LF Project (Love Friend Project) บทที่ 1 : มาเป็นแฟนกันเถอะ (ตอนที่ 1-3)

บทที่ 1 : มาเป็นแฟนกันเถอะ

บ่ายวันอาทิตย์ที่ร้านกาแฟบรรยากาศดีๆร้านหนึ่ง ขณะนี้ผมกำลังนั่งพิงเก้าอี้แบบชิวๆ โดยมือซ้ายถือหูแก้วม็อคคาและมือขวาถือช้อนพร้อมกับคนเบาๆเพื่อให้น้ำเชื่อมช็อคโกแล็ตข้างใต้ขึ้นมาผสมกับกาแฟ

วันนี้เป็นวันชิวๆแต่ผมก็ไม่ได้มาคนเดียวหรอกนะ ตรงกันข้ามผมก็มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งที่มาด้วยกัน ตาโต คิ้วเข้ม ผมเส้นใหญ่หนาดำสนิทแต่ตัดสั้น ผิวขาวสะอาด ชอบยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่แก้ม ขนาดตัวค่อนไปทางตัวเล็ก นั้นแหละคือลักษณะของผู้หญิงคนนั้น แต่อย่าคิดนะว่าเธอคนนั้นจะเป็นแฟนผม ขอบอกไว้ตั้งแต่เริ่มเลยแล้วกันว่าเราเป็นเพื่อนกัน

ตอนนี้ผมกำลังยกแก้วแล้วจิบอย่างช้าๆ
ขอแนะนำก่อนแล้วกันผู้หญิงคนนี้ชื่อ "ขิม" ผมคิดว่าสำหรับผมและเพื่อนๆ คงคิดว่ายัยนี่เหมาะสำหรับคบเป็นเพื่อนแบบบ้าๆชิวๆมากกว่า เพราะ นิสัยบ้าบอประหลาดๆของเธอนั่นแหละ ทั้งๆที่เกือบทุกอย่างจะเกินมาตรฐานผู้หญิงทั่วไปแท้ๆ ถ้าเป็นไลท์โนเวลคงจะบอกประมาณว่า เป็นพวกเสียดายของแน่ ส่วนนิสัยที่ว่าบ้าๆบอๆนั้นก็คือ.......

"นี่ วิทย์" จู่ๆ ขิมก็หันมาทางผมแล้วทักมา
"หือออ" ตัวผมที่ยังอมม็อคคาอยู่ในปากก็พึมพำกลับไป

"เรามาเป็นแฟนกันเถอะ" ......... (^_^)

"พรวววด" นั่นเป็นเสียงม็อคคาที่กระสวกออกมาจากการสำลักของผม
"ขิมจะบ้าหรอหมายความว่าไง"
"ก็หมายความอย่างที่พูดนั้นแหละ"
ผมพยายามตั้งสติอยู่พักนึงแล้วนึกถึงเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อน เรากับเพื่อนไปทานอาหารกัน แล้วรู้สึกว่า ขิม จะบ่นๆว่าพวกผู้หญิงที่แผนกเธอ มีแฟนกันหมดทุกคนแล้ว และหลายคนกำลังวางแผนแต่งงานอยู่
โอเค ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้ว ขิมคงจะโดนสภาพแวดล้อมจากที่ทำงานมากดดันเรื่องที่ตัวเองไม่มีแฟนแน่ๆจนเสียสติ แต่ทำไมต้องเป็นตูด้วยละ ทำไมไม่เป็นคนอื่น
"แล้วทำไมต้องเป็นอั๊วด้วยละ" ผมลองถามเพื่อหยั่งเชิงไป
"ก็วันนี้นายว่างนี่นา"
..........ผมหยุดคิดชั่วครู่และค่อนข้างเข้าใจว่า ยัยนี่เสียสติแล้วแน่ๆ

"ลองคิดดูนะ ขิม ถ้าเราเป็นแฟนกัน ตอนเดินต้องจับมือกัน ดูหนังต้องจับมือกัน แล้วพอมาส่งถึงห้องเธอต้องหอมแก้มหนึ่งทีก่อนกลับ เธอจะทำแบบนั้นได้หรอ" ผมลองถามไปอีกครั้ง

ขิม หยุดคิด
"5555 ไม่ทางหรอก ฉันไม่มีทำเรื่องอย่างนั้นกับผู้ชายประเภทแบบนายได้หรอก"

"เธอมันเสียสติ" ผมพูดออกไปทันทีหลังเธอพูดจบ

เราสองคนจ้องหน้ากันชั่วหนึ่ง แล้วกับไปนั่งจิบกาแฟกันชิวๆอีกครั้ง



หลังจากที่ขิมนั่งเงียบได้สักสองนาทีก็เริ่มเอ่ยอะไรออกมา

"นายนี่เป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องเลยนะ มิน่าเลยยังโสดอยู่"
"เธอก็โสดเหมือนกันไม่ใช่หรอ" ผมตอบกลับไปทันที
"โฮะ โฮะ ถึงฉันจะโสด แต่ฉันก็เลือกได้นะ ที่โสดเพราะว่าเลือกจะโสดเองแหละ"
"จริง หรือ"
ขิม หันมาจ้องทางผมทำสายตาจริงจังแล้วพูดว่า
"จริง ซะยิ่งกว่าจริง" หลังจากพูดก็ยิ้มที่มุมปากพร้อมตาหยีๆเหมือนกับเป็นผู้ชนะ ซึ่งจากที่เธอพูดมามันก็คงจริงนั้นแหละ เป็นผู้ชายอื่นๆหลายคนคงจะชอบเธอได้อย่างง่ายๆแต่ก็เพราะว่าไม่ได้เห็นนิสัยและความบ้าๆบวมๆของเธอนั่นนะ (T_T)

"ไม่อยากมีแฟนแล้วอะ" ผมฟังโดยไม่ตอบกลับอะไร
"ต้องทำนู่นทำนี่ เพื่อให้อีกฝ่ายนึงสนใจ" ผมยังเงียบอยู่
"พอมีเรื่องอะไรให้คิดสักนิดหน่อยก็คงผิดใจ"
"สุดท้ายก็ต้องตามง้ออีกฝ่ายไม่ก็โดนอีกฝ่ายง้อ"
"คิดไปคิดมาการมีแฟนไม่มีอะไรดีเลย" พูดอย่างกับคนเคยมีแฟนเลยนะเป็นสิ่งทีผมคิด

"นี่วิทย์" ขิมหันมามองหน้าผมอีกครั้ง ไม่ใช่สิน่าจะเรียกว่าจ้องตาผมต่างหาก
"อะ อะไรหรอ"

"เรา มาแต่งงานกันเถอะ" ................. (O_O)

"จะบ้าอะไรอีกกกกกกกกก" ผมตะโกนกลับไปทั้งพร้อมกัดฟัน
"ไม่ได้หรอ" ขิมทำแก้มปล่องพร้อมเหมือนทำหน้าไม่พอใจ

"แต่ที่จริงแล้ว ถ้าฉันแต่งกับนายก็คงจะรู้สึกหยะแหยงตัวเองมากเลยแหละ" เฮ๊ยๆ นี่เธอบอกกับผู้ชายที่ตัวเองเพิ่งขอแต่งงานอย่างนี้หรอ ผมคิดเช่นนั้น
"แค่อยากอยู่ดีๆก็ตื่นขึ้นมา แล้วรู้ว่าตัวเองแต่งงานกับเจ้าชายของประเทศไหนสักแห่ง แค่นั้นก็พอ"

"อือ"
ผมหยิบมือถือจากกระเป๋ากางเกง พร้อมเลือกเบอร์จากหน้าจอ พอเริ่มมีการตอบรับผมก็พูดขึ้นมาว่า
"ไม่ว่าตอนนี้ติดธุระสำคัญอะไรอยู่ ให้ช่วยมาหาด่วน ฉันรับมือไม่ไหวแล้ว"
"ที่ร้าน Coffee Obi เข้าใจนะ"
ผมคุยกับคนในมือถือต่อสักพักพอเรียบร้อยแล้วก็วางลง

ตอนนั้นผมลองหันไปมองทาง ขิม ก็กำลังยิ้มตาหยีพร้อมสั่นหัวเบาๆไปมาซ้ายขวางกๆ เหมือนไม่รู้ว่าคนอื่นกำลังทุกร้อนอะไรเลย



"เมื่อกี้โทรหาใครหรอวิทย์" ขิมถามผมขึ้นมา
"โทรหาเจ้าคลิฟ คนบ้าต้องต่อกรด้วยคนบ้านั้นแหละถึงจะดี"
"นี่นายแอบว่าฉันหรอ"
"เปล่าๆ ว่าตรงเลยนี่แหละ" ผมตอบไปส่วนขิมก็ทำแก้มป่องใส่อีกครั้ง

"นี่ พวกนาย"
อยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง ผมจึงหันหลังไปดู
"อ่าวไง ต๊ะ" ผมทักทายเพื่อนคนนั้นไป
"มีเรื่องด่วนอะไรเลยโทรมา ละ"
"ก็ยัยขิมนี่โทรเรียกอั๊วออกมาแล้วมาพูด....... เอ๊ะ อั๊วโทรหาคลิฟนี่แล้วทำไมเป็นนายมา...."
ตอนนั้นก็มีเพื่อนผมอีกสองคนออกมา
"ไง...ขิม" เพื่อนผมอีกคนชื่อ เล ทักทายขึ้นมาโดยสีหน้านิ่งๆ
"หวัดดี จ้ะ"
"ก็ฉันรับนี่แหละ พอดีอยู่กับพวกนี้พอดี" ส่วนคนนี้ก็คือ คลิฟ คนบ้าอีกคนที่ผมเรียกมาเพื่อต่อกรกับขิม
"แล้วมารวมตัวกันอะไร"
"ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เมื่อคืนตั้งวงเล่นเพลงที่แต่งกันก็เลยนอนกันข้างบนนี้แหละ ความจริงก็เพิ่งตื่นกัน"
"อ่ะ งั้นหรอ"
พอผมลองพยายามคิดอีกที ที่ขิมบอกวันนี้มีผมว่างคนเดียวก็อย่างนี้นี่เอง คือว่าเมื่อวานตอนเย็นทางคลิฟโทรมาชวนเรื่องที่จะลองแต่งเพลงกันสักเพลง แต่ผมดันมีโอทีพอดีเลยปฎิเสธไปเพราะต้องการพักผ่อนสักหน่อย ดันลืมเรื่องนี้ไปเลย

"เดี๋ยว ขอเดาก่อนนะสาเหตุที่นายโทรเรียกให้ฉันรีบมา"
"อืม อืม" ดูท่าทางคลิฟกำลังใช้ความคิด
"ที่เรียกพวกเรามาเพราะจะให้มาฟังเรื่องที่นายกับขิมตกลงจะคบกันใช่ไหมละ"
"จะบ้าหรออออออ ไร้สาระ" ผมปฎิเสธทันที
ผมได้แต่นึกว่า คนบ้า นี่มันสุดยอดจริงขนาดไม่ได้ร่วมวงคุยกันแต่แรกแท้ๆ แต่ดันมาคิดอะไรที่ถึงไม่ตรงแต่เกี่ยวเนื่องกันได้ขนาดนี้
แต่ตอนนั้นผมก็แปลกใจอยู่ที่ต๊ะทำหน้าตาตกใจแปลกๆหลังจากที่คลิฟพูดออกไป

"นี่ๆ เอา อเมริกาโน่ ลาเต้ และคาปู มาอย่างละหนึ่งนะ" คลิฟตะโกนบอกบาริสต้าที่ที่เคาท์เตอร์

ความจริงแล้วร้านกาแฟร้านนี้ก็ไม่ใช่ของใครหรอก
เจ้าของก็คือคลิฟนี่แหละ

"วิทย์ ขิง ถ้าจะสั่งอะไรเพิ่มก็ได้นะวันนี้ฉันเลี้ยง" คลิฟถามมา

"เลี้ยงจริงงะ เมื่อกี๊เพิ่งทานลาเต้มา งั้นขอเป็นชาเขียวปั้นแล้วกัน" ขิมตอบไป

"ขอเป็นดับเบิ้ลริสเทรตโต้ เลยแล้วกัน"

"เฮ๊ยวิทย์ เพิ่งกินมาไม่ใช่รึ แรงไปเปล่า"
"ไม่หรอก เวลาแบบนี้อะไรที่มันแรงๆได้ก็ยิ่งดี"
"โอเคๆ" คลิฟ พูดขึ้นแล้วก็เดินไปที่เคาท์เตอร์

ตึกๆ ตึกๆ

ผมได้ยินเหมือนเสียงคนประมาณสองสามคนเดินกันเลยหันไป

"ไง ขิม ที่เรียกพวกเรามามีเรื่องอะไรจะบอกหรอ"

สิ่งที่ผมเห็นก็คือกลุ่มของสาวๆสามคนซึ่งทั้งสามคนพอเห็นแค่ชั่วครู่เดี่ยวก็จะรู้เลยว่าเกินมาตรฐานผู้หญิงทั่วไปมากๆ

แต่ขอบอกไว้นะเธอพวกนี้ก็เป็นพวกเสียของไม่ต่างจากขิมหรอก เฮ่อ.....

To be continues................

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่