างพระราชาบ้าง
จึงได้ช่วยกันจัดทานอันปราณีตถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุตามเสด็จอย่างปราณีตยิ่งกว่าของพระราชา

พระเจ้าปเสนทิกลับมาที่วังถึงกับนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกว่าทำบุญแพ้ชาวเมือง
เรื่องนี้รู้ถึงหูนางมัลลิกา นางจึงได้ขันอาสาจัดการแก้มือให้

นางมัลลิกาได้จัดให้ทำมณฑป สำหรับพระ ๕๐๐ รูป
ภิกษุที่เกินจำนวน 500 ให้ทำเศวตฉัตร 500 คัน ช้าง 500 เชือก สำหรับถือเศวตฉัตร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เรียกว่า จัดเต็ม อลังการงานสร้าง

ทั้งหมดใช้งบไป ๑๔ โกฏิ (ประมาณ๑๔๐ล้าน)

ทีนี้มีอำมาตย์อยู่ ๒ คน คนหนึ่งชื่อ กาฬะ มีความเห็นว่า สิ้นเปลือง ไม่คุ้มเลย
แต่อำมาตย์อีกคนชื่อ ชุณห เห็นด้วยและอนุโมทนาในมหาทานครั้งนี้

เมื่อถึงเวลาที่พุทธองค์และพระภิกษุได้ฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อย พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของ กาฬะอำมาตย์ จึงสงเคราะห์ด้วยการกล่าวอนุโมนาแด่พระราชาเพียงสั้น ๆ เพราะไม่อยากให้กาฬะอำมาตย์ศรีษะต้องแตกเป็น ๗ เสี่ยง เพราะยิ่งฟังอาจจะยิ่งลมขึ้น

แต่สำหรับพระราชากลับนึกว่าทานครั้งนี้ต้องมีอะไรผิดพลาดไปแน่ ๆ พระพุทธองค์จึงตรัสอนุโมทนาสั้นมาก
อดรนทนไม่ไหวต้องไปทูลถามให้แน่ชัด
พระพุทธองค์จึงได้บอกความจริง และได้กล่าวว่า

“พระองค์ถวายทานอันสมควรแล้วทีเดียว ก็ทานนั่น ชื่อว่า อสทิสทาน ใครๆ อาจเพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ครั้งเดียวเท่านั้น ธรรมดาทานเห็นปานนี้ เป็นของยากที่บุคคลจะถวายอีก”


จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาว่า


ภายหลังเหตุการณ์ กาฬะอำมาตย์ถูกเนรเทศ
                         ชุณหอำมาตย์ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

เรื่องอสทิสทาน อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โลกวรรคที่ ๑๓

สมัยนี้ผู้ที่มีจิตศรัทธาถวายทานครั้งละเป็นจำนวนมาก ใกล้เคียงกับ อสทิสทาน ยังมีอยู่ไม่น้อย
จากเรื่องตัวอย่างที่นำมาข้างต้น ทำให้ได้ข้อคิดว่า แม้เราเองอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำทานอย่างนี้
เมื่อทราบข่าวก็ควรที่จะตั้งจิตอนุโมทนา จึงจะถือว่าเป็นผู้ฉลาด แม้ไม่ใช่ทรัพย์ของตัวเองก็ได้มีส่วนแห่งบุญนั้น
                         
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 21
คิดว่า โดนตำหนิแน่ เช่นตำหนิทำอะไรเกินตัว ทำอะไรพอดีๆ ทำบุญแบบไม่ต้องเสียเงินก็ได้ จริงๆ บางครั้งก็ได้ยินคำพูดแบบนี้ก็ขัดใจเหมือนกัน ทำไมหรือ มันเป็นเพราะเราควรทำบุญหมดทุกอย่าง ทั้งใช้ทรัพย์ ใช้สติปัญญาหรือแรงกาย ที่เรียกว่า บุญกิริยา10 ประการไม่ใช่เน้นทำแบบไม่ต้องใช้ปัจจัย เพราะกฏแห่งกรรมทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ทำด้วยทรัพย์ก็ทำให้มีทรัพย์รวยมาก ทำด้วยแรงก็จะมีคนคอยช่วยเหลือตลอดเวลา ทำด้วยสติปัญญาก็จะมีความฉลาดในการหาทรัพย์และแก้ปัญหา ถ้าอยากได้บุญแบบครบถ้วนก็ต้องทำแบบทุกอย่าง แล้วทำบุญแบบไหนก็ได้แบบนั้น ทำแบบขอไปทีตัดรำคาญ ก็ได้บุญน้อย ทำบุญประนีตก็ได้ของประนีต ทำบุญด้วยของที่เลิศ ก็ย่อมได้ของที่เลิศ ทำบุญแบบอสทิสทาน ซึ่งเป็นบุญที่เลิศประนีตและยาก ก็ย่อมได้ผลบุญเป็นแบบเลิศ ประนีต และได้ผลบุญแบบไม่มีใครเหมือน พระพุทธเจ้าสอนทั้งคนที่ต้องการหลุดพ้น(โลกุตระ)ก็ให้บวชหาทางไปนิพพาน สอนคนที่ยังทำมาหากินอยู่(โลกียะ)เช่นเราให้ทำทานรักษาศีล
เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งโลกนี้และโลกหน้าเช่นมีทรัพย์ สุขภาพแข็งแรง อีกอย่างหนึ่งในสังคมมักจะกล่าวกันว่าทำบุญแล้วรวยมันผิด แล้วคิดดีๆนะว่าความรวยมันก็เป็นความต้องการทั่วไปของชาวโลกไม่ใช่หรือ เห็นแทงหวยกันทั้งเมือง อันไหนมันมีกิเลสมากกว่ากันระหว่างแทงหวยหวังรวยทางลัด(ก็ไม่ได้ว่าผิด) กับการประกอบเหตุทำทานแล้วขอให้มีทรัพย์ต่อไปภายภาคหน้าซึ่งพระพุทธก็สอนตรัสไว้? ทำไมรังเกียจความรวยจัง ระวังห้ามคนอื่นและต่อต้านคนทำทาน ทรัพย์ที่มีจะหดหายได้นะซิบอกไห้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
การได้ทำบุญและอนุโมทนาบุญเป็นสิ่งประเสริฐ
การด่าทอว่าร้ายก็เป็นความชั่วที่ทำมาตั้งแต่ยุคพุทธกาล
คู่กันมาเป็นปาท่องโก๋
ไม่มีอะไรใหม่ในโลกใบนี้
เหลือแต่เราที่จะเลือกว่าจะเอาบุญหรือบาปไป

หากมีโอกาสได้ทำบุญที่เป็นอสทิสทานก็จะไม่ลังเล
แม้ทราบข่าวก็จะร่วมอนุโมทนาบุญค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่