วันที่: 22 ธ.ค. 59 เวลา: 13:00 น.
โดย วีรพงษ์ รามางกูร
-คัดมาบางส่วน-
http://www.matichon.co.th/news/400844
ด้วยเหตุที่คนไทยหรือสังคมไทยไม่ใช่สังคมอ่าน แต่เป็นสังคมที่นิยม “คนพูดเก่ง” ไม่ใช่ “คนเขียนเก่ง” ดูถูกนักประพันธ์นักเขียนจนมีคำพังเพยว่าเป็น “นักประพันธ์ไส้แห้ง” แต่จะเคลิ้มฝันไปกับนักพูดและนักการเมืองที่พูดเก่ง หรือพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยคนพูดเก่ง ทั้งๆ ที่เนื้อหาที่พูดอาจจะเป็นเท็จหรือบิดเบือนจากความจริงแต่ก็พร้อมจะเชื่อ แม้ต่อมาภายหลังเมื่อความจริงปรากฏแล้วว่าเป็นเท็จก็ไม่เปลี่ยนความคิดความเชื่อ เป็นสังคมที่ไม่เชื่อข้อมูลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่เชื่อ “ข่าวลือ” ที่ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ขึ้นต้นด้วย “เขาว่า” หลายครั้งที่ “ทางการ” ปล่อยข่าวลือเพื่อที่จะทำลายฝ่ายตรงข้ามและสามารถทำได้ผล เพราะเชื่อข่าวลือมากกว่าข้อเท็จจริง
การที่ข่าวลือไม่ทำเป็นหนังสือก็เพราะคนไทยไม่ชอบอ่าน แต่ชอบฟัง ไม่ชอบเรื่องที่มีสาระ ชอบเรื่องที่ไม่เป็นสาระ รายการยอดนิยมทางโทรทัศน์จึงเป็นละครน้ำเน่า เวลาที่ดีที่สุดคือ 19.00-22.00 น.
จึงเป็นเวลาของละครน้ำเน่าสำหรับโทรทัศน์ช่องพื้นฐาน แทนที่จะเป็นรายการสารคดี หรือรายการเพิ่มพูนความรู้หรือให้ทักษะที่เป็นประโยชน์ ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ หรืออินโดนีเซีย ที่วัฒนธรรมการอ่านถูกปลูกฝังโดยชาติตะวันตกที่เคยมาปกครอง
ในกรณีประเทศต่างๆ ที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีน เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม จะเป็นสังคมที่อ่านมากกว่าพูด เพราะสังคมจีนเป็นสังคมอ่านและเขียนหนังสือซึ่งเป็นเช่นนั้นมาเป็นเวลากว่า 2,000 ปีแล้ว เป็นสังคมยกย่องคนรู้หนังสือ สนับสนุนให้คนเรียนหนังสือ การอ่านการเขียนจึงถูกปลูกฝังอยู่ในวัฒนธรรมของจีน จีนมีความภูมิใจทั้งในตัวอักษรและหนังสือจีน เราจึงเห็นวรรณกรรมและเรื่องราวของจีนที่เป็นหนังสือจีนปรากฏอยู่ทุกแห่งที่มี
คนเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะในประเทศอาเซียนเท่านั้น ซึ่งต่างกับคนไทยไม่ค่อยภูมิใจกับตัวหนังสือไทยเท่าใดนัก หนังสือที่ถือว่าเป็นวรรณกรรมจึงมีน้อยและมีอายุไม่นานมานี้
คนไทยเชื้อสายเวียดนามและคนไทยเชื้อสายจีนจะเรียนเก่งกว่าคนไทยแท้ๆ หรือคนไทยเชื้อสายลาว มอญ เขมรและมาเลย์ อาชีพอิสระต่างๆ เช่น แพทย์ วิศวกร สถาปนิก ผู้พิพากษา บัญชี การเงินการธนาคาร อาจารย์มหาวิทยาลัย ระดับบริหารส่วนมากหรือทั้งหมดเป็นคนไทยเชื้อสายจีนเกือบทั้งสิ้น คนไทยเชื้อสายเวียดนามจะไม่ค่อยแสดงตัว อีกทั้งชื่อและสกุลก็ไม่คงไว้ให้เห็นว่าเป็นเวียดนามได้เลย คนไทยแท้ๆ จึงนิยมเป็นชาวนาชาวสวนและลูกจ้างระดับล่าง เพราะไม่ชอบเรียนหนังสือ
เมื่อไม่ใช่สังคมอ่านหนังสือ ความจำก็สั้น ความรู้ทางประวัติศาสตร์จึงน้อย ก็ไม่มีอะไรในความทรงจำไม่ว่าจะเป็นตรรกะทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และทักษะการอ่าน เมื่อต้องถูกทดสอบจากข้อสอบที่ไม่ได้จำมาจากชั้นเรียนจึงทำไม่ได้ คะแนนสอบจึงรั้งท้ายประเทศอื่นๆ
อย่าไปโทษกระทรวงศึกษาธิการเลย เราเป็นอย่างนี้มานานแล้ว
สังคมไทย เป็นสังคมขี้โม้ ชอบฟัง ไม่ชอบอ่าน ประเทศเราจะพัฒนาไปถึงจุดใหน ?
โดย วีรพงษ์ รามางกูร
-คัดมาบางส่วน-
http://www.matichon.co.th/news/400844
ด้วยเหตุที่คนไทยหรือสังคมไทยไม่ใช่สังคมอ่าน แต่เป็นสังคมที่นิยม “คนพูดเก่ง” ไม่ใช่ “คนเขียนเก่ง” ดูถูกนักประพันธ์นักเขียนจนมีคำพังเพยว่าเป็น “นักประพันธ์ไส้แห้ง” แต่จะเคลิ้มฝันไปกับนักพูดและนักการเมืองที่พูดเก่ง หรือพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยคนพูดเก่ง ทั้งๆ ที่เนื้อหาที่พูดอาจจะเป็นเท็จหรือบิดเบือนจากความจริงแต่ก็พร้อมจะเชื่อ แม้ต่อมาภายหลังเมื่อความจริงปรากฏแล้วว่าเป็นเท็จก็ไม่เปลี่ยนความคิดความเชื่อ เป็นสังคมที่ไม่เชื่อข้อมูลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่เชื่อ “ข่าวลือ” ที่ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ขึ้นต้นด้วย “เขาว่า” หลายครั้งที่ “ทางการ” ปล่อยข่าวลือเพื่อที่จะทำลายฝ่ายตรงข้ามและสามารถทำได้ผล เพราะเชื่อข่าวลือมากกว่าข้อเท็จจริง
การที่ข่าวลือไม่ทำเป็นหนังสือก็เพราะคนไทยไม่ชอบอ่าน แต่ชอบฟัง ไม่ชอบเรื่องที่มีสาระ ชอบเรื่องที่ไม่เป็นสาระ รายการยอดนิยมทางโทรทัศน์จึงเป็นละครน้ำเน่า เวลาที่ดีที่สุดคือ 19.00-22.00 น.
จึงเป็นเวลาของละครน้ำเน่าสำหรับโทรทัศน์ช่องพื้นฐาน แทนที่จะเป็นรายการสารคดี หรือรายการเพิ่มพูนความรู้หรือให้ทักษะที่เป็นประโยชน์ ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ หรืออินโดนีเซีย ที่วัฒนธรรมการอ่านถูกปลูกฝังโดยชาติตะวันตกที่เคยมาปกครอง
ในกรณีประเทศต่างๆ ที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีน เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม จะเป็นสังคมที่อ่านมากกว่าพูด เพราะสังคมจีนเป็นสังคมอ่านและเขียนหนังสือซึ่งเป็นเช่นนั้นมาเป็นเวลากว่า 2,000 ปีแล้ว เป็นสังคมยกย่องคนรู้หนังสือ สนับสนุนให้คนเรียนหนังสือ การอ่านการเขียนจึงถูกปลูกฝังอยู่ในวัฒนธรรมของจีน จีนมีความภูมิใจทั้งในตัวอักษรและหนังสือจีน เราจึงเห็นวรรณกรรมและเรื่องราวของจีนที่เป็นหนังสือจีนปรากฏอยู่ทุกแห่งที่มี
คนเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะในประเทศอาเซียนเท่านั้น ซึ่งต่างกับคนไทยไม่ค่อยภูมิใจกับตัวหนังสือไทยเท่าใดนัก หนังสือที่ถือว่าเป็นวรรณกรรมจึงมีน้อยและมีอายุไม่นานมานี้
คนไทยเชื้อสายเวียดนามและคนไทยเชื้อสายจีนจะเรียนเก่งกว่าคนไทยแท้ๆ หรือคนไทยเชื้อสายลาว มอญ เขมรและมาเลย์ อาชีพอิสระต่างๆ เช่น แพทย์ วิศวกร สถาปนิก ผู้พิพากษา บัญชี การเงินการธนาคาร อาจารย์มหาวิทยาลัย ระดับบริหารส่วนมากหรือทั้งหมดเป็นคนไทยเชื้อสายจีนเกือบทั้งสิ้น คนไทยเชื้อสายเวียดนามจะไม่ค่อยแสดงตัว อีกทั้งชื่อและสกุลก็ไม่คงไว้ให้เห็นว่าเป็นเวียดนามได้เลย คนไทยแท้ๆ จึงนิยมเป็นชาวนาชาวสวนและลูกจ้างระดับล่าง เพราะไม่ชอบเรียนหนังสือ
เมื่อไม่ใช่สังคมอ่านหนังสือ ความจำก็สั้น ความรู้ทางประวัติศาสตร์จึงน้อย ก็ไม่มีอะไรในความทรงจำไม่ว่าจะเป็นตรรกะทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และทักษะการอ่าน เมื่อต้องถูกทดสอบจากข้อสอบที่ไม่ได้จำมาจากชั้นเรียนจึงทำไม่ได้ คะแนนสอบจึงรั้งท้ายประเทศอื่นๆ
อย่าไปโทษกระทรวงศึกษาธิการเลย เราเป็นอย่างนี้มานานแล้ว