จ่าโบ่ ชุมชนแห่งสายหมอก นั่งเพลินชมวิวกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขา เดินป่าขึ้นถ้ำ พักโฮมสเตย์ สัมผัสมิตรไมตรีชนเผ่าลาหู่
เคลิบเคลิ้มลมหนาว ดวงดาว และทางช้างเผือก
แรกเริ่มทริปนี้ เกิดจากการที่พวกเราต้องลงพื้นที่เพื่อศึกษาวิชา การวางแผนและพัฒนาท่องเที่ยวชุมชน (CBT)
ในเดือนตุลาคม ลมหนาวเริ่มลอยมา อากาศเริ่มเย็นลง ทำให้เราตัดสินใจไปหมู่บ้านจ่าโบ่เพราะอยากกินก๋วยเตี๋ยว อยากเห็นวิวหลักล้าน ว่าจะสวยอย่างที่ว่าหรือเปล่า
ก่อนที่จะเดินทางเราต้องติดต่อกับพี่ ศรชัย ไพรเนติธรรม ซึ่งเป็นผู้ติดต่อประสานงาน (หากใครอยากไปพักโฮมสเตย์แบบพวกเราต้องติดต่อพี่ศรชัย ก่อนนะจ๊ะ Facebook : cbtbaanjabo) พี่ศรชัยจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชน ค่าใช้จ่ายต่างๆในการท่องเที่ยว และเมื่อไปถึงหมู่บ้านพี่ศรชัยจะเป็นผู้ดูแลพวกเราตลอดทริป
ระยะเวลาเข้าพักของพวกเราคือ 3 วัน 2 คืน เดินทางไปและกลับโดยรถบัส เดินทางตอนกลางคืนวันที่ 17 ตุลาคม ถึงเช้า วันที่ 18 ตุลาคม
18 ตุลาคม 2559 เวลา 17.00 น.
พร้อมกันที่ ท่ารถสมบัติทัวร์ ถนนวิภาวดี ขึ้นรถเวลา 17.30 น.
ในระหว่างนั้นตอนประมาน 21.00 น. ทางบริษัทสมบัติทัวร์ก็มีร้านอาหารให้เราเข้าไปรับประทานอาหาร ฟรี ย้ำว่าฟรีค่ะ! 555 เพราะเหมือนค่าอาหารจะรวมอยู่ในค่าตั๋วรถแล้ว จากนั้นก็นั่งยาวๆต่อไป ใช้ระยะเวลาในการเดินทางทั้งหมด 13 ชั่วโมงเศษๆในการนั่งรถ
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงขนส่งจังหวัดแม่ฮ่องสอน เวลาประมาณ 08.30 น. เมื่อเราถึงปุ๊บเราก็เจอกับพี่ศรชัยที่มารอรับอยู่แล้ว พี่ศรชัยอาสาขับรถมารับพวกเราที่ขนส่งและพาไปยังหมู่บ้านจ่าโบ่ ในระหว่างการเดินทางไปยังหมู่บ้านพี่ศรชัยก็จะพาพวกเราแวะไปสถานที่ท่องเที่ยวก่อนที่จะถึงหมู่บ้าน เอาว่ะ ไหนๆก็มาแล้วถึงหน้าจะสด ฟันก็ไม่ได้แปรง เพื่อนจะรับไม่ได้ก็ต้องรับให้ได้แล้วละงานนี้ =.=
สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่พี่ศรชัยพาเราไป ชื่อว่าวัดพระธาตุดอยกองมู ได้ไหว้พระทำบุญ ขอพรตามความเชื่อกันค่ะ
ก่อนจะออกเดินทางไปสถานที่ต่อไป แวะจิบกาแฟยามเช้าสักหน่อย ร้านอยู่บริเวณที่จอดรถวัดพระธาตุดอยกองมู
จากนั้นเราเดินทางไปต่อกันที่ สะพานซูตองเป้
สะพานซูตองเป้ เป็นสะพานไม้ยาวประมาณ 500เมตร ซูตองเป้เป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่า อธิษฐานสำเร็จ ซึ่งมีความเชื่อกันว่า หากได้มายืนอยู่กลางสะพานแล้วอธิษฐานขอความ ความสำเร็จใดๆ ก็จะพบกับความสมหวัง นับว่าเป็นสะพานไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย สะพานซูตองเป้ เป็นสะพานที่เกิดจาก ความศรัทธาและการร่วมแรงร่วมใจของพระภิกษุสงฆ์และชาวบ้านที่ต่างก็ช่วยกันลงแรงสานพื้นสะพานด้วยไม้ไผ่ทอดยาว ไปบนที่นาของเจ้าของที่อุทิศผืนนาถวาย โดยสร้างเพื่อเชื่อมต่อระหว่างสวนธรรมภูสมะและหมู่บ้านกุงไม้สัก ข้ามผ่านทุ่งนา และแม่น้ำสายเล็กๆ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์และชาวบ้านที่อยู่อีกฝั่งได้ใช้สัญจรไป มาระหว่างหมู่บ้านได้สะดวกยิ่งขึ้น
ตอนนี้เราเดินทางมาถึงถ้ำปลากันแล้วจ้า
ถ้ำปลาตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ ตำบลห้วยผา จังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณโดยรอบเป็นลำธารและป่า ภายในแอ่งน้ำมีน้ำไหลออกจากถ้ำใต้ภูเขาอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสถานที่ที่มีความพิเศษ แตกต่างไปจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ เนื่องจากว่าภายในถ้ำมีความมหัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง
ก็คือ บรรดาหมู่ปลาจำนวนมากที่มาอยู่อาศัยในถ้ำแห่งนี้ ปลาที่อาศัยอยู่บริเวณนี้เป็น ปลามุง ปลาคัง หรือปลาพลวง เป็นปลามีเกล็ดขนาดใหญ่ในวงศ์เดียวกับปลาคาร์ฟ และถึงแม้จะมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอันตราย เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นปลาเจ้า หากใครนำไปรับประทานแล้วจะต้องมีอันเป็นไป สำหรับค่าผ่านประตูเข้าไปยังถ้ำปลานั้นมีค่าใช้จ่ายเพียงท่านละ 20 บาทเท่านั้น
จากนั้นมาเราก็เดินทางกันต่อมายังหมู่บ้านจ่าโบ่
นั่งรถกันมาประมาณ 30 นาที ในที่สุดเราก็ถึงหมู่บ้านแล้วววววว
ถึงปุ๊บพี่ศรชัยก็พาพวกเราไปตามบ้านพักที่เค้าได้จัดไว้ให้ โดยแยกกันอยู่ หลังละ 3 คน เพื่อการดูแลได้อย่างทั่วถึง
เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับหน้าบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ประทับใจตั้งแต่แรกเริ่มเลยจ้า
หลังจากเราเก็บสัมภาระอาบน้ำล้างหน้าเรียบร้อย เราก็รีบบึ่งออกมากินก๋วยเตี๋ยวห้อยขาที่เค้าเรียกว่าเป็นจุดพีคของที่นี้เลยก็ว่าได้
เดินออกมาจากบ้านเพียง 20 ก้าวเราก็ได้มาลิ้มลองรสชาติก๋วยเตี๋ยวที่เค้าลือกันว่า ราคาหลักสิบวิวหลักล้าน
ช่วงนี้เป็นเวลาประมานบ่าย 3 โมง แม้จะไม่มีหมอกสวยๆ แต่วิวดีงาม
พรุ่งนี้เช้าจะตื่นมานั่งกินกันอีก (แต่เอาเข้าจริงๆพวกเราก็ตื่นมากินกันทุกเช้าจนพี่เจ้าของร้านจำหน้ากันได้)
ถัดมาหลังจากอิ่มท้องกันแล้วพวกเราก็มาที่จุดถ่ายรูปชมวิวซึ่งอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวนั่นเอง
พอถ่ายรูปอะไรกันเสร็จ เราก็ไปนั่งคุยเล่นกับพี่ศรชัยเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนจ่าโบ่แห่งนี้
เสร็จจากนั้นเจ้าของบ้านก็มาตามให้กลับไปกินข้าวที่บ้าน เป็นกับข้าวฝีมือเจ้าของบ้าน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเมนูอาหารที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับพวกเรา แต่รสชาตินี้จัดว่าใช้ได้เลยโดยเฉพาะน้ำพริกซึ่งมีทุกมื้อ จัดว่าเด็ด
ในมื้อนี้ก็มีพี่ศรชัยมาร่วมโต๊ะด้วย ตอนแรกพวกเราคิดกันว่ากินกันเสร็จก็จะช่วยเค้าเก็บล้างจานตามมารยาท แต่พี่เค้าบอกว่าวัฒนธรรมของที่นี่คือ เราจะต้องไปไม่ช่วย กินเสร็จต้องให้เจ้าของบ้านเก็บล้างเอง เหมือนเป็นการต้อนรับตอนแรกก็คิดว่าพี่เค้าพูดเล่น แต่พี่เค้าบอกว่าเรื่องจริง อะ ไหนๆก็เป็นงั้นแล้ว ก็แล้วไปละกัน
เวลา 1 ทุ่ม พี่เค้าก็ชวนพวกเราไปนั่งดูดาวตอนกลางคืน โอแม่เจ้า มันสวยมากกกก ก ไก่ล้านตัว ดาวเยอะมาก เห็นทางช้างเผือกชัดเจนที่สุดตั้งแต่เกิดมา และด้วยความที่พี่ศรชัยแกเป็นช่างกล้องอยู่แล้ว พี่เค้าเลยสอนพวกเราถ่ายรูปผ่านกล้องถ่ายรูปของพวกเราเอง ซึ่งสวยมาก
ดาวจะมีเยอะที่สุดก็ตอน 1ทุ่ม 2 ทุ่มเท่านั้น เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่พระจันทร์ยังไม่ขึ้น เลยทำให้ท้องฟ้ายังมืดและมองเห็นดาวชัด
หลังจากดูดาวเสร็จพี่ศรชัยก็บอกรายการของเช้าวันรุ่งขึ้นว่าเราต้องไปเดินป่า ซึ่งต้องออกเดินทางกันตั้งแต่ 9 โมง และด้วยความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถบัสมาเป็นเวลากว่าสิบชั่วโมงทำให้พวกเราเริ่มงัวเงียกันอีก เราจึงแยกย้ายกันไปนอน เตรียมพร้อมกับการเดินป่าในวันพรุ่งนี้
ตอนกลางคืนที่นี่อากาศเริ่มเย็นมากๆ น้ำนี้เย็นเจี๊ยบสุดๆ ไม่อยากจะนึกถึงพรุ่งนี้เช้าเลยว่าการล้างหน้าแปรงฟันในตอนเช้าจะเป็นยังไง
สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์คะ
19 ตุลาคม 2559
สวัสดีเช้าวันใหม่ในตอนนั้นตื่นกันตอน 7 โมงกว่าๆ ซึ่งไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเลย
เพราะมีนาฬิกาปลุกธรรมชาตินั่นก็คือไก่นั่นเอง แข่งกันขันตั้งแต่ตี 4 ตี 5 เลย จนต้องลุกขึ้นมา
ด้วยความที่บ้านที่เราพักถ้าออกมายืนตรงระเบียงจะเห็นทิวทัศน์ภูเขาที่สวยมาก และหมอกจางๆ ซึ่งได้จินตนาการไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืนว่าพรุ่งนี้จะต้องตื่นขึ้นมาดูหมอกจางๆกับไออุ่นๆยามเช้าให้ได้
เมื่อตื่นมาสิ่งที่เจอคือ
อากาศดีมาก แต่เช้านี้หมอกหนาเกินจึงทำให้ไม่ค่อยเห็นวิวของภูเขา
เมื่อเราอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ พวกเราก็ไปรอพี่ศรชัยที่ร้านก๋วยเตี๋ยว รับประทานอาหารเช้าห้อยขารอ
พวกเราก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศตอนเช้ากันสนุกสนาน ห้อยขาชมวิวกินก๋วยเตี๋ยวยามเช้ากับหมอกหนาๆและควันก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ เป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้ในชีวิตประจำวัน
เวลาเกือบจะ 9 โมง ก็ได้เจอพี่ศรชัยตามเวลา เมื่อพร้อมแล้วพี่ศรชัยได้แนะนำให้รู้จักกับไกด์ที่จะพาเราลุยป่าในวันนี้ก็คือ
คุณแม่เจ้าของบ้านที่พวกเราพักอยู่ พี่จ่าคือ และพี่ๆอีกสองคน
เมื่อเราถ่ายรูปกันเสร็จ ร่ำลาพี่ศรชัยเหมือนจะจากกันไปนาน เราก็ได้เริ่มเดินทางเข้าสู่ป่ากันแล้วจ้า สู้ตาย !!
[CR] จ่าโบ่ ชุมชนแห่งสายหมอก ณ แม่ฮ่องสอน
เคลิบเคลิ้มลมหนาว ดวงดาว และทางช้างเผือก
แรกเริ่มทริปนี้ เกิดจากการที่พวกเราต้องลงพื้นที่เพื่อศึกษาวิชา การวางแผนและพัฒนาท่องเที่ยวชุมชน (CBT)
ในเดือนตุลาคม ลมหนาวเริ่มลอยมา อากาศเริ่มเย็นลง ทำให้เราตัดสินใจไปหมู่บ้านจ่าโบ่เพราะอยากกินก๋วยเตี๋ยว อยากเห็นวิวหลักล้าน ว่าจะสวยอย่างที่ว่าหรือเปล่า
ก่อนที่จะเดินทางเราต้องติดต่อกับพี่ ศรชัย ไพรเนติธรรม ซึ่งเป็นผู้ติดต่อประสานงาน (หากใครอยากไปพักโฮมสเตย์แบบพวกเราต้องติดต่อพี่ศรชัย ก่อนนะจ๊ะ Facebook : cbtbaanjabo) พี่ศรชัยจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชน ค่าใช้จ่ายต่างๆในการท่องเที่ยว และเมื่อไปถึงหมู่บ้านพี่ศรชัยจะเป็นผู้ดูแลพวกเราตลอดทริป
ระยะเวลาเข้าพักของพวกเราคือ 3 วัน 2 คืน เดินทางไปและกลับโดยรถบัส เดินทางตอนกลางคืนวันที่ 17 ตุลาคม ถึงเช้า วันที่ 18 ตุลาคม
18 ตุลาคม 2559 เวลา 17.00 น.
พร้อมกันที่ ท่ารถสมบัติทัวร์ ถนนวิภาวดี ขึ้นรถเวลา 17.30 น.
ในระหว่างนั้นตอนประมาน 21.00 น. ทางบริษัทสมบัติทัวร์ก็มีร้านอาหารให้เราเข้าไปรับประทานอาหาร ฟรี ย้ำว่าฟรีค่ะ! 555 เพราะเหมือนค่าอาหารจะรวมอยู่ในค่าตั๋วรถแล้ว จากนั้นก็นั่งยาวๆต่อไป ใช้ระยะเวลาในการเดินทางทั้งหมด 13 ชั่วโมงเศษๆในการนั่งรถ
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงขนส่งจังหวัดแม่ฮ่องสอน เวลาประมาณ 08.30 น. เมื่อเราถึงปุ๊บเราก็เจอกับพี่ศรชัยที่มารอรับอยู่แล้ว พี่ศรชัยอาสาขับรถมารับพวกเราที่ขนส่งและพาไปยังหมู่บ้านจ่าโบ่ ในระหว่างการเดินทางไปยังหมู่บ้านพี่ศรชัยก็จะพาพวกเราแวะไปสถานที่ท่องเที่ยวก่อนที่จะถึงหมู่บ้าน เอาว่ะ ไหนๆก็มาแล้วถึงหน้าจะสด ฟันก็ไม่ได้แปรง เพื่อนจะรับไม่ได้ก็ต้องรับให้ได้แล้วละงานนี้ =.=
สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่พี่ศรชัยพาเราไป ชื่อว่าวัดพระธาตุดอยกองมู ได้ไหว้พระทำบุญ ขอพรตามความเชื่อกันค่ะ
ก่อนจะออกเดินทางไปสถานที่ต่อไป แวะจิบกาแฟยามเช้าสักหน่อย ร้านอยู่บริเวณที่จอดรถวัดพระธาตุดอยกองมู
จากนั้นเราเดินทางไปต่อกันที่ สะพานซูตองเป้
สะพานซูตองเป้ เป็นสะพานไม้ยาวประมาณ 500เมตร ซูตองเป้เป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่า อธิษฐานสำเร็จ ซึ่งมีความเชื่อกันว่า หากได้มายืนอยู่กลางสะพานแล้วอธิษฐานขอความ ความสำเร็จใดๆ ก็จะพบกับความสมหวัง นับว่าเป็นสะพานไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย สะพานซูตองเป้ เป็นสะพานที่เกิดจาก ความศรัทธาและการร่วมแรงร่วมใจของพระภิกษุสงฆ์และชาวบ้านที่ต่างก็ช่วยกันลงแรงสานพื้นสะพานด้วยไม้ไผ่ทอดยาว ไปบนที่นาของเจ้าของที่อุทิศผืนนาถวาย โดยสร้างเพื่อเชื่อมต่อระหว่างสวนธรรมภูสมะและหมู่บ้านกุงไม้สัก ข้ามผ่านทุ่งนา และแม่น้ำสายเล็กๆ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์และชาวบ้านที่อยู่อีกฝั่งได้ใช้สัญจรไป มาระหว่างหมู่บ้านได้สะดวกยิ่งขึ้น
ตอนนี้เราเดินทางมาถึงถ้ำปลากันแล้วจ้า
ถ้ำปลาตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ ตำบลห้วยผา จังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณโดยรอบเป็นลำธารและป่า ภายในแอ่งน้ำมีน้ำไหลออกจากถ้ำใต้ภูเขาอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสถานที่ที่มีความพิเศษ แตกต่างไปจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ เนื่องจากว่าภายในถ้ำมีความมหัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง
ก็คือ บรรดาหมู่ปลาจำนวนมากที่มาอยู่อาศัยในถ้ำแห่งนี้ ปลาที่อาศัยอยู่บริเวณนี้เป็น ปลามุง ปลาคัง หรือปลาพลวง เป็นปลามีเกล็ดขนาดใหญ่ในวงศ์เดียวกับปลาคาร์ฟ และถึงแม้จะมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอันตราย เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นปลาเจ้า หากใครนำไปรับประทานแล้วจะต้องมีอันเป็นไป สำหรับค่าผ่านประตูเข้าไปยังถ้ำปลานั้นมีค่าใช้จ่ายเพียงท่านละ 20 บาทเท่านั้น
จากนั้นมาเราก็เดินทางกันต่อมายังหมู่บ้านจ่าโบ่
นั่งรถกันมาประมาณ 30 นาที ในที่สุดเราก็ถึงหมู่บ้านแล้วววววว
ถึงปุ๊บพี่ศรชัยก็พาพวกเราไปตามบ้านพักที่เค้าได้จัดไว้ให้ โดยแยกกันอยู่ หลังละ 3 คน เพื่อการดูแลได้อย่างทั่วถึง
เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับหน้าบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ประทับใจตั้งแต่แรกเริ่มเลยจ้า
หลังจากเราเก็บสัมภาระอาบน้ำล้างหน้าเรียบร้อย เราก็รีบบึ่งออกมากินก๋วยเตี๋ยวห้อยขาที่เค้าเรียกว่าเป็นจุดพีคของที่นี้เลยก็ว่าได้
เดินออกมาจากบ้านเพียง 20 ก้าวเราก็ได้มาลิ้มลองรสชาติก๋วยเตี๋ยวที่เค้าลือกันว่า ราคาหลักสิบวิวหลักล้าน
ช่วงนี้เป็นเวลาประมานบ่าย 3 โมง แม้จะไม่มีหมอกสวยๆ แต่วิวดีงาม
พรุ่งนี้เช้าจะตื่นมานั่งกินกันอีก (แต่เอาเข้าจริงๆพวกเราก็ตื่นมากินกันทุกเช้าจนพี่เจ้าของร้านจำหน้ากันได้)
ถัดมาหลังจากอิ่มท้องกันแล้วพวกเราก็มาที่จุดถ่ายรูปชมวิวซึ่งอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวนั่นเอง
พอถ่ายรูปอะไรกันเสร็จ เราก็ไปนั่งคุยเล่นกับพี่ศรชัยเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนจ่าโบ่แห่งนี้
เสร็จจากนั้นเจ้าของบ้านก็มาตามให้กลับไปกินข้าวที่บ้าน เป็นกับข้าวฝีมือเจ้าของบ้าน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเมนูอาหารที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับพวกเรา แต่รสชาตินี้จัดว่าใช้ได้เลยโดยเฉพาะน้ำพริกซึ่งมีทุกมื้อ จัดว่าเด็ด
ในมื้อนี้ก็มีพี่ศรชัยมาร่วมโต๊ะด้วย ตอนแรกพวกเราคิดกันว่ากินกันเสร็จก็จะช่วยเค้าเก็บล้างจานตามมารยาท แต่พี่เค้าบอกว่าวัฒนธรรมของที่นี่คือ เราจะต้องไปไม่ช่วย กินเสร็จต้องให้เจ้าของบ้านเก็บล้างเอง เหมือนเป็นการต้อนรับตอนแรกก็คิดว่าพี่เค้าพูดเล่น แต่พี่เค้าบอกว่าเรื่องจริง อะ ไหนๆก็เป็นงั้นแล้ว ก็แล้วไปละกัน
เวลา 1 ทุ่ม พี่เค้าก็ชวนพวกเราไปนั่งดูดาวตอนกลางคืน โอแม่เจ้า มันสวยมากกกก ก ไก่ล้านตัว ดาวเยอะมาก เห็นทางช้างเผือกชัดเจนที่สุดตั้งแต่เกิดมา และด้วยความที่พี่ศรชัยแกเป็นช่างกล้องอยู่แล้ว พี่เค้าเลยสอนพวกเราถ่ายรูปผ่านกล้องถ่ายรูปของพวกเราเอง ซึ่งสวยมาก
ดาวจะมีเยอะที่สุดก็ตอน 1ทุ่ม 2 ทุ่มเท่านั้น เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่พระจันทร์ยังไม่ขึ้น เลยทำให้ท้องฟ้ายังมืดและมองเห็นดาวชัด
หลังจากดูดาวเสร็จพี่ศรชัยก็บอกรายการของเช้าวันรุ่งขึ้นว่าเราต้องไปเดินป่า ซึ่งต้องออกเดินทางกันตั้งแต่ 9 โมง และด้วยความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถบัสมาเป็นเวลากว่าสิบชั่วโมงทำให้พวกเราเริ่มงัวเงียกันอีก เราจึงแยกย้ายกันไปนอน เตรียมพร้อมกับการเดินป่าในวันพรุ่งนี้
ตอนกลางคืนที่นี่อากาศเริ่มเย็นมากๆ น้ำนี้เย็นเจี๊ยบสุดๆ ไม่อยากจะนึกถึงพรุ่งนี้เช้าเลยว่าการล้างหน้าแปรงฟันในตอนเช้าจะเป็นยังไง
สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์คะ
19 ตุลาคม 2559
สวัสดีเช้าวันใหม่ในตอนนั้นตื่นกันตอน 7 โมงกว่าๆ ซึ่งไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเลย
เพราะมีนาฬิกาปลุกธรรมชาตินั่นก็คือไก่นั่นเอง แข่งกันขันตั้งแต่ตี 4 ตี 5 เลย จนต้องลุกขึ้นมา
ด้วยความที่บ้านที่เราพักถ้าออกมายืนตรงระเบียงจะเห็นทิวทัศน์ภูเขาที่สวยมาก และหมอกจางๆ ซึ่งได้จินตนาการไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืนว่าพรุ่งนี้จะต้องตื่นขึ้นมาดูหมอกจางๆกับไออุ่นๆยามเช้าให้ได้
เมื่อตื่นมาสิ่งที่เจอคือ
อากาศดีมาก แต่เช้านี้หมอกหนาเกินจึงทำให้ไม่ค่อยเห็นวิวของภูเขา
เมื่อเราอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ พวกเราก็ไปรอพี่ศรชัยที่ร้านก๋วยเตี๋ยว รับประทานอาหารเช้าห้อยขารอ
พวกเราก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศตอนเช้ากันสนุกสนาน ห้อยขาชมวิวกินก๋วยเตี๋ยวยามเช้ากับหมอกหนาๆและควันก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ เป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้ในชีวิตประจำวัน
เวลาเกือบจะ 9 โมง ก็ได้เจอพี่ศรชัยตามเวลา เมื่อพร้อมแล้วพี่ศรชัยได้แนะนำให้รู้จักกับไกด์ที่จะพาเราลุยป่าในวันนี้ก็คือ
คุณแม่เจ้าของบ้านที่พวกเราพักอยู่ พี่จ่าคือ และพี่ๆอีกสองคน
เมื่อเราถ่ายรูปกันเสร็จ ร่ำลาพี่ศรชัยเหมือนจะจากกันไปนาน เราก็ได้เริ่มเดินทางเข้าสู่ป่ากันแล้วจ้า สู้ตาย !!
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น