นักลงทุนหนีไทย เวียดนามพุ่งแรง ชาติที่เลือก “พัฒนา” แทน “เพ้อฝัน”
ในขณะที่ประเทศไทยยังหลงวนอยู่กับแนวคิดล้าหลังและนโยบายเชิงภาพลักษณ์ เช่น “ค่านิยม 12 ประการ” ภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดึงไทยถอยหลังไป 9 ปี และล่าสุดกับความพยายามผลักดัน “Soft Power” โดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย นักลงทุนระดับโลกกำลังเบนเข็มไปยังเวียดนามที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในเชิงโครงสร้างและทรัพยากรบุคคลอย่างแท้จริง
เวียดนาม: ชาติที่เตรียมพร้อมเพื่ออนาคต
เวียดนามไม่ได้หวังพึ่งโชคหรือภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมมาดึงดูดนักลงทุน แต่พวกเขาเริ่มต้นวางรากฐานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมมานานหลายปีแล้ว ระบบการศึกษาของเวียดนามให้ความสำคัญกับ STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) อย่างจริงจัง การพัฒนาแรงงานฝีมือและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรม 4.0 ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งคิดทำ แต่เป็นการทำอย่างต่อเนื่อง จนวันนี้เวียดนามกลายเป็น “ฮับการผลิต” และศูนย์กลางเทคโนโลยีที่บริษัทระดับโลก เช่น Samsung, LG และ Intel พร้อมใจลงทุน
ประเทศไทย: ชาติเสียเวลา
ย้อนกลับมาดูประเทศไทย รัฐบาลก่อนหน้าเสียเวลากับการปลูกฝังค่านิยมเชิงชาตินิยมแบบผิดยุคอย่าง “ค่านิยม 12 ประการ” ที่ไม่ส่งผลใด ๆ ต่อการพัฒนาทักษะของประชากรหรือศักยภาพทางเศรษฐกิจ นโยบายเหล่านี้ไม่ได้สร้างคนที่พร้อมเผชิญหน้ากับโลกแห่งการแข่งขัน แต่กลับสร้างประชากรที่ติดกรอบความคิดแบบอนุรักษ์นิยม ไม่กล้าคิดนอกกรอบ และขาดความสามารถในการปรับตัว
ขณะที่ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมในภูมิภาคเมื่อสองทศวรรษก่อน ทุกวันนี้กลับกลายเป็นประเทศที่นักลงทุนหลีกเลี่ยง โครงสร้างพื้นฐานล้าหลัง การศึกษาที่เน้นการท่องจำมากกว่านวัตกรรม และการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ล้วนทำให้ประเทศเสียโอกาสมหาศาล
Soft Power ไม่ใช่คำตอบในโลกแห่งการแข่งขัน
รัฐบาลปัจจุบันของพรรคเพื่อไทยกำลังเดินหน้าโครงการ “Soft Power” หวังดึงดูดนักลงทุนและเพิ่มรายได้เข้าประเทศผ่านวัฒนธรรม เช่น อาหาร ดนตรี และภาพยนตร์ แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดเด่นของไทย แต่ความสำคัญเชิงเศรษฐกิจในระดับโลกนั้นน้อยนิดเมื่อเทียบกับโครงสร้างการผลิตและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
ในสายตานักลงทุนระหว่างประเทศ Soft Power เป็นเพียงจุดเสริม ไม่ใช่แก่นสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจมาลงทุน โรงงานผลิตชิ้นส่วนเทคโนโลยีระดับสูงต้องการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรืออัจฉริยะ ไฟฟ้าที่เสถียร และกฎระเบียบที่ทันสมัย ไม่ใช่การเชิญชวนด้วยวัฒนธรรมอาหารหรือศิลปะที่แม้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ แต่ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว
ความเสียหายที่ไทยต้องเผชิญ
ไทยกำลังเสี่ยงเสียเวลาอีก 4 ปีไปกับแนวคิด Soft Power แบบผิวเผินโดยไม่ได้แก้ไขปัญหารากฐานอย่างการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ต่อไปเราอาจเห็นไทยกลายเป็นประเทศที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศไทยจำเป็นต้องเลิกพึ่งพานโยบายประชานิยมและโครงการที่มุ่งสร้างภาพ แต่ควรมุ่งสู่การลงทุนในคนอย่างจริงจังเหมือนเวียดนาม เพื่อสร้างประชากรที่พร้อมเผชิญหน้ากับอนาคต นักลงทุนไม่ได้ “โง่” มาลงทุนเพียงเพราะภาพลักษณ์ที่ดูดี แต่พวกเขามองหาประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างแท้จริง และจนถึงตอนนี้ ไทยยังไม่มีอะไรที่จะแข่งขันได้ในเวทีโลก หากไม่เร่งเปลี่ยนแปลง ก็เตรียมตัวเป็นเพียงผู้ตามในภูมิภาคนี้ต่อไป.
นักลงทุนหนีไทย เวียดนามพุ่งแรง ชาติที่เลือก “พัฒนา” แทน “เพ้อฝัน”
ในขณะที่ประเทศไทยยังหลงวนอยู่กับแนวคิดล้าหลังและนโยบายเชิงภาพลักษณ์ เช่น “ค่านิยม 12 ประการ” ภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดึงไทยถอยหลังไป 9 ปี และล่าสุดกับความพยายามผลักดัน “Soft Power” โดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย นักลงทุนระดับโลกกำลังเบนเข็มไปยังเวียดนามที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในเชิงโครงสร้างและทรัพยากรบุคคลอย่างแท้จริง
เวียดนาม: ชาติที่เตรียมพร้อมเพื่ออนาคต
เวียดนามไม่ได้หวังพึ่งโชคหรือภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมมาดึงดูดนักลงทุน แต่พวกเขาเริ่มต้นวางรากฐานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมมานานหลายปีแล้ว ระบบการศึกษาของเวียดนามให้ความสำคัญกับ STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) อย่างจริงจัง การพัฒนาแรงงานฝีมือและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรม 4.0 ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งคิดทำ แต่เป็นการทำอย่างต่อเนื่อง จนวันนี้เวียดนามกลายเป็น “ฮับการผลิต” และศูนย์กลางเทคโนโลยีที่บริษัทระดับโลก เช่น Samsung, LG และ Intel พร้อมใจลงทุน
ประเทศไทย: ชาติเสียเวลา
ย้อนกลับมาดูประเทศไทย รัฐบาลก่อนหน้าเสียเวลากับการปลูกฝังค่านิยมเชิงชาตินิยมแบบผิดยุคอย่าง “ค่านิยม 12 ประการ” ที่ไม่ส่งผลใด ๆ ต่อการพัฒนาทักษะของประชากรหรือศักยภาพทางเศรษฐกิจ นโยบายเหล่านี้ไม่ได้สร้างคนที่พร้อมเผชิญหน้ากับโลกแห่งการแข่งขัน แต่กลับสร้างประชากรที่ติดกรอบความคิดแบบอนุรักษ์นิยม ไม่กล้าคิดนอกกรอบ และขาดความสามารถในการปรับตัว
ขณะที่ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมในภูมิภาคเมื่อสองทศวรรษก่อน ทุกวันนี้กลับกลายเป็นประเทศที่นักลงทุนหลีกเลี่ยง โครงสร้างพื้นฐานล้าหลัง การศึกษาที่เน้นการท่องจำมากกว่านวัตกรรม และการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ล้วนทำให้ประเทศเสียโอกาสมหาศาล
Soft Power ไม่ใช่คำตอบในโลกแห่งการแข่งขัน
รัฐบาลปัจจุบันของพรรคเพื่อไทยกำลังเดินหน้าโครงการ “Soft Power” หวังดึงดูดนักลงทุนและเพิ่มรายได้เข้าประเทศผ่านวัฒนธรรม เช่น อาหาร ดนตรี และภาพยนตร์ แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดเด่นของไทย แต่ความสำคัญเชิงเศรษฐกิจในระดับโลกนั้นน้อยนิดเมื่อเทียบกับโครงสร้างการผลิตและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
ในสายตานักลงทุนระหว่างประเทศ Soft Power เป็นเพียงจุดเสริม ไม่ใช่แก่นสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจมาลงทุน โรงงานผลิตชิ้นส่วนเทคโนโลยีระดับสูงต้องการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรืออัจฉริยะ ไฟฟ้าที่เสถียร และกฎระเบียบที่ทันสมัย ไม่ใช่การเชิญชวนด้วยวัฒนธรรมอาหารหรือศิลปะที่แม้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ แต่ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว
ความเสียหายที่ไทยต้องเผชิญ
ไทยกำลังเสี่ยงเสียเวลาอีก 4 ปีไปกับแนวคิด Soft Power แบบผิวเผินโดยไม่ได้แก้ไขปัญหารากฐานอย่างการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ต่อไปเราอาจเห็นไทยกลายเป็นประเทศที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศไทยจำเป็นต้องเลิกพึ่งพานโยบายประชานิยมและโครงการที่มุ่งสร้างภาพ แต่ควรมุ่งสู่การลงทุนในคนอย่างจริงจังเหมือนเวียดนาม เพื่อสร้างประชากรที่พร้อมเผชิญหน้ากับอนาคต นักลงทุนไม่ได้ “โง่” มาลงทุนเพียงเพราะภาพลักษณ์ที่ดูดี แต่พวกเขามองหาประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างแท้จริง และจนถึงตอนนี้ ไทยยังไม่มีอะไรที่จะแข่งขันได้ในเวทีโลก หากไม่เร่งเปลี่ยนแปลง ก็เตรียมตัวเป็นเพียงผู้ตามในภูมิภาคนี้ต่อไป.