แล้วเราจะจัดเองตามที่ท่านต้องใช้จริงใส่ในภาชนะอื่น ได้ไหม มีคำตอบครับ พระท่านมาตอบให้แล้ว (ยาวหน่อย เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องครับ)
ขอบคุณที่มา :
https://www.facebook.com/JohannesburgMeditation?mibextid=ZbWKwL
☀️การถวายสังฆทานนั้น โดยทั่วไปมักคิดว่าคือการนำถังสีเหลือง ๆ มาใส่จตุปัจจัยแล้วนำไปถวายแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งหรือหลายรูปเท่านั้น
แต่ความจริงแล้ว “สังฆทาน” มาจากภาษาบาลีคือคำว่า "สงฺฆทาน" มีอยู่ในพระไตรปิฎก เป็นชื่อเรียกการถวายทานแด่พระสงฆ์อย่างหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีอานิสงส์มาก ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน “ทักขิณาวิภังคสูตร” ว่าการถวายสังฆทานแด่คณะภิกษุสงฆ์ โดยไม่เฉพาะเจาะจง มีอานิสงส์มากกว่าการถวายทานเฉพาะเจาะจงแด่พระภิกษุรูปหนึ่งรูปใดหรือถวายแด่พระพุทธเจ้า แม้ในสมัยที่ยังทรงพระชนม์อยู่
ทานพิธีที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นแต่มีคุณลักษณะเป็นสังฆทาน ก็จัดว่าเป็นสังฆทานได้ เช่น การตักบาตร, การถวายผ้ากฐิน, การถวายผ้าป่า เป็นต้น
☀️ความหมายและลักษณะของสังฆทาน☀️
การถวายสังฆทาน หมายถึง การถวายสิ่งของจตุปัจจัยวัตถุแด่พระสงฆ์ โดยไม่เลือกถวายเฉพาะเจาะจงแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง กล่าวคือ ถวายเข้าเป็นกองกลางแด่คณะสงฆ์ภายในวัด เพื่อคณะสงฆ์ดำเนินการจัดสรรกันแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ต้องการตามความเหมาะสมต่อไป
หรือถวายแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง โดย "ไม่เลือก" ว่าจำเพาะถวายรูปนั้นรูปนี้ เช่น เป็นพระผู้ทรงพรรษา, พระรูปที่เรารู้จัก หรือพระรูปที่ตนศรัทธา ที่เป็นตัวแทนแห่งสงฆ์ (ได้รับเผดียงสงฆ์) หรือถวายโดยมีเจตนาเพื่อบำรุงพระสงฆ์สามเณรโดยไม่เลือกผู้รับ ก็นับเป็นสังฆทานเช่นกัน เช่นการตักบาตรโดยไม่เลือกพระผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือสามเณรก็ตาม
ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า การจะเป็นสังฆทานหรือไม่นั้น มีหลักสำคัญอยู่ที่การถวายสิ่งของเพื่อบำรุงสังฆบริษัท หรือส่วนรวมของหมู่คณะของสงฆ์ โดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อความเหมาะสมด้านการบริหารปัจจัย 4 ของพระสงฆ์ในการบำเพ็ญสมณธรรมนั่นเอง
มีข้อควรพิจารณาประการหนึ่งว่า ในพระวินัยถือว่า ภิกษุสงฆ์ 4 รูปขึ้นไปนับเป็นองค์สงฆ์ แต่เมื่อพิจารณาจากเจตนาของพระพุทธเจ้าในทักขิณาวิภังคสูตรแล้ว หากแม้จะเป็นพระภิกษุถึง 4 รูป แต่เป็นพระที่ผู้ถวายเจาะจงระบุชื่อบุคคลมา ก็หานับว่าเป็นสังฆทานไม่ คงนับเป็นปาฏิบุคลิกทาน คือทานที่ระบุพระภิกษุผู้รับถวายทาน
☀️จุดเริ่มต้นในการทำสังฆทาน☀️
เหตุที่ทำให้พุทธศาสนิกชนนิยมทำบุญด้วยการถวายสังฆทาน มาจาก "ทักขิณาวิภังคสูตร" ซึ่งมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสังฆทานว่า
สมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชมน์อยู่ ขณะทรงประทับอยู่ ณ วัดนิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระน้านางของพระพุทธเจ้า มีศรัทธาแรงกล้าได้ทอผ้าจีวรด้วยพระองค์เองอย่างประณีตเพื่อนำมาถวายแด่พระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์ทรงได้ปฏิเสธที่จะรับถวายผ้าจีวรดังกล่าว โดยได้ตรัสให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีนำผ้าดังกล่าวไปถวายแด่กองกลางคณะสงฆ์ เพราะทรงเห็นว่าการถวายผ้าเป็นสังฆทานจะได้อานิสงส์มากกว่า เพราะการถวายแด่พระพุทธเจ้า หรือพระภิกษุหรือบุคคลทั่วไป ทรงจัดเป็นปาฏิบุคลิกทาน อีกทั้งการถวายเป็นสังฆทานนั้นย่อมถือว่าเป็นการบูชาพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นประมุขแห่งพระสงฆ์ทั้งปวงด้วย
☀️จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสถึงปาฏิบุคลิกทาน (ถวายเฉพาะเจาะจง) มีการถวายทานแด่พระพุทธเจ้าเป็นต้น
การให้ทานที่นับเป็นการทำบุญปาฏิบุคลิกทานสามารถแบ่งเป็น 14 อย่าง ดังนึ้
1.ให้ทานในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
2.ให้ทานในพระปัจเจกพุทธเจ้า
3.ให้ทานในผู้เป็นพระอรหันต์
4.ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง
5.ให้ทานแก่พระอนาคามี
6.ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง
7.ให้ทานแก่พระสกทาคามี
8.ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง
9.ให้ทานในพระโสดาบัน
10.ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง
11.ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม
12.ให้ทานในบุคคลผู้มีศีล
13.ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล
14.ให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน
☀️การให้ทานทั้ง 14 ประการนี้ มีอานิสงส์แตกต่างกันดังนี้
1.บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า
2.ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลทักษิณา ได้พันเท่า
3.ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า
4.ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า
5.ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลทักษิณาจนนับไม่ได้ จนประมาณไม่ได้
จะป่วยกล่าวไปไยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง ในพระสกทาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง ในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง ในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ในพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า และในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
☀️พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงทักษิณาทานที่ถวายแด่พระสงฆ์ (สังฆทาน) ว่ามี 7 ประการ คือ
1.ให้ทานในสงฆ์ 2 ฝ่าย (ทั้งฝ่ายภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
2.ให้ทานในสงฆ์ 2 ฝ่าย ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
3.ให้ทานในภิกษุสงฆ์ ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
4.ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้ ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้ว
5.ให้ทานโดยให้คณะสงฆ์เป็นผู้เลือกพระภิกษุและพระภิกษุณีที่จะรับถวายทานเอง เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้ว
6.ให้ทานเผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้ว
7.ให้ทานโดยได้ตรัสว่า แม้ในอนาคตกาล การถวายสังฆทานแม้แก่พระสงฆ์ผู้ทุศีล ก็ยังนับว่ามีผลนับประมาณมิได้ และปาฏิปุคลิกทานทั้งปวงในบุคคลใด ๆ มีพระพุทธเจ้าเป็นอาทิ ก็ไม่สามารถมีอานิสงส์ผลบุญสู้สังฆทาน 1 ใน 7 ประการดังกล่าวได้เลย
จากพระพุทธดำรัสดังกล่าว ทำให้พุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธานิยมทำบุญด้วยการถวายสังฆทานเพราะมีอานิสงส์มาก
อีกประการหนึ่งการที่สังฆทานมีอานิสงส์มากกว่าปาฏิบุคลิกทานธรรมดาเพราะการที่จัดถวายทานเป็นส่วนรวม (คณะสงฆ์) ย่อมมีประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนามากกว่า เพราะการถวายสังฆทานเป็นการกระจายวัตถุทานอันจะพึงได้แด่คณะสงฆ์ทั้งปวงโดยไม่จำกัดหรือเลือกปฏิบัติแก่รูปใดรูปหนึ่ง
☀️ดังนั้น การที่พระพุทธองค์ตรัสยกย่องสังฆทานจึงนับได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงการไม่เลือกปฏิบัติทางด้านบุคคล ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เพื่อเป็นประโยชน์ผาสุกโดยความเหมาะสมและความเป็นธรรมทางด้านปัจจัย 4 แก่พระสงฆ์ทั้งปวง ผู้เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน
☀️ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสังฆทานในปัจจุบัน☀️
ในปัจจุบันมักเรียกกันอย่างเข้าใจผิดว่าการถวายสังฆทานคือการถวายสิ่งของโดยใส่ถังหรือบรรจุภัณฑ์สีเหลืองและผู้ทำทานไม่ได้พิจารณาถึงประเภทและคุณภาพของวัตถุทานที่เหมาะสมต่อสมณบริโภคและการใช้สอยเท่าที่ควร คิดเพียงหาสิ่งของมาถวายพระสงฆ์โดยสิ่งของนั้นจะเป็นสิ่งของชนิดใดก็ได้
ดังนั้น การทำบุญให้เป็นสังฆทานที่มีคุณภาพโดยแท้จริงควรคัดสรรนำไปถวายโดยพิจารณาจากความต้องการและประโยชน์ของพระสงฆ์ ในด้านปัจจัย 4,เพื่อเกื้อหนุนการบำเพ็ญสมณธรรมและการเผยแผ่ธรรมของคณะพระภิกษุสงฆ์มากกว่าประโยชน์คือความสะดวกของผู้ถวาย ดังที่มีผู้แนะนำการถวายสังฆทานว่าควรประกอบไปด้วย
1.ปุพพเจตนา หรือ มีความตั้งใจในการทำบุญโดยการเลือกซื้อสิ่งของที่เป็นประโยชน์แท้จริงแด่พระสงฆ์ เช่น สังฆทานมีแต่สิ่งของมีคุณภาพ หรือสิ่งของที่พระสงฆ์ต้องการ
2.มุญฺจเจตนา คืออาการที่ถวายเป็นสังฆทานถูกต้อง เช่น ถวายเข้ากองกลางของวัด หรือถวายแก่ตัวแทนของพระสงฆ์เพื่อนำสิ่งของไปแจกจ่าย หรือเผดียงสงฆ์ไม่เลือกระบุพระสงฆ์ผู้รับ โดยการถวายดังกล่าวควรทำเจตนาในการถวายให้มุ่งตรงต่อหมู่สงฆ์ ไม่ใช่ถวายส่วนบุคคล
3.อปราปรเจตนา เมื่อถวายแล้วก็ทำจิตใจให้ปลื้มปีติ ใจมีความสุข นึกถึงการถวายสังฆทานดังกล่าวเมื่อใดก็มีความยินดีไม่เกิดความเสียดาย
☀️พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญอันเยี่ยม เป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ไพศาล เหมือนทะเลที่ยากจะคาดคะเนที่จะคำนวณปริมาณน้ำได้ พระสงฆ์เป็นผู้ประเสริฐ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์เป็นผู้นำแสงสว่างแห่งพระสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศแล้วมาชี้แจงแสดงธรรม ใครก็ตามที่ได้ถวายทานแด่หมู่สงฆ์ชื่อว่าเป็นทานที่ถวายดีแล้วและบูชาโดยชอบแล้ว ทานนั้นจัดเป็นสังฆทานที่มีผลมากมาย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับหมู่คณะส่วนรวมมากกว่าส่วนบุคคล หากมองในระยะยาว ถ้าปรารถนาให้พระศาสนามั่นคงเป็นที่พึ่งของมวลมนุษยชาติในภายหน้าแล้ว ก็ต้องอาศัยพลังขับเคลื่อนจากหมู่สงฆ์ทั้งหมดทั้งมวล มิใช่จากบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพราะการสืบทอดพระศาสนาเป็นภารกิจของศาสนทายาททุกรุ่นทุกคน
ด้วยข้อความที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมการถวายด้วยใจที่มุ่งไปในหมู่สงฆ์จึงได้ผลบุญมากกว่าการเลือกถวายรายบุคคล การเลือกถวายเจาะจงรายบุคคล แม้ว่าเป็นผู้มีคุณวิเศษมากเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่เทียบอานิสงส์แห่งการถวายทานที่มุ่งตรงต่อหมู่คณะสงฆ์ได้เลย
☀️ดังนั้น เมื่อตั้งใจจะถวายทานครั้งใด พึงถวายเป็นสังฆทานแด่คณะสงฆ์ จะบังเกิดอานิสงส์อันประเสริฐ ได้ทั้งบุญบารมีเต็มที่ ได้ทั้งประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและเกื้อกูลคนรุ่นหลังที่จะมีพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบทอดต่อไปในอนาคตกาลอีกยาวนาน.🙏
🔰ที่มา : “ทักขิณาวิภังคสูตร”
พระไตรปิฎกเล่มที่ 14 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 6
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค🔰
☀️คำว่า "สังฆทาน" เป็นแค่ถังเหลืองๆไหม ท่านขาดเหลืออะไรถามท่านได้ไหม ? ☀️
แล้วเราจะจัดเองตามที่ท่านต้องใช้จริงใส่ในภาชนะอื่น ได้ไหม มีคำตอบครับ พระท่านมาตอบให้แล้ว (ยาวหน่อย เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องครับ)
ขอบคุณที่มา : https://www.facebook.com/JohannesburgMeditation?mibextid=ZbWKwL
☀️การถวายสังฆทานนั้น โดยทั่วไปมักคิดว่าคือการนำถังสีเหลือง ๆ มาใส่จตุปัจจัยแล้วนำไปถวายแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งหรือหลายรูปเท่านั้น
แต่ความจริงแล้ว “สังฆทาน” มาจากภาษาบาลีคือคำว่า "สงฺฆทาน" มีอยู่ในพระไตรปิฎก เป็นชื่อเรียกการถวายทานแด่พระสงฆ์อย่างหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีอานิสงส์มาก ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน “ทักขิณาวิภังคสูตร” ว่าการถวายสังฆทานแด่คณะภิกษุสงฆ์ โดยไม่เฉพาะเจาะจง มีอานิสงส์มากกว่าการถวายทานเฉพาะเจาะจงแด่พระภิกษุรูปหนึ่งรูปใดหรือถวายแด่พระพุทธเจ้า แม้ในสมัยที่ยังทรงพระชนม์อยู่
ทานพิธีที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นแต่มีคุณลักษณะเป็นสังฆทาน ก็จัดว่าเป็นสังฆทานได้ เช่น การตักบาตร, การถวายผ้ากฐิน, การถวายผ้าป่า เป็นต้น
☀️ความหมายและลักษณะของสังฆทาน☀️
การถวายสังฆทาน หมายถึง การถวายสิ่งของจตุปัจจัยวัตถุแด่พระสงฆ์ โดยไม่เลือกถวายเฉพาะเจาะจงแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง กล่าวคือ ถวายเข้าเป็นกองกลางแด่คณะสงฆ์ภายในวัด เพื่อคณะสงฆ์ดำเนินการจัดสรรกันแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ต้องการตามความเหมาะสมต่อไป
หรือถวายแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง โดย "ไม่เลือก" ว่าจำเพาะถวายรูปนั้นรูปนี้ เช่น เป็นพระผู้ทรงพรรษา, พระรูปที่เรารู้จัก หรือพระรูปที่ตนศรัทธา ที่เป็นตัวแทนแห่งสงฆ์ (ได้รับเผดียงสงฆ์) หรือถวายโดยมีเจตนาเพื่อบำรุงพระสงฆ์สามเณรโดยไม่เลือกผู้รับ ก็นับเป็นสังฆทานเช่นกัน เช่นการตักบาตรโดยไม่เลือกพระผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือสามเณรก็ตาม
ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า การจะเป็นสังฆทานหรือไม่นั้น มีหลักสำคัญอยู่ที่การถวายสิ่งของเพื่อบำรุงสังฆบริษัท หรือส่วนรวมของหมู่คณะของสงฆ์ โดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อความเหมาะสมด้านการบริหารปัจจัย 4 ของพระสงฆ์ในการบำเพ็ญสมณธรรมนั่นเอง
มีข้อควรพิจารณาประการหนึ่งว่า ในพระวินัยถือว่า ภิกษุสงฆ์ 4 รูปขึ้นไปนับเป็นองค์สงฆ์ แต่เมื่อพิจารณาจากเจตนาของพระพุทธเจ้าในทักขิณาวิภังคสูตรแล้ว หากแม้จะเป็นพระภิกษุถึง 4 รูป แต่เป็นพระที่ผู้ถวายเจาะจงระบุชื่อบุคคลมา ก็หานับว่าเป็นสังฆทานไม่ คงนับเป็นปาฏิบุคลิกทาน คือทานที่ระบุพระภิกษุผู้รับถวายทาน
☀️จุดเริ่มต้นในการทำสังฆทาน☀️
เหตุที่ทำให้พุทธศาสนิกชนนิยมทำบุญด้วยการถวายสังฆทาน มาจาก "ทักขิณาวิภังคสูตร" ซึ่งมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสังฆทานว่า
สมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชมน์อยู่ ขณะทรงประทับอยู่ ณ วัดนิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระน้านางของพระพุทธเจ้า มีศรัทธาแรงกล้าได้ทอผ้าจีวรด้วยพระองค์เองอย่างประณีตเพื่อนำมาถวายแด่พระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์ทรงได้ปฏิเสธที่จะรับถวายผ้าจีวรดังกล่าว โดยได้ตรัสให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีนำผ้าดังกล่าวไปถวายแด่กองกลางคณะสงฆ์ เพราะทรงเห็นว่าการถวายผ้าเป็นสังฆทานจะได้อานิสงส์มากกว่า เพราะการถวายแด่พระพุทธเจ้า หรือพระภิกษุหรือบุคคลทั่วไป ทรงจัดเป็นปาฏิบุคลิกทาน อีกทั้งการถวายเป็นสังฆทานนั้นย่อมถือว่าเป็นการบูชาพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นประมุขแห่งพระสงฆ์ทั้งปวงด้วย
☀️จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสถึงปาฏิบุคลิกทาน (ถวายเฉพาะเจาะจง) มีการถวายทานแด่พระพุทธเจ้าเป็นต้น
การให้ทานที่นับเป็นการทำบุญปาฏิบุคลิกทานสามารถแบ่งเป็น 14 อย่าง ดังนึ้
1.ให้ทานในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
2.ให้ทานในพระปัจเจกพุทธเจ้า
3.ให้ทานในผู้เป็นพระอรหันต์
4.ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง
5.ให้ทานแก่พระอนาคามี
6.ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง
7.ให้ทานแก่พระสกทาคามี
8.ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง
9.ให้ทานในพระโสดาบัน
10.ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง
11.ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม
12.ให้ทานในบุคคลผู้มีศีล
13.ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล
14.ให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน
☀️การให้ทานทั้ง 14 ประการนี้ มีอานิสงส์แตกต่างกันดังนี้
1.บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า
2.ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลทักษิณา ได้พันเท่า
3.ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า
4.ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า
5.ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลทักษิณาจนนับไม่ได้ จนประมาณไม่ได้
จะป่วยกล่าวไปไยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง ในพระสกทาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง ในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง ในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ในพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า และในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
☀️พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงทักษิณาทานที่ถวายแด่พระสงฆ์ (สังฆทาน) ว่ามี 7 ประการ คือ
1.ให้ทานในสงฆ์ 2 ฝ่าย (ทั้งฝ่ายภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
2.ให้ทานในสงฆ์ 2 ฝ่าย ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
3.ให้ทานในภิกษุสงฆ์ ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
4.ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้ ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้ว
5.ให้ทานโดยให้คณะสงฆ์เป็นผู้เลือกพระภิกษุและพระภิกษุณีที่จะรับถวายทานเอง เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้ว
6.ให้ทานเผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้ว
7.ให้ทานโดยได้ตรัสว่า แม้ในอนาคตกาล การถวายสังฆทานแม้แก่พระสงฆ์ผู้ทุศีล ก็ยังนับว่ามีผลนับประมาณมิได้ และปาฏิปุคลิกทานทั้งปวงในบุคคลใด ๆ มีพระพุทธเจ้าเป็นอาทิ ก็ไม่สามารถมีอานิสงส์ผลบุญสู้สังฆทาน 1 ใน 7 ประการดังกล่าวได้เลย
จากพระพุทธดำรัสดังกล่าว ทำให้พุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธานิยมทำบุญด้วยการถวายสังฆทานเพราะมีอานิสงส์มาก
อีกประการหนึ่งการที่สังฆทานมีอานิสงส์มากกว่าปาฏิบุคลิกทานธรรมดาเพราะการที่จัดถวายทานเป็นส่วนรวม (คณะสงฆ์) ย่อมมีประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนามากกว่า เพราะการถวายสังฆทานเป็นการกระจายวัตถุทานอันจะพึงได้แด่คณะสงฆ์ทั้งปวงโดยไม่จำกัดหรือเลือกปฏิบัติแก่รูปใดรูปหนึ่ง
☀️ดังนั้น การที่พระพุทธองค์ตรัสยกย่องสังฆทานจึงนับได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงการไม่เลือกปฏิบัติทางด้านบุคคล ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เพื่อเป็นประโยชน์ผาสุกโดยความเหมาะสมและความเป็นธรรมทางด้านปัจจัย 4 แก่พระสงฆ์ทั้งปวง ผู้เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน
☀️ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสังฆทานในปัจจุบัน☀️
ในปัจจุบันมักเรียกกันอย่างเข้าใจผิดว่าการถวายสังฆทานคือการถวายสิ่งของโดยใส่ถังหรือบรรจุภัณฑ์สีเหลืองและผู้ทำทานไม่ได้พิจารณาถึงประเภทและคุณภาพของวัตถุทานที่เหมาะสมต่อสมณบริโภคและการใช้สอยเท่าที่ควร คิดเพียงหาสิ่งของมาถวายพระสงฆ์โดยสิ่งของนั้นจะเป็นสิ่งของชนิดใดก็ได้
ดังนั้น การทำบุญให้เป็นสังฆทานที่มีคุณภาพโดยแท้จริงควรคัดสรรนำไปถวายโดยพิจารณาจากความต้องการและประโยชน์ของพระสงฆ์ ในด้านปัจจัย 4,เพื่อเกื้อหนุนการบำเพ็ญสมณธรรมและการเผยแผ่ธรรมของคณะพระภิกษุสงฆ์มากกว่าประโยชน์คือความสะดวกของผู้ถวาย ดังที่มีผู้แนะนำการถวายสังฆทานว่าควรประกอบไปด้วย
1.ปุพพเจตนา หรือ มีความตั้งใจในการทำบุญโดยการเลือกซื้อสิ่งของที่เป็นประโยชน์แท้จริงแด่พระสงฆ์ เช่น สังฆทานมีแต่สิ่งของมีคุณภาพ หรือสิ่งของที่พระสงฆ์ต้องการ
2.มุญฺจเจตนา คืออาการที่ถวายเป็นสังฆทานถูกต้อง เช่น ถวายเข้ากองกลางของวัด หรือถวายแก่ตัวแทนของพระสงฆ์เพื่อนำสิ่งของไปแจกจ่าย หรือเผดียงสงฆ์ไม่เลือกระบุพระสงฆ์ผู้รับ โดยการถวายดังกล่าวควรทำเจตนาในการถวายให้มุ่งตรงต่อหมู่สงฆ์ ไม่ใช่ถวายส่วนบุคคล
3.อปราปรเจตนา เมื่อถวายแล้วก็ทำจิตใจให้ปลื้มปีติ ใจมีความสุข นึกถึงการถวายสังฆทานดังกล่าวเมื่อใดก็มีความยินดีไม่เกิดความเสียดาย
☀️พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญอันเยี่ยม เป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ไพศาล เหมือนทะเลที่ยากจะคาดคะเนที่จะคำนวณปริมาณน้ำได้ พระสงฆ์เป็นผู้ประเสริฐ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์เป็นผู้นำแสงสว่างแห่งพระสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศแล้วมาชี้แจงแสดงธรรม ใครก็ตามที่ได้ถวายทานแด่หมู่สงฆ์ชื่อว่าเป็นทานที่ถวายดีแล้วและบูชาโดยชอบแล้ว ทานนั้นจัดเป็นสังฆทานที่มีผลมากมาย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับหมู่คณะส่วนรวมมากกว่าส่วนบุคคล หากมองในระยะยาว ถ้าปรารถนาให้พระศาสนามั่นคงเป็นที่พึ่งของมวลมนุษยชาติในภายหน้าแล้ว ก็ต้องอาศัยพลังขับเคลื่อนจากหมู่สงฆ์ทั้งหมดทั้งมวล มิใช่จากบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพราะการสืบทอดพระศาสนาเป็นภารกิจของศาสนทายาททุกรุ่นทุกคน
ด้วยข้อความที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมการถวายด้วยใจที่มุ่งไปในหมู่สงฆ์จึงได้ผลบุญมากกว่าการเลือกถวายรายบุคคล การเลือกถวายเจาะจงรายบุคคล แม้ว่าเป็นผู้มีคุณวิเศษมากเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่เทียบอานิสงส์แห่งการถวายทานที่มุ่งตรงต่อหมู่คณะสงฆ์ได้เลย
☀️ดังนั้น เมื่อตั้งใจจะถวายทานครั้งใด พึงถวายเป็นสังฆทานแด่คณะสงฆ์ จะบังเกิดอานิสงส์อันประเสริฐ ได้ทั้งบุญบารมีเต็มที่ ได้ทั้งประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและเกื้อกูลคนรุ่นหลังที่จะมีพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบทอดต่อไปในอนาคตกาลอีกยาวนาน.🙏
🔰ที่มา : “ทักขิณาวิภังคสูตร”
พระไตรปิฎกเล่มที่ 14 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 6
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค🔰