มาดูการฝึกและดูแลสามเณรของพระกัน

บทความดีๆ จากพระอาจารย์ที่เคารพนับถือ ท่านได้เล่าเรื่องการฝึกสอนสามเณรของหลวงพ่อทัตตชีโวที่วัดพระธรรมกาย ซึ่งรู้กันอยู่แล้ว ว่าสามเณรนั้นก็คือเด็กๆที่ต้องออกจากอกพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อมาฝึกตัวตามแบบอย่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นท่านมีวิธีการคิดการสอนอย่างไร เราไปติดตามกัน


การที่พ่อแม่จะเลี้ยงลูกให้ได้ดีนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ความรักอย่างเดียว แต่พ่อแม่จะต้องสามารถเป็นต้นแบบให้กับลูก และเป็นคนที่ช่างสังเกตเพื่อจะหยิบจับสิ่งรอบตัวมาสอนลูกอันเป็นที่รักของตนได้


หลวงพ่อทั้งสอง ท่านดูแลสามเณรไม่ใช่ในฐานะของครูบาอาจารย์เท่านั้น แต่ท่านได้ทุ่มเทเอาใจใส่เสมือนสามเณรคือลูก ๆ ของท่าน ที่ยิ่งกว่านั้นหากจะว่าไปแล้ว อาตมามองว่าท่านมีความปรารถนาดีต่อสามเณรยิ่งกว่าพ่อแม่เสียอีก ทำไมจึงกล่าวอย่างนั้น ก็เพราะว่า พ่อแม่โดยทั่วไปจะรักและห่วงใยลูกเพียงในชาตินี้ พ้นจากชาตินี้แล้วก็ตัวใครตัวมัน แต่หลวงพ่อทั้งสองท่านมองไปถึงชาติหน้าและภพชาติต่อ ๆ ไป ท่านจึงคอยกำชับพระพี่เลี้ยงให้คอยตอกย้ำเป้าหมายชีวิตให้กับสามเณรอย่างสม่ำเสมอ

สิ่งที่หลวงพ่อท่านต้องการจะให้สามเณรวัดพระธรรมกายเป็นคือ เป็นผู้มีการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้นหากมีอะไรที่จะทำให้เป้าหมายนี้บรรลุผลท่านจะรีบลงมือสั่งการ แล้วมาติดตามงานทันที

มีอยู่วันหนึ่งขณะที่หลวงพี่สุรพลและพระพี่เลี้ยงกำลังพาสามเณรพัฒนาแผนก หลวงพ่อทัตตชีโวได้เดินมาดู ท่านยืนสังเกตอยู่สักครู่ แล้วก็เรียกพระพี่เลี้ยงไปถามว่า


“ ทำไมสามเณรของเราถึงตัวเล็กจัง ”

“ เด็กต่างจังหวัด มักเป็นอย่างนี้ครับหลวงพ่อ จะไม่ค่อยตัวโต ” อาตมารีบตอบ

หลวงพ่อมองหน้าแล้วพูดเสียงเย็น ๆ ว่า “ ท่านตอบอย่างนี้ไม่นำไปสู่การแก้ปัญหา เพราะมันไม่ถูกจุด ”

“ ครอบครัวของท่านมีญาติพี่น้องกี่คน ” หลวงพ่อถามอาตมา

“ ตอนยังเด็กก็หลายคนครับ แต่พอโตขึ้นก็แยกย้ายกันไปครับ ” อาตมาตอบแบบงง ๆ ว่าทำไมพูดเรื่องเณรตัวเล็กอยู่ดี ๆ แต่จู่ ๆ ท่านมาถามเรื่องครอบครัว

“ ตอนที่อยู่กันหลายคน ท่านนึกออกไหมว่าอาหารการกินของท่านเป็นอย่างไร ” หลวงพ่อถามต่อไปอีก


อาตมาก็ต้องนึกภาพสมัยคุณตายังมีชีวิตอยู่ ที่บ้านจะเป็นครอบครัวใหญ่มาก นั่งทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตานี่อย่างต่ำก็ ๑๐ ชีวิต เนื่องจากคุณตาอายุมาก อาหารส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกผักลวก ผักต้ม จิ้มน้ำพริก หรือไม่ก็พวกปลาเนื้ออ่อน ไม่ค่อยมีเนื้ออะไรมาก พอบรรยายให้หลวงพ่อฟังอย่างนี้ ท่านหัวเราะเลย

“ นั่นไง เอ็งถึงตัวเล็ก ครอบครัวที่ให้เด็กกินข้าวกับผู้ใหญ่ มีข้อดีคืออยู่กันอบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ข้อเสียคือหากไม่รู้เรื่องโภชนาการ ก็จะให้เด็กกินอาหารผู้ใหญ่ ซึ่งมันไม่ถูกหลัก เด็กอยู่ในวัยเจริญเติบโตต้องการสารอาหาร แต่ไปกินอาหารผู้ใหญ่ที่ต้องการเพียงให้ย่อยง่าย แต่ไม่ได้ไปเสริมสร้างอะไรแล้ว มันจึงไม่โต เข้าใจหรือยัง ”

ก่อนที่ท่านจะเดินไป ท่านได้สั่งการให้ประสานงานกับโรงครัวของวัดให้ดำเนินการในวันรุ่งขึ้นทันที พร้อมกับทิ้งท้ายไว้ว่า

“ คอยดูนะหลวงพ่อจะทำให้เณรพวกนี้ ตัวโตให้ได้ ”

วันรุ่งขึ้นก็เกิดเรื่องสนุกสนานเบิกบานที่แผนกสามเณรคือ หลวงพี่สุรพลสั่งให้สามเณรออกมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน ให้มาเข้าแถวรับไข่ต้มรูปละ ๒ ฟองพร้อมกับนมคนละหนึ่งเหยือก จากวันนั้นเป็นต้นมา สามเณรก็จะต้องฉันไข่ต้มและนมหนึ่งเหยือกทุกเช้า โดยที่แผนกได้แบ่งบุญให้สามเณรโตต้มไข่และชงนมเอง

เวลาผ่านไปไม่นานสามเณรกว่า ๘๐​ % สูงใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งหลายรูปตอนที่มาใหม่ ๆ ตัวเล็ก ๆ แต่ทุกวันนี้ เวลาคุยกันอาตมาต้องแหงนคอสนทนาด้วย

เพราะความเอาใจใส่ของหลวงพ่อแท้ ๆ จึงทำให้สามเณรในวันนั้น กลายมาเป็นหลวงพี่ที่สง่างามในวันนี้




อ่านแล้วก็รู้สึกเย็นกายเย็นใจและได้สาระในการดูแลเด็กๆดี เลยเอามาฝากทุกท่านเป็นความรู้  แต่ขอร้องมางดดราม่าในกระทู้นี้เน๊าะ เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับข่าวช่วงนี้ อะไรดีๆก็แค่อยากเอามาแชร์กัน เท่านั้นเอง

ขอบคุณ anacaricamuni.blogspot.com
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่