Rogue One (Gareth Edwards, 2016) คะแนน B
#ไม่มีสปอย



By Form Corleone

" ความหวัง คือ พลังแห่งการเกิดใหม่ " Rogue One ถือเป็นงานที่เราเฝ้ารอที่จะได้ดูที่สุดในปีนี้เลย แม้หนังมีปัญหาอย่างมากในช่วงต้นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นที่มาของตัวละครแต่ละตัว รวมถึงวิธีการเล่าเรื่องที่ติดขัดและไม่ไหลลื่นจนทำให้รู้สึกเบื่อนิดๆ (ถ้าใครไม่ใช่แฟน Star Wars อาจจะเบื่อมากๆเลยด้วยซ้ำ) ปัญหาคือการเล่าเรื่องกับบทที่ไม่ได้ช่วยส่งให้ตัวละครโดดเด่นมากเท่าที่ควร เปิดตัวได้ไม่ค่อยดีและไม่สามารถทำให้เราอินไปกับความสัมพันธ์ใดๆของตัวละครได้เลย การตัดสลับเหตุการณ์ในช่วงต้นเรื่องทำได้ขาดตอน+ขรุขระ เรารู้สึก มึนๆ กับช่วงแรกมาก (แต่เพราะชอบ Star wars จึงทนรอให้ช่วงเวลานี้ผ่านไป) ถึงกระนั้น เมื่อหนังผ่านช่วงเวลาไปได้สักพักก็ดูจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงเวลาหลังจากผ่านครึ่งเรื่องไปแล้ว เปรียบเสมือนหนังคนละแผ่น ครึ่งหลังของ 'Rogue One' จึงเป็นอะไรที่สนุกและดีงามที่สุดสำหรับปีนี้เลยก็ว่าได้ ช่วยกลบจุดไม่ดีในช่วงเวลาแรกไปได้เกือบหมด ช่วงเวลาในการเข้าสู่สงครามเต็มตัวคืออะไรที่ดีงาม เพลิน เอฟเฟคจัดเต็ม ฉากหลังสวย สมการรอคอยของคนที่ชอบเรื่องราวที่เกี่ยวกับ 'Star wars' เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต้องยอมรับว่าเป็นภาคที่เสริมให้หนังชุดเรื่องนี้เติมเต็มผ่านยุคสมัยจริงๆ เป็นการแทรกตัวเองลงไปในช่วงรอยต่อระหว่าง Star Wars: Episode III และ Star Wars: Episode IV ได้อย่างคุ้มค่ามากๆ ช่วยเติมเต็มรอยต่อสำหรับการหยิบ Star Wars ทั้งชุดมาดูซ้ำได้อย่างมีความหมาย ภาพรวมเลยถือเป็นงานที่แฟนๆ 'Star Wars' ไม่ควรพลาดเลย เสียดายที่ช่วงแรกของหนังทำได้ไม่ดี แต่ก็จบได้อย่างสวยงาม



เราประทับใจในส่วนของชุดความคิดเกี่ยวกับฝ่าย ธรรมะ (Rebellion) กับ อธรรม (Empire) รายละเอียดเชิงลึกของวิธีการต่างๆที่ทั้งสองฝ่ายใช้ในการกำจัดศัตรู สภาพจิตใจของตัวละครแต่ละฝั่ง รวมไปถึงศีลธรรมของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเราไม่ค่อยเห็นในภาคก่อนหน้านี้เท่าที่ควร เพราะฉนั้น สำหรับเรา 'Rogue One' เสมือนตัวแทนของการบอกเล่าวิธีการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายได้เท่าๆกัน โดยไม่มีใครดีหรือเลวไปกว่ากัน ถ้ามองโดยหลักการถือว่าอยู่บนหลักการเดียวกันเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าอยู่คนละด้านคนละพวกเท่านั้น พอเผชิญกันในสงคราม ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการความได้เปรียบเสียเปรียบโดยไม่เลือกวิธีการให้ได้มา การชนะสงครามคงไม่วัดกันที่ใครดีกว่าใครหรือใครเลวกว่าใคร แต่หากเป็นการเอาชนะในการแย่งชิงความได้เปรียบให้มาอยู่ฝั่งเรามากกว่าฝั่งตรงข้าม ตัวละครของทั้งสองฝ่ายเลยถูกกระทำจากมุมมองที่ต่างกัน เราเพียงเป็นคนตัดสินแล้วเลือกข้างว่าจะอยู่ฝ่ายไหน เปิดมุมมองความคิดใหม่ของเราเกี่ยวกับ 'Star Wars' ที่ไม่ได้มีเพียงปัญหาทางการเมือง ด้านมืดในจิตใจ เพียงเท่านั้น มุมมองความดีและความเลวของวิธีการยังสามารถหยิบจับมาเล่าได้สวยงามอีกด้วย



งานภาพและเอฟเฟคสวยงามตามาตรฐาน ดนตรีประกอบเป็นซาวด์ที่คุ้นเคยคุ้นหูกันอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรในส่วนนี้ ดูกันเพลินๆแบบจัดเต็มได้เลย ฉากแอ็คชั่นทำได้สนุกและดีมาก สำหรับเราที่ชอบฉากสงครามของ 'Star Wars' เป็นทุนเดิมรู้สึกว่างานนี้ใหญ่อลังการงานสร้างดี มองดูแล้วไม่ใช่หนังที่แทรกเข้ามาในไทม์ไลน์แบบเล็กๆ ธรรมดาๆ ถือเป็นงานที่สามารถยืนด้วยขาทั้งสองข้างของตัวเองได้อย่างภาคภูมิ การมาของ 'Darth Vader' คือทีเด็ดที่ทำให้เราหวนคิดถึงตัวละครตัวนี้อีกครั้ง!!! ในส่วนของการแสดง ไม่มีตัวไหนเด่นกว่าตัวไหน หนังค่อนข้างกระจายบทให้กับตัวละครหลักๆเท่าๆกัน จึงไม่ได้เห็นฝีมือการแสดงของ 'Felicity Jones' อย่างที่ตั้งใจไว้ จะมองเป็นข้อดีของหนังเลยก็ได้ที่กระจายบทได้ดี 'ความหวัง เกิดขึ้นใหม่ด้วยคนๆเดียวไม่ได้' ตัวละครหลักในเรื่องเลยเป็นเพียงฟันเฟืองหนึ่งในการต่อสู้ของฝ่าย Rebellion เท่านั้น ทีม 'Rogue One' คือตัวต่อชิ้นเล็กๆที่ทำให้เกิด 'ความหวัง' ขึ้นมาหลังจากนี้ ตัวละครทุกตัวคือตัวแทนของความหวัง เพื่อเตรียมตัวพบกับ Star Wars: Episode IV – A New Hope ต่อไป ฮ่าๆๆ หยิบมาดูด่วนๆ คงจะสนุกมากขึ้นแน่ๆ



สุดท้าย 'Rogue One' ให้แนวคิดที่แปลกใหม่สำหรับเรา ให้ความสมบูรณ์ของรอยต่อแห่งจักรวาล 'Star Wars' แม้จะรู้สึกเบื่อเกือบครึ่งเรื่องก็ตาม ความสนุกในช่วงครึ่งหลังจัดว่าโอเคมากๆ ยิ่งช่วงท้ายเรื่องมีอะไรให้พีคกับความสนุก ไม่ดาร์กมาก ใสๆพอให้เรากลับบ้านอย่างมีความสุขได้หลังดูจบ สำหรับเราฉากแอคชั่นช่วงท้ายเรื่องก็คุ้มค่าสำหรับการรอคอยแล้วแหละ แต่จะดีกว่านั้นถ้าทำได้ดีตลอดทั้งเรื่องนะ ในทุกๆส่วนนะ



ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ

ตัวอย่างหนัง

ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/