“สงบนิ่งเนิ่นนานผ่านคืนได้
ประชาชนชาวไทยล้วนใจหาย
ขาดร่มไทรใบบังนั่งฟูมฟาย
พายุร้ายหลายหลากพรากพ่อไป
น้ำตารินไหลหลั่งยั้งไม่อยู่
มฤตยูจู่โจมโถมเข้าใส่
เสียงอื้ออึงทั่วหล้าแสนอาลัย
พ่อจากไกลลูกเศร้าเหงากมล”
( เครดิต: วิริน ๑๔/๑๐๑๕๙ )
เป็นเรื่องยากที่จะทำใจเหลือเกิน
เมื่อต้องรับรู้ความจริงว่าในหลวงรัชกาลที่ 9
เสด็จสวรรคต
.
.
ท่านผู้ทรงเป็นที่รัก เป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทย
ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาของพระองค์นั้นได้เสียสละทุ่มเท
เพื่อประชาชนของพระองค์มาตลอดเกือบทั้งชีวิต
หากยิ่งพระองค์เหนื่อยยากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้มีหลายคนสงสัยว่า
พระองค์จะทรงมีความสุขพระราชหฤทัยบ้างหรือไม่
วันนี้ผมจึงได้รวบรวม ๙ เหตุการณ์ ๙ รอยยิ้ม ของในหลวงรัชกาลที่ ๙
ที่เราพสกนิกรชาวไทย ได้ปฎิบัติตนเป็นคนดี น่ารัก น่าเอ็นดู จนทำให้พ่อหลวงของเรา
ทรงแย้มพระสรวล หรือ มีรอยยิ้ม
เหตุการณ์ที่ ๑
ครั้งนึงในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมพสกนิกรทางภาคอีสาน
แล้วพบกับราษฎรคนนึง ท่าทางพูดจาราชาศัพท์คล่องแคล่ว เมื่อมีพระราชปฏิสันถาร ว่าทำไมใช้ราชาศัพท์ได้เป๊ะนัก ราษฎรผู้นั้นจึงได้กราบทูลว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า..”
(อ่อเป็นลิเก เก่านี้เอง) ไม่พอ ราษฎรผู้นั้นได้พาในหลวงสำรวจบ้านแล้วพบนกเลี้ยงที่ชานเรือน
พ่อลิเกเก่าจึงกราบบังคมทูลว่า “มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว
ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว”
ทำเอาหัวเราะกันทั้งคณะไม่เว้นแม้แต่ในหลวงเพราะความตั้งใจในการใช้คำราชาศัพท์ของราษฎรผู้นี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งการเลี้ยงนก (555)
“เรียกได้ว่าความน่ารักน่าชังในการพยายามพูดคำราชาศัพท์ของพสกนิกรชาวไทย
สามารถเรียกรอยยิ้มสร้างความสุขได้อย่างไม่รู้ตัว ^_^”

(ภาพอาจไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์แต่ขอนำมาประดับด้วยความสวยงามนะครับ ขอบคุณภาพจาก MThai)
--------------
ใครบอกว่าพ่อหลวงไม่ค่อยทรงยิ้ม 9 รอยยิ้มของในหลวง ที่เราเองก็ทำให้พ่อหลวงยิ้มได้
ประชาชนชาวไทยล้วนใจหาย
ขาดร่มไทรใบบังนั่งฟูมฟาย
พายุร้ายหลายหลากพรากพ่อไป
น้ำตารินไหลหลั่งยั้งไม่อยู่
มฤตยูจู่โจมโถมเข้าใส่
เสียงอื้ออึงทั่วหล้าแสนอาลัย
พ่อจากไกลลูกเศร้าเหงากมล”
( เครดิต: วิริน ๑๔/๑๐๑๕๙ )
เป็นเรื่องยากที่จะทำใจเหลือเกิน
เมื่อต้องรับรู้ความจริงว่าในหลวงรัชกาลที่ 9
เสด็จสวรรคต
.
.
ท่านผู้ทรงเป็นที่รัก เป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทย
ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาของพระองค์นั้นได้เสียสละทุ่มเท
เพื่อประชาชนของพระองค์มาตลอดเกือบทั้งชีวิต
หากยิ่งพระองค์เหนื่อยยากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้มีหลายคนสงสัยว่า
พระองค์จะทรงมีความสุขพระราชหฤทัยบ้างหรือไม่
วันนี้ผมจึงได้รวบรวม ๙ เหตุการณ์ ๙ รอยยิ้ม ของในหลวงรัชกาลที่ ๙
ที่เราพสกนิกรชาวไทย ได้ปฎิบัติตนเป็นคนดี น่ารัก น่าเอ็นดู จนทำให้พ่อหลวงของเรา
ทรงแย้มพระสรวล หรือ มีรอยยิ้ม
ครั้งนึงในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมพสกนิกรทางภาคอีสาน
แล้วพบกับราษฎรคนนึง ท่าทางพูดจาราชาศัพท์คล่องแคล่ว เมื่อมีพระราชปฏิสันถาร ว่าทำไมใช้ราชาศัพท์ได้เป๊ะนัก ราษฎรผู้นั้นจึงได้กราบทูลว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า..”
(อ่อเป็นลิเก เก่านี้เอง) ไม่พอ ราษฎรผู้นั้นได้พาในหลวงสำรวจบ้านแล้วพบนกเลี้ยงที่ชานเรือน
พ่อลิเกเก่าจึงกราบบังคมทูลว่า “มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว
ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว”
ทำเอาหัวเราะกันทั้งคณะไม่เว้นแม้แต่ในหลวงเพราะความตั้งใจในการใช้คำราชาศัพท์ของราษฎรผู้นี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งการเลี้ยงนก (555)
“เรียกได้ว่าความน่ารักน่าชังในการพยายามพูดคำราชาศัพท์ของพสกนิกรชาวไทย
สามารถเรียกรอยยิ้มสร้างความสุขได้อย่างไม่รู้ตัว ^_^”
(ภาพอาจไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์แต่ขอนำมาประดับด้วยความสวยงามนะครับ ขอบคุณภาพจาก MThai)
--------------
เหตุการณ์นี้ก็น่ารักครับ
จากงานนิทรรศการ “ก้าวไทยทำ” ปี 2538 บริษัทขายเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ได้จัดบูท เกี่ยวกับ
“ใต้ท้องทะเล” เป็นการโชว์นวัตกรรม ว่า แสง สีที่สมจริงมาก ๆ เหมือนเห็นปลาว่ายน้ำอยู่จริง ๆ
พร้อมกับมีการท้าทายผู้ร่วมงานว่า หากใครสามารถจับปลาที่ว่ายได้ก็มารับทีวีไปฟรี ๆ
(ซึ่งจริง ๆ มันจับไม่ได้เพราะเป็นแสง สี ของเทคโนโลยีที่สร้างขึ้น) แต่พอถึงช่วงที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จมาที่บูท จู่ ๆ พระองค์ก็ตรัสว่า “เราจับได้แล้ว”
ถึงกับเรียกเสียงฮือฮาด้วยความสงสัยว่า พระองค์ทรงจับได้อย่างไร ? ปรากฏว่าพระองค์ทรงชูรูปให้ผู้บรรยายดูว่า
“มันอยู่ในนี้” (เป็นรูปที่ทรงถ่ายนั่นเอง) เจ้าของสินค้าจึงต้องถวายทีวีไปโดยปริยาย
“งานนี้เรียกรอยยิ้มจากผู้คนในงาน
สร้างความสุขกันไปได้แบบน่ารักจากพระราชปฏิภาณอันคาดไม่ถึง
(ภาพอาจไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์แต่ขออนุญาตนำมาประดับด้วยความสวยงามนะครับ ขอบคุณภาพจาก Pantip)
--------------
(ขอขอบพระคุณภาพจากเว็บไซท์ New-lifstyle)
#เหตุการณ์นี้มีความพีค เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่พ่อหลวงของเราเสด็จไปเยี่ยมชาวไทยภูเขาที่ อ.ฝาง จังหวัดเชียงใหม่
ทำให้พระองค์ได้รู้จักกับผู้ใหญ่บ้านชาวมูเซอนาม “แสนคำลือ” ด้วยความไม่ถือพระองค์ทำให้ผู้ใหญ่บ้านท่านนี้คิดว่า
พระองค์เป็นข้าราชการธรรมดาจึงนำพระองค์ขี่หลังขึ้นดอยมาที่พักเพื่ออยากจะโชว์ว่าร่างกายของเค้านั้นแข็งแรง (เป็นกันเองมาก) ไม่พอ
พอถึงที่พักผู้ใหญ่บ้านยังรินเหล้าพื้นบ้านให้พระองค์ดื่มอีกด้วย แถมมีการโฆษณาอีกว่ากินแล้วร่างกายแข็งแรง มีภรรยาเด็ก (เอาซี้)
แต่พระองค์ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร และยังเข้ากับผู้ใหญ่บ้านไปด้วยดี แต่พอเช้ามานี้พอผู้ใหญ่รู้ความจริงถึงกับล้มตึงไปกับความตกใจกับการไม่ถือตัวของพระองค์
เรียกได้ว่า เล่ากี่ทีก็เรียกรอยยิ้มได้ไม่รู้จบ
ปล.การเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ครั้งนี้ทำให้เกิดโครงการ
“สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” สร้างอาชีพให้กับชาวไทยบนดอย
ให้ห่างไกลจากการปลูกฝิ่นแหล่งกำเนิดของยาเสพติดอีกด้วย
--------------
(ภาพอาจไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์แต่ขอนำมาประดับด้วยความสวยงามนะครับ ขอบคุณภาพจากเว็บ Tnews)
วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมพสกนิกรตามต่างจังหวัด ชาวบ้านต่างมารอรับเสด็จ
ในหลวงมากมายในขณะที่พระองค์ทรงพระดำเนินอยู่นั้น ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาทแล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวงแล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้
แต่ในหลวงก็ทรงเฉย ๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะ พระองค์ทรงตรัสว่า
“เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก”
-เห็นได้เลยว่าแม้ว่าพระองค์ท่านจะเป็นกษัตริย์ที่มีความยิ่งใหญ่
แต่พระองค์ทรงไม่เคยถือตัวเลยแม้แต่น้อย
--------------
(ภาพอาจไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์แต่ขอนำมาประดับด้วยความสวยงามนะครับ ขอบคุณภาพจากเว็บ Pantip)
ตั้งแต่ พ.ศ.2498 เป็นต้นมา เวลาที่พระองค์เสด็จไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น
มักจะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลในถิ่นทุรกันดารย่านหัวหินด้วยพระองค์เองโดยไม่ให้ราษฎรรู้ตัวล่วงหน้า
วันหนึ่งทรงขับรถยนต์ไปเจอราษฎรที่กำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จอย่างสนุกสนานครื้นเครง
และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ จึงไม่ยอมให้รถผ่าน …
“ต้องให้ในหลวงเสด็จฯ ก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้… วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้
เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อน” ราษฎรกล่าว พระองค์จึงทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงออกข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว….
วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้
อย่างเป็นทางการ
พร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตาม และทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้ม
เมื่อวันวานว่า
“วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ..”
เห็นได้เลยว่านอกจากอารมณ์ขันที่พระองค์มีแล้ว
พระองค์ยังทรงไม่เคยละเลยที่จะคิดถึงความสุขของปวงชนชาวไทย
เห็นได้จากการชอบแอบเสด็จไปไม่ให้ราษฎรรู้ตัวนี่แหละครับ ^_^
--------------
(ภาพอาจไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์แต่ขอนำมาประดับด้วยความสวยงามนะครับ ขอบคุณภาพจากเว็บ borkboon )
ครั้งหนึ่งทรงมีพระราชดำรัสกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ในเรื่องของสภาพถนนของภาคใต้เมื่อทรงถามถึงสภาพถนนของสายของรือเสาะ ว่าสภาพเป็นอย่างไร ทางรัฐมนตรีได้ตอบว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนของโครงการเงินกู้ธนาคารโลก ขณะนี้ได้ลงลูกรังไว้แล้ว รถยนต์วิ่งผ่านได้ตลอดปี พระองค์ตรัสกลับทันทีว่า.. “เห็นมีแต่หลานรัง”
ทีมงานพอได้ฟังก็สตั้นครับ งงไปเลย ว่า “หลานรัง” คืออะไร พอคิดได้ก็ต้องร้องอ่อ
แม่รังหมายถึงลูกรังก้อนใหญ่
ลูกรังนั้นมีขนาดเล็กขนาดต่างๆ คละกัน
ดังนั้น คำว่าหลานรังคงหมายถึงลูกรังที่มีขนาดละเอียดมากนั่นเอง…
เพราะฉะนั้นทางที่พระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมา คงจะลื่นมากหรือติดหล่มในเวลาฝนตก
เอาสิ ความใส่ใจของพระองค์นั้นลงลึกถึงขนาดแสดงออกให้เห็นทางด้านภาษากันเลยทีเดียว
งานนี้ไม่ใช่นักภาษาศาสตร์ที่ต้องโฟกัสกับพระราชอารมณ์ขันเท่านั้น
นักบริหารทุกคนควรยกพระองค์เป็นแบบอย่างในการบริหารงานอย่างฉลาดและมีอารมณ์ขัน
--------------
(ภาพอาจไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์แต่ขอนำมาประดับด้วยความสวยงามนะครับ ขอบคุณภาพจากเว็บ Oknation)
“ผู้หญิงตกเป็นของใคร?”
บางครั้งในหลวงของเราก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว เช่น ชาวเขาคนหนึ่งได้กราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่าเขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่ภรรยา แต่พอภรรยาได้เงินแล้วกลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ รับสั่งเล่าด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า “แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป…ผู้หญิงคนนั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน” รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย “ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้…”
ไม่ใช่แค่สารทุกข์สุขดิบระดับสาธารณูปโภคที่พระองค์ทรงช่วยแก้ไข
ปัญหาครอบครัวพระองค์ก็ไม่ทรงละเลย
--------------
เหตุการณ์ที่ ๘
(ภาพอาจไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์แต่ขอนำมาประดับด้วยความสวยงามนะครับ ขอบคุณภาพจากเว็บ channel news)
ด้วยความที่พระองค์ทรงโปรดการถ่ายภาพต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์จึงไปปรากฏอยู่ในนิตยสาร “สแตนดาร์ด” ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ทรงมีพระราชดำรัสด้วยพระอารมณ์ขันแก่ผู้ใกล้ชิดผู้หนึ่งถึงการเป็นช่างภาพอาชีพของพระองค์ว่า…
“ฉันเป็นกษัตริย์ก็จริง แต่ฉันยังมีอาชีพเป็นช่างภาพของหนังสือพิมพ์สแตนดาร์ด ได้เงินเดือนละ ๑๐๐ บาท ตั้งหลายปีมาแล้ว จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเขาขึ้นเงินเดือนให้สักที เขาก็คงถวายเดือนละ ๑๐๐ บาทอยู่เรื่อยมา”
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความคงเส้นคงวากับสิ่งที่รัก โดยไม่หวังอะไร ทำด้วยความตั้งใจ เฉกเช่นความรักในการถ่ายรูปของพระองค์
--------------
(ขอขอบพระคุณรูปจากเว็บไซต์ Tnews)
และด้วยคุณงามความดีที่พระองค์สั่งสมจนประจักษ์ จึงไม่แปลกนักที่
พสกนิกรไทยจะรักและเทิดทูนล้นเกล้าฯ ของพวกเค้า ไม่เว้นแม้กระทั่ง แม่เฒ่าฒุ้ม จันทนิตย์
วัย ๑๐๒ ปี ผู้นี้ที่เดินทางมารับเสด็จ
พร้อมกับดอกบัวสายสีชมพูจำนวนสามดอก เรียกรอยยิ้มกันสุด ๆ ^_^
(ส่วนตัวคิดว่าภาพนี้น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวไทย
แต่อยากให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้จักกันบ้างเลยนำประวัติมาเล่าให้อ่านกันครับ)
อาจจะปนๆ กันไปบ้างนะครับ ระหว่าง พระราชอารมณ์ขันที่สร้างรอยยิ้ม รวมไปถึงความน่ารัก
น่าเอ็นดูของพสกนิกรชาวไทยทั่วทุกสารทิศที่พยายามคิดดีทำดี จนทำให้พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา
แย้มพระสรวลออก ในขณะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อย
วันนี้ ผมเลยอยากจะชวนทุกคนมาตั้งปณิธานความดีกัน ว่าจะทำอะไร เพื่อสานต่อพระราชปณิธานได้บ้าง
ร่วมกันลงชื่อ พร้อมกับข้อความในใจที่อยากจะคิดดีทำดีกันที่เว็บนี้ครับ
www.ทำดีตามพ่อ.com
เชื่อว่าพระองค์ท่านต้องทรงกำลังทอดพระเนตรและแย้มพระสรวลลงมาแน่ๆ