สวัสดีค่ะ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่หลงเข้าในหน้านี้แบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
วันนี้เราจะมาขอพื้นที่แชร์ประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อต้นเดือนเลยล่ะกันค่ะ
*ข้อมูลนี้อัพเดทเดือน ธันวาคม 2559 นะคะ
อารัมภบท
เนื่องด้วยเพื่อนสนิทเราย้ายไปแต่งงานกับสามีที่อเมริกาเมื่อปลายปีที่แล้ว นางอยู่ Nebraska ค่ะ
แต่กำลังจะมีทริปเที่ยวที่เมือง Denver, Colorado พร้อมกับเพื่อนๆของสามีช่วงหลังปีใหม่ (Jan 2017)
นางจึงมาชวนให้เราไปเที่ยวด้วยกันที่นั่น น่าจะประหยัดได้หลายอย่างเลย เพราะว่าไปกันหลายคน
ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าเที่ยวก็ช่วยๆกัน ((แต่ค่าตั๋วโหดมากค่ะ ㅠㅠ))
จุดเริ่มต้นของการไปร่วมทริปนี้จึงเกิดขึ้น เริ่มต้นด้วยการขอวีซ่าก่อนเลย!
แต่จากที่ได้ฟังมาเกี่ยวกับการขอวีซ่าอเมริกานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บ้างก็ว่าเจ้าหน้าที่โหด บ้างก็ว่าต้องอาศัยดวงล้วนๆ
มีหลายคนที่ไม่ได้วีซ่าก็เยอะ คนที่เรารู้จักก็โดนปฏิเสธวีซ่าในครั้งแรกเหมือนกัน
แต่ยังไงก็ต้องลองดู!! ถ้าไม่ลองก็ไม่ได้เที่ยวน่ะสิ!
เริ่มต้นจากตรงไหน?
จากจุดนี้ ต้องขอบคุณเพื่อนสาวที่ช่วยหาข้อมูลแล้วมาแปะลิงก์เกี่ยวกับขั้นตอนการขอวีซ่า
อีกทั้งยังจะกระตุ้นๆๆๆ (จิกๆๆๆ) ให้เราไม่ลืมว่าต้องรีบทำอะไรก่อน
ข้อมูลข้างล่างนี้จะชี้แจงขั้นตอนที่เราทำเลยนะคะ ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่ก็มาจากพันทิพด้วยเหมือนกัน
1. กรอกฟอร์ม DS160 ให้สมบูรณ์และตรงตามความเป็นจริง
2. ชำระเงินและเลือกวันสัมภาษณ์
3. เตรียมเอกสารให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์
**เอกสารที่ต้องมี** (อันนี้คือส่วนที่ทางสถานทูตจะเอาจากเราไปแน่ๆค่ะ)
1. Appointment Confirmation ได้หลังจากจ่ายเงินและเลือกวันสัมภาษณ์ค่ะ
2. DS-160 Confirmation ได้หลังจากกรอกฟอร์ม DS-160 เสร็จหมดค่ะ
3. Passport (มีอายุใช้งานไม่น้อยกว่า 8 เดือน)
*เอกสารอื่นๆเพื่อประกอบการพิจารณา* (ชี้แจงเฉพาะอันที่เราเตรียมนะคะ เพื่อนแนะนำให้เตรียมพร้อมเผื่อไว้)
1. รูปสี ขนาด 2 x 2 นิ้ว
2. ใบเสร็จค่าธรรมเนียม (จริงๆไม่ต้องก็ได้ เพราะถ้าไม่จ่ายเงินก็คงจองสัมภาษณ์ไม่ได้)
3. บัตรประชาชน ตัวจริง + สำเนา
4. ทะเบียนบ้าน ตัวจริง + สำเนา (ชื่อเราเป็นเจ้าบ้านค่ะ)
5. สมุดบัญชีเงินฝาก ย้อนหลัง 6 เดือน ตัวจริง + สำเนา (ปริ้นท์จาก online statement ค่ะ) ปกติเราจะมีหลายธนาคาร ก็เลือกอันที่เป็นบัญชีเงินเดือน กะ บัญชีที่ใช้ประจำ
6. สลิปเงินเดือน ย้อนหลัง 6 เดือน ตัวจริง + สำเนา
7. สำเนาทะเบียนรถ 2 คัน
8. หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัท + นามบัตรตัวเอง (อายุงาน 6 เดือนค่ะ) จริงๆก็เตรียม หนังสือรับรองบริษัท มาด้วยนะ เพราะบริษัทเพิ่งเปิดมาปีกว่า เดี๋ยวดูไม่น่าเชื่อถือ
9. หนังสือเชิญจากเพื่อน
10. มีปริ้นท์หน้า Facebook ที่แสดงความสัมพันธ์กับเพื่อนด้วยค่ะ ^^;
11. แผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ มีระบุวันและสถานที่ไว้ค่ะ (BKK - transit in Korea - Seattle - Denver 7-8 days -> Seattle -> transit in Korea -> BKK)
เรายังไม่ได้จองตั๋วเลยยังไม่มี flight booking ใดๆทั้งสิ้นค่ะ
12. สถานที่ที่เราจะไปพัก + รูปภาพ (อันนี้ปริ้นท์จากหน้า Google Map - street view เลยค่ะ 555)
ข้อควรรู้ก่อนไปสัมภาษณ์
1. ไม่อนุญาตให้นำกระเป๋าเป้ สะพายใบใหญ่เข้าไปในสถานทูต
2. กระเป๋าตังค์ กระเป๋าถือใบเล็ก นำเข้าไปได้ค่ะ
3. โทรศัพท์สามารถฝากได้แค่ 1 เครื่อง/คน เท่านั้น
4. Apple Watch ก็ไม่รับฝากค่ะ
5. หากต้องการฝากของอื่นๆ ต้องไปหาเอง จะมีคนตั้งโต๊ะรับฝากของเก็บตังค์ครั้งละ 100 บาท (มั้ง)
6. เตรียมปากกาไปด้วยก็ดีค่ะ จะได้ไม่ต้องขอยืมคนอื่น
7. เอกสารที่เตรียมไป ควรหาแฟ้มใสใส่ไปค่ะ
วันนัดสัมภาณ์ @ 6 Dec 2016 รอบ 9:15 AM
1. เรามาถึงก่อนเวลา 8:50 AM คนไม่เยอะค่ะ รปภ.ก็ให้ต่อแถวแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะเช็ค DS-160 Confirmation + Passport ก่อนปล่อยเราเข้าไปค่ะ
2. บูธแรกที่เจอ เค้าจะเอาเอกสารเราใส่ซอง พร้อมกับแนบเลข EMS ไว้สำหรับตรวจสอบหากเราได้วีซ่าค่ะ (ตรงจุดแหละที่ต้องใช้ปากกา)
3. เดินเข้าด้านในเพื่อต่อแถวสำหรับ finger scan ค่ะ ต้องทำ 2 ครั้งนะคะ เจ้าหน้าที่คนไทยจะ scan มือทั้ง 2 ข้าง สอบถามนิดหน่อยค่ะ + scan เพื่อคอนเฟิร์มอีกรอบโดยเจ้าหน้าที่ต่างขาติค่ะ
4. จากนั้นก็มายืนต่อแถวเพื่อรอสัมภาษณ์ค่ะ ^^; ณ ตรงจุดนี้ แอบตื่นเต้นเล็กน้อยถึงปานกลางค่ะ มีเจ้าหน้าที่ 4 คน ประจำคนละข่องเลยค่ะ ช่องสัมภาษณ์อารมณ์เหมือนเคาเตอร์ซื้อตั๋ว/จ่ายยาค่ะ เราก็จะเห็นว่าคนก่อนหน้าได้หรือไม่ได้ ถ้ามากันเป็นกลุ่ม ก็เข้าไปสัมภาษณ์พร้อมกันเลย ยืนออกันอยู่หน้าช่อง บางคนก็สัมภาษณ์นานนนน จนทำให้เรารู้สึกกังวลไปด้วย เพราะเราก็จะเห็นว่ามีคนที่ไม่ได้วีซ่าเหมือนกันค่ะ (ทำให้คิดว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นต้องโหดแน่ๆเลย และเราก็เจอเจ้าหน้าที่คนนั้นแล… 555)
เจ้าหน้าที่ผู้หญิง ผิวสี สอบถามเราดังนี้ค่ะ (เท่าที่จำได้นะ)
1: Where are you going?
Y: Denver, Colorado
2: What purpose?
Y: Travel
3: Alone?
Y: Yes.
4: Do you know anyone in US?
Y: Yes, my friend stays in Nebraska.
5: You have a friend there, what does she do?
Y: Well, she doesn’t have a job. She’s married with American and stays there.
6: Where do you work?
Y: I work at xxxx in Phuket.
7: How long have you worked there?
Y: It’s been for 6 months.
8: What is your previous job?
Y: I worked with Japanese company. It’s manufacturer.
9: How much was your salary?
Y: It was 35k but now it’s 50k+
10: Where did you travel before?
Y: in Asia only.. Korea, Singapore, Myanmar, Vietnam, …
11: Your visa is approved!
Y: Thank you… (@_@)?
การสัมภาษณ์ผ่านไปอย่างรวดเร็วมากๆ เจ้าหน้าที่เอาพาสปอร์ตเราไป แล้วเราก็เดินจากออกมาแบบงงๆ เพราะเท่าที่เราศึกษาจากคำบอกเล่าคนอื่น มันไม่ใช่แบบนี้ แต่ก็ดีใจค่ะ ชำระเงิน 5,600 บาท ในรอบแรกก็ผ่านเลยค่ะ
Timeline
28/Nov กรอก DS-160 + สมัคร account เพื่อไปชำระเงิน
29/Nov ไปชำระเงินที่ธนาคารกรุงศรีฯ
30/Nov จองวันที่จะสัมภาษณ์ผ่านทางเว็บ
06/Dec วันสัมภาษณ์
07/Dec EMS เข้าระบบ
09/Dec ไปรับเล่มเองที่ไปรษณีย์
ได้วีซ่า 10 ปีค่ะ
จากการวิเคราะห์เอง สิ่งสำคัญคือ DS-160 ที่มีข้อมูลครบถ้วน น่าเชื่อถือ
เวลาสัมภาษณ์เราตอบตามความเป็นจริงตามแบบที่เราให้ข้อมูลไว้
ไม่ได้ท่องจำ หรือโกหกก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ในส่วนของเราเอง ข้อมูลเบื้องต้นที่กรอกไว้ใน DS-160 คงเพียงพอ
เจ้าหน้าที่ถึงไม่ได้ขอเอกสารเพิ่มเติมใดๆ
- ข้อมูลที่เรากรอกทั้งหมดเป็นความจริง มีเพื่อน มีคนรู้จักก็บอกค่ะ เพื่อนไม่ได้ทำงานก็บอกค่ะ 5555
- รายได้ปัจจุบัน (เงินเดือน+อื่นๆ) อยู่นี่คงเพียงพอมั้ง ไม่ต้องกลัวว่าจะโดดวีซ่าเพื่อไปทำงานผิดกฏหมาย
- พาสปอร์ต มีตราปั๊มจากประเทศอื่นเยอะค่ะ แต่ซ้ำๆกันค่ะ เป็นพวก Biz Trip ใน South East Asia
- (เพิ่มเติม) หน้าตาเราดูแบ๊วกว่าอายุจริงค่ะ << อันนี้ไม่น่าจะเกี่ยวใช่มั๊ย? 555 >> เพื่อนบอกว่า หน้าตาดูไม่มีพิษภัย ปล่อยให้เข้าประเทศได้ค่ะ
หวังว่าข้อมูลข้างต้นจะพอช่วยได้บ้างนะคะ
สำหรับคนที่ตั้งใจจะไปเที่ยวอเมริกาแล้วไม่โดดวีซ่า ขอให้ได้วีซ่าค่ะ
have a nice trip in US !!!
ประสบการณ์ขอวีซ่าอเมริกา (ธ.ค. 59)
วันนี้เราจะมาขอพื้นที่แชร์ประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อต้นเดือนเลยล่ะกันค่ะ
*ข้อมูลนี้อัพเดทเดือน ธันวาคม 2559 นะคะ
อารัมภบท
เนื่องด้วยเพื่อนสนิทเราย้ายไปแต่งงานกับสามีที่อเมริกาเมื่อปลายปีที่แล้ว นางอยู่ Nebraska ค่ะ
แต่กำลังจะมีทริปเที่ยวที่เมือง Denver, Colorado พร้อมกับเพื่อนๆของสามีช่วงหลังปีใหม่ (Jan 2017)
นางจึงมาชวนให้เราไปเที่ยวด้วยกันที่นั่น น่าจะประหยัดได้หลายอย่างเลย เพราะว่าไปกันหลายคน
ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าเที่ยวก็ช่วยๆกัน ((แต่ค่าตั๋วโหดมากค่ะ ㅠㅠ))
จุดเริ่มต้นของการไปร่วมทริปนี้จึงเกิดขึ้น เริ่มต้นด้วยการขอวีซ่าก่อนเลย!
แต่จากที่ได้ฟังมาเกี่ยวกับการขอวีซ่าอเมริกานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บ้างก็ว่าเจ้าหน้าที่โหด บ้างก็ว่าต้องอาศัยดวงล้วนๆ
มีหลายคนที่ไม่ได้วีซ่าก็เยอะ คนที่เรารู้จักก็โดนปฏิเสธวีซ่าในครั้งแรกเหมือนกัน
แต่ยังไงก็ต้องลองดู!! ถ้าไม่ลองก็ไม่ได้เที่ยวน่ะสิ!
เริ่มต้นจากตรงไหน?
จากจุดนี้ ต้องขอบคุณเพื่อนสาวที่ช่วยหาข้อมูลแล้วมาแปะลิงก์เกี่ยวกับขั้นตอนการขอวีซ่า
อีกทั้งยังจะกระตุ้นๆๆๆ (จิกๆๆๆ) ให้เราไม่ลืมว่าต้องรีบทำอะไรก่อน
ข้อมูลข้างล่างนี้จะชี้แจงขั้นตอนที่เราทำเลยนะคะ ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่ก็มาจากพันทิพด้วยเหมือนกัน
1. กรอกฟอร์ม DS160 ให้สมบูรณ์และตรงตามความเป็นจริง
2. ชำระเงินและเลือกวันสัมภาษณ์
3. เตรียมเอกสารให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์
**เอกสารที่ต้องมี** (อันนี้คือส่วนที่ทางสถานทูตจะเอาจากเราไปแน่ๆค่ะ)
1. Appointment Confirmation ได้หลังจากจ่ายเงินและเลือกวันสัมภาษณ์ค่ะ
2. DS-160 Confirmation ได้หลังจากกรอกฟอร์ม DS-160 เสร็จหมดค่ะ
3. Passport (มีอายุใช้งานไม่น้อยกว่า 8 เดือน)
*เอกสารอื่นๆเพื่อประกอบการพิจารณา* (ชี้แจงเฉพาะอันที่เราเตรียมนะคะ เพื่อนแนะนำให้เตรียมพร้อมเผื่อไว้)
1. รูปสี ขนาด 2 x 2 นิ้ว
2. ใบเสร็จค่าธรรมเนียม (จริงๆไม่ต้องก็ได้ เพราะถ้าไม่จ่ายเงินก็คงจองสัมภาษณ์ไม่ได้)
3. บัตรประชาชน ตัวจริง + สำเนา
4. ทะเบียนบ้าน ตัวจริง + สำเนา (ชื่อเราเป็นเจ้าบ้านค่ะ)
5. สมุดบัญชีเงินฝาก ย้อนหลัง 6 เดือน ตัวจริง + สำเนา (ปริ้นท์จาก online statement ค่ะ) ปกติเราจะมีหลายธนาคาร ก็เลือกอันที่เป็นบัญชีเงินเดือน กะ บัญชีที่ใช้ประจำ
6. สลิปเงินเดือน ย้อนหลัง 6 เดือน ตัวจริง + สำเนา
7. สำเนาทะเบียนรถ 2 คัน
8. หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัท + นามบัตรตัวเอง (อายุงาน 6 เดือนค่ะ) จริงๆก็เตรียม หนังสือรับรองบริษัท มาด้วยนะ เพราะบริษัทเพิ่งเปิดมาปีกว่า เดี๋ยวดูไม่น่าเชื่อถือ
9. หนังสือเชิญจากเพื่อน
10. มีปริ้นท์หน้า Facebook ที่แสดงความสัมพันธ์กับเพื่อนด้วยค่ะ ^^;
11. แผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ มีระบุวันและสถานที่ไว้ค่ะ (BKK - transit in Korea - Seattle - Denver 7-8 days -> Seattle -> transit in Korea -> BKK)
เรายังไม่ได้จองตั๋วเลยยังไม่มี flight booking ใดๆทั้งสิ้นค่ะ
12. สถานที่ที่เราจะไปพัก + รูปภาพ (อันนี้ปริ้นท์จากหน้า Google Map - street view เลยค่ะ 555)
ข้อควรรู้ก่อนไปสัมภาษณ์
1. ไม่อนุญาตให้นำกระเป๋าเป้ สะพายใบใหญ่เข้าไปในสถานทูต
2. กระเป๋าตังค์ กระเป๋าถือใบเล็ก นำเข้าไปได้ค่ะ
3. โทรศัพท์สามารถฝากได้แค่ 1 เครื่อง/คน เท่านั้น
4. Apple Watch ก็ไม่รับฝากค่ะ
5. หากต้องการฝากของอื่นๆ ต้องไปหาเอง จะมีคนตั้งโต๊ะรับฝากของเก็บตังค์ครั้งละ 100 บาท (มั้ง)
6. เตรียมปากกาไปด้วยก็ดีค่ะ จะได้ไม่ต้องขอยืมคนอื่น
7. เอกสารที่เตรียมไป ควรหาแฟ้มใสใส่ไปค่ะ
วันนัดสัมภาณ์ @ 6 Dec 2016 รอบ 9:15 AM
1. เรามาถึงก่อนเวลา 8:50 AM คนไม่เยอะค่ะ รปภ.ก็ให้ต่อแถวแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะเช็ค DS-160 Confirmation + Passport ก่อนปล่อยเราเข้าไปค่ะ
2. บูธแรกที่เจอ เค้าจะเอาเอกสารเราใส่ซอง พร้อมกับแนบเลข EMS ไว้สำหรับตรวจสอบหากเราได้วีซ่าค่ะ (ตรงจุดแหละที่ต้องใช้ปากกา)
3. เดินเข้าด้านในเพื่อต่อแถวสำหรับ finger scan ค่ะ ต้องทำ 2 ครั้งนะคะ เจ้าหน้าที่คนไทยจะ scan มือทั้ง 2 ข้าง สอบถามนิดหน่อยค่ะ + scan เพื่อคอนเฟิร์มอีกรอบโดยเจ้าหน้าที่ต่างขาติค่ะ
4. จากนั้นก็มายืนต่อแถวเพื่อรอสัมภาษณ์ค่ะ ^^; ณ ตรงจุดนี้ แอบตื่นเต้นเล็กน้อยถึงปานกลางค่ะ มีเจ้าหน้าที่ 4 คน ประจำคนละข่องเลยค่ะ ช่องสัมภาษณ์อารมณ์เหมือนเคาเตอร์ซื้อตั๋ว/จ่ายยาค่ะ เราก็จะเห็นว่าคนก่อนหน้าได้หรือไม่ได้ ถ้ามากันเป็นกลุ่ม ก็เข้าไปสัมภาษณ์พร้อมกันเลย ยืนออกันอยู่หน้าช่อง บางคนก็สัมภาษณ์นานนนน จนทำให้เรารู้สึกกังวลไปด้วย เพราะเราก็จะเห็นว่ามีคนที่ไม่ได้วีซ่าเหมือนกันค่ะ (ทำให้คิดว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นต้องโหดแน่ๆเลย และเราก็เจอเจ้าหน้าที่คนนั้นแล… 555)
เจ้าหน้าที่ผู้หญิง ผิวสี สอบถามเราดังนี้ค่ะ (เท่าที่จำได้นะ)
1: Where are you going?
Y: Denver, Colorado
2: What purpose?
Y: Travel
3: Alone?
Y: Yes.
4: Do you know anyone in US?
Y: Yes, my friend stays in Nebraska.
5: You have a friend there, what does she do?
Y: Well, she doesn’t have a job. She’s married with American and stays there.
6: Where do you work?
Y: I work at xxxx in Phuket.
7: How long have you worked there?
Y: It’s been for 6 months.
8: What is your previous job?
Y: I worked with Japanese company. It’s manufacturer.
9: How much was your salary?
Y: It was 35k but now it’s 50k+
10: Where did you travel before?
Y: in Asia only.. Korea, Singapore, Myanmar, Vietnam, …
11: Your visa is approved!
Y: Thank you… (@_@)?
การสัมภาษณ์ผ่านไปอย่างรวดเร็วมากๆ เจ้าหน้าที่เอาพาสปอร์ตเราไป แล้วเราก็เดินจากออกมาแบบงงๆ เพราะเท่าที่เราศึกษาจากคำบอกเล่าคนอื่น มันไม่ใช่แบบนี้ แต่ก็ดีใจค่ะ ชำระเงิน 5,600 บาท ในรอบแรกก็ผ่านเลยค่ะ
Timeline
28/Nov กรอก DS-160 + สมัคร account เพื่อไปชำระเงิน
29/Nov ไปชำระเงินที่ธนาคารกรุงศรีฯ
30/Nov จองวันที่จะสัมภาษณ์ผ่านทางเว็บ
06/Dec วันสัมภาษณ์
07/Dec EMS เข้าระบบ
09/Dec ไปรับเล่มเองที่ไปรษณีย์
ได้วีซ่า 10 ปีค่ะ
จากการวิเคราะห์เอง สิ่งสำคัญคือ DS-160 ที่มีข้อมูลครบถ้วน น่าเชื่อถือ
เวลาสัมภาษณ์เราตอบตามความเป็นจริงตามแบบที่เราให้ข้อมูลไว้
ไม่ได้ท่องจำ หรือโกหกก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ในส่วนของเราเอง ข้อมูลเบื้องต้นที่กรอกไว้ใน DS-160 คงเพียงพอ
เจ้าหน้าที่ถึงไม่ได้ขอเอกสารเพิ่มเติมใดๆ
- ข้อมูลที่เรากรอกทั้งหมดเป็นความจริง มีเพื่อน มีคนรู้จักก็บอกค่ะ เพื่อนไม่ได้ทำงานก็บอกค่ะ 5555
- รายได้ปัจจุบัน (เงินเดือน+อื่นๆ) อยู่นี่คงเพียงพอมั้ง ไม่ต้องกลัวว่าจะโดดวีซ่าเพื่อไปทำงานผิดกฏหมาย
- พาสปอร์ต มีตราปั๊มจากประเทศอื่นเยอะค่ะ แต่ซ้ำๆกันค่ะ เป็นพวก Biz Trip ใน South East Asia
- (เพิ่มเติม) หน้าตาเราดูแบ๊วกว่าอายุจริงค่ะ << อันนี้ไม่น่าจะเกี่ยวใช่มั๊ย? 555 >> เพื่อนบอกว่า หน้าตาดูไม่มีพิษภัย ปล่อยให้เข้าประเทศได้ค่ะ
หวังว่าข้อมูลข้างต้นจะพอช่วยได้บ้างนะคะ
สำหรับคนที่ตั้งใจจะไปเที่ยวอเมริกาแล้วไม่โดดวีซ่า ขอให้ได้วีซ่าค่ะ
have a nice trip in US !!!