123 Change!!! - ตอบปัญหายอดนิยม แค่ดมก็อ้วนแล้ว ระบบเผาผลาญพังทำยังไงดี!?


เรียบเรียงบทความมาจาก Live on Fanpage 123Change ของวันอาทิตย์ที่ 27 พ.ย. 59

ก่อนที่จะตอบ ต้องขออ้างอิงข้อมูลเชิงวิชาการเพื่อให้เราได้วิเคราะห์ตัวเองคร่าวๆ
ว่าร่างของเราพังถึงขั้นไหนกัน เพราะความพังแต่ละระดับก็มีวิธีการจัดการต่างกันไป
เวลาที่เราพูดถึงระบบเผาผลาญพังกันอย่างแพร่หลาย พังกันมากมายอย่างกับโรคติดต่อ
ประหนึ่งว่าร่างกายเป็นสินค้าจีนแดงที่พังกันง่ายๆ
โดยส่วนมากมักมีอาการคล้ายกันคือพยายามลดความอ้วนแล้ว น้ำหนักไม่ลด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่าง
บางคนลดลงมาได้แล้วค้างไม่ไปต่อ ทรงๆ แถมมีแกว่งขึ้นในบางครั้ง
ในเชิงวิชาการแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1.    Metabolic Compensation ระดับชดเชย
2.    Metabolic Resistance ระดับต่อต้าน
3.    Metabolic Damage ระดับพังพินาจ

โดยผมจะบอกสาเหตุ-อาการ-วิธีแก้ไขไว้ในแต่ละระดับนะครับ
1. Metabolic Compensation ระดับชดเชย
เกิดจาก การควบคุมอาหารแบบผิดวิธี
จำกัดแคลอรี่ที่น้อยกว่าที่ควรได้รับ รวมถึงการขาดสารอาหาร
โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรทที่เป็นแหล่งพลังงานหลักในการใช้ชีวิต
ทำแบบนี้อย่างต่อเนื่องยาวนาน (มากกว่า 2-3 เดือนขึ้นไป)
โดยอาจเกิดจากการอดเองหรือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยาลดความอ้วน

ในช่วงแรกร่างกายจะใช้วิธีการนำไขมันสะสมและไกลโคเจนจากกล้ามเนื้อมาใช้งาน
จากปกติที่ต้องใช้พลังงานจาก 3 แหล่งคือ กลูโคส ไกลโคเจน และกรดไขมัน
แต่เมื่อตัดคาร์บและจำกัดแครอลี่ทำให้การรับคาร์โบไฮเดรตและพลังงานจากสารอาหารไม่เพียงพอ
ร่างกายก็จะดึงพลังงานของทั้ง 2 ส่วนนี้มากขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้เรามีชีวิตรอด
ปรับตามคำแนะนำของคุณ reni (คห.ที่ 5) เพื่อให้เข้าใจไม่คลาดเคลื่อนครับ

จึงทำให้น้ำหนักและไขมันลดลงมาได้ จึงทำคนส่วนใหญ่นึกว่าเป็นการลดความอ้วนแบบถูกวิธี
เลยใช้วิธีนี้เป็นระยะเวลายาวนาน จนร่างกายเกิดความเครียดสะสม

ตรงนี้ให้ลองนึกภาพตาม
แหล่งพลังงานสำคัญคือคาร์โบไฮเดรตจำกัดและพลังงานโดยรวมได้มาน้อย
แหล่งพลังงานสะสมเดิมก็ร่อยหรอลงทุกวี่วัน
ร่างกายเลยปรับตัวว่านี่ไม่ใช้การขาดอาหารชั่วคราว แต่เป็นเรื่องถาวรแล้ว

อาการ ร่างกายปรับโหมดเข้าสู่ภาวะเตรียมจำศีล
คือการสะสมไขมันไว้ป้องกันว่าเดี๋ยวไม่มีอะไรจะกินจะได้มีแหล่งพลังงานสำรองไว้ใช้งาน
ปรับตัวให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ไม่อยากอาหาร น้ำหนักและสัดส่วนที่เคยลดลงจึงไม่ลงต่อ
แถมอาจมีการดีดกลับ และมีไขมันสะสมที่เพิ่มขึ้น เป็นการชดเชยพฤติกรรมการอดอาหาร

วิธีแก้ไข กลับมาควบคุมอาหารแบบถูกวิธี กินกระจายหลายๆมื้อ
เลือกทานตามคุณภาพของสารอาหาร
ให้อ่านวิธีคุมอาหารที่ถูกต้องจาก http://ppantip.com/topic/35662498
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทั้งการเวทเพื่อสร้างกล้ามเนื้อชดเชยกล้ามเนื้อที่เสียไปและเบิร์นอย่างต่อเนื่อง
กินเยอะ (แบบมีคุณภาพ)+เล่นเยอะ
ในระดับนี้สามารถทำได้เลย เปลี่ยนได้เลย ไม่ต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด
เดี๋ยวร่างกายเรียนรู้ว่าเรามีพฤติกรรมใหม่ร่างกายก็ค่อยๆ ปรับมาได้เอง

2. Metabolic Resistance ระดับต่อต้าน
เกิดจาก พฤติกรรมต่อเนื่องจากการที่ควบคุมอาหารแบบผิดๆ
โดยการอดอาหารและตัดคาร์โบไฮเดรต เป็นระยะเวลายาวนานแล้วน้ำหนักก็ยังไม่ลงสักที
เริ่มกังวลและเครียดมากขึ้น เลยยิ่งเคร่งเครียดกับการคุมอาหาร(แบบผิดๆ)เพิ่มขึ้นอีก
พยายามออกกำลังกายให้หนักหน่วงขึ้น วิธีการไหนที่เค้าว่าเผาผลาญได้มากก็ไปทำ
จะเริ่มค้นคว้าหากระบวนการทฤษฎีที่ล้ำลึกขึ้นเพื่อที่จะช่วยให้รับพลังงานให้น้อยที่สุดและร่างกายเผาผลาญได้สูงสุด
เพื่อจะหลอกร่างกายหนักกว่าเดิม จนทำให้ร่างกายเครียดมากขึ้น
และทำพฤติกรรมสะสมแบบนี้เป็นปี
(คำว่าร่างกายเครียด ไม่ใช่เรามีความเครียดแบบเครียดงาน เครียดความรัก แต่เป็นความตึงเครียดของกลไกของร่างกาย)

อาการ ร่างกายเริ่มกลัวเราตายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพลังงานก็ไม่มี สารอาหารก็ขาดแคลน
แต่เรายังตะบี้ตะบันใช้พลังงานอย่างหักโหม
ระหว่างวันจึงไม่มีเรี่ยวมีแรง เหนื่อยหน่าย ซึมเศร้า สมองไม่แล่น เบลอๆ
รู้สึกร่างกายต้องการความสดชื่น ต้องกินน้ำหวาน ของหวาน และทำให้เรากินแหลกตบะแตกได้ง่ายๆ
แต่ตกกลางคืนจะรู้สึกกระวนกระวาย คึกคัก นอนหลับยาก

วิธีแก้ไข ใครที่มีพฤติกรรมอย่างที่ว่ามาและมีอาการประมาณนี้แล้ว
สิ่งที่ควรทำคือปรับการใช้พลังงานและการรับพลังงานให้สอดคล้องกัน
ซึ่งแน่นอนว่าเราเคยกินน้อยอยู่ ก็ให้เริ่มต้นจาก กินน้อย-เล่นเบา สัก 2-3 สัปดาห์
แล้วไปกินมาก-เล่นมาก อีก 2-3 สัปดาห์ แล้วก็กลับมาใหม่จนร่างกายเริ่มปรับตัวได้
แล้วค่อยไปสู่การควบคุมอาหารและออกกำลังกายปกติ
ระหว่างนี้ให้เลิกคิดคำว่า ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ไปก่อนเลย เพราะนี่คือโหมดฟื้นฟูตัวเอง

กินน้อย-กินมาก ให้สังเกตร่างกาย คือให้กินแบบกระจายมื้อ
เลือกสารอาหารที่ดี แล้วกินให้พออิ่มแล้วหยุด
ถ้ารู้สึกไม่อยากอาหารเลยให้กินกลุ่มโปรตีนที่ย่อยง่ายเช่น ปลา ไข่ เต้าหู้ เวย์ นม
ประกอบกับคาร์โบไฮเดรทที่ดีเล็กน้อยในแต่ละมื้อ
เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานและสารอาหารเพียงพอต่อการฟื้นฟูซ่อมแซมตัวเอง

เล่นเบา คือออกกำลังกายที่ไม่ตึงเครียดหักโหม
อาจใช้วิธีการเดิน เล่นโยคะ ไทชิ รีแลกซ์สุขภาพจิตไปในตัว

เล่นหนัก คือออกกำลังกายแบบปกติคือการเวทและเบิร์น
แต่ไม่ใช่การโหมหนักแบบเอาเป็นเอาตาย

3. Metabolic Damage ระดับพังพินาจ
เกิดจาก คนที่ผ่านขั้นที่ 2 มาแล้ว กินน้อยเล่นหนักมาเป็นปีๆ ก็แล้วแต่ยังไม่ได้ดั่งใจ
ก็ยิ่งโหมทำเพิ่มขึ้นด้วยความเครียดความกดดัน
ที่ว่ากินน้อยแล้วจะยิ่งกินแบบแมวดมจนถึงระดับไม่กินเลยเป็นวันๆ เห็นอะไรก็กลัวอ้วนไปหมด
ออกกำลังกายก็แทบจะสิ้นใจกะเอาให้ตายกันไปข้างนึง

อาการ ชีวิตไร้เรี่ยวแรง ผิวแห้งกร้าน ผมร่วงแห้งกร้าน
หน้าตาหม่นหมองเหมือนโดนของ นอนไม่หลับ Heart Rate ขึ้นสูง กระวนกระวายใจ
ระบบย่อยพัง ท้องอืด ท้องเฟ้อ กรดไหลย้อน ท้องเสีย
ระบบฮอร์โมนจะรวน ผู้หญิงประจำเดือนจะมาไม่ปกติ ผู้ชายจะเซ็กเสื่อม ปิกะจู้ไม่ทำงาน

วิธีแก้ไข อาการเป็นถึงขนาดนี้แล้ว
ผมแนะนำว่าควรไปพบแพทย์ทั้งทางกายภาพเพื่อตรวจร่างกาย
เช็คระดับฮอร์โมนต่างๆ และควรไปหาจิตแพทย์ด้วย
เนื่องจากเราฝังใจกับการลดความอ้วนมากเกิดไปแบบสะสมมาเป็นเวลายาวนาน

*********************************************

จะเห็นว่า เวลาพูดถึงระบบเผาผลาญพังของคนทั่วไปนั้น
ส่วนใหญ่ไม่มีใครไปถึงระดับที่ 3 ที่ระบบเผาผลาญพังพินาจอย่างแท้จริงสักเท่าไหร่
ส่วนมากจะยอมแพ้ยกธงขาว ปล่อยให้อ้วนต่อไปตั้งแต่ระยะที่ 1 ไปจนถึงระยะที่ 2 กันไปก่อนแล้ว
หรือถึงแม้จะเข้ามาในระยะที่ 1 ก็จะยังไม่เข้าระยะที่ 2 แบบต่อเนื่องยาวนานเท่าไหร่
เพราะมันหนักหนาสาหัสมากกับการกินน้อยแต่ออกกำลังกายหนักหน่วง

ผมจึงมักแนะนำหลายคนว่าระบบเผาผลาญมันยังไม่พังหรอกครับ
มันยังดีอยู่มากๆ ด้วย แต่เพราะมันยังตอบสนองไปตามพฤติกรรมที่เราทำ
เพียงแต่เราไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร กลับคิดแค่ว่ากินน้อยออกกำลังกายเยอะก็ควรผอม ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด
ดังนั้นแค่เราเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเดี๋ยวร่างกายมันก็เปลี่ยนตามเอง

และเป็นข่าวดี!!!
เท่าที่ผมเจอทั้งในกระทู้พันทิปหรือที่สอบถามเข้ามา
รวมถึงการสังเกตตัวเองในการลดความอ้วนที่ผ่านๆมาแล้วไม่สำเร็จ
ผมเมื่อก่อนนี้และคนส่วนมากมักยังไม่เริ่มเข้าสู่ระดับที่ 1 ด้วยซ้ำ
ซึ่งในระดับนี้ไม่มีในงานวิชาการรองรับแต่อย่างใด เป็นระยะที่ผมคิดขึ้นเอง เรียกว่า

“Mano Metabolic Damage มโนว่าระบบเผาผลาญพัง”

เกิดจาก ร้อยวันพันปีมีพฤติกรรมการกินที่เหลวแหลก กินกระจายไม่ควบคุม
รวมถึงขี้เกียจสุดๆ ไม่เคยออกกำลังกายแค่คิดว่าต้องออกกำลังกายก็เหนื่อยแล้ว
หวังพึ่งตัวช่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยาลดความอ้วน อาหารเสริม
จะจ่ายเท่าไหร่ไม่ว่าขออย่าได้ให้ขยับตัวเป็นพอ

ตอนกินให้อ้วนขุนกันมาเป็นปีๆ แต่พออยากผอมกลับอยากผอมแบบเสกได้ในวันสองวัน
ใจร้อนอยากได้ผลลัพธ์เร็วๆ เลยเริ่มควบคุมอาหารแบบผิดวิธี อดๆ อยากๆ ตบะแตกง่ายๆ
ออกกำลังกายแบบหนักๆจะได้ลดเร็วๆ เน้นเบิร์นเป็นหลัก เพราะอยากเผาผลาญไขมันเยอะๆ

อาการ ร่างกายยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิต แต่อยากกินนั่นกินนี่ตามพฤติกรรมเดิม
ออกกำลังกายก็เลือกแบบหักโหมหนักๆจะได้ใช้พลังงานเยอะๆจนเหนื่อยเกินไป
ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่อยากออกกำลังกายอยู่แล้ว
พอไปทำอะไรเหนื่อยๆหักโหมยิ่งไม่อยากไปเพราะเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองแบบสุดขั้ว

ส่วนมากเลยทำสักอาทิตย์ 2 อาทิตย์
พอไม่เปลี่ยนแปลงอะไรก็เริ่มหาแพะเพื่อที่จะล้มเลิกความตั้งใจ
ซึ่งแพะที่ดีที่สุดคือ ระบบเผาผลาญพัง!!!
จะพังเพราะอ้วนเกินไป พังเพราะแก่แล้ว พังเพราะเคยกินอาหารเสริมลดความอ้วนมาก่อน
ล้วนเป็นเป็นแพะที่ยกมาอ้างทั้งสิ้น
เพราะไม่อย่างงั้นคนอ้วนเป็นร้อยๆกิโล เค้าก็ต้องไม่มีใครลดได้ คนแก่มากๆ 50-60 ขึ้น ก็ต้องอ้วนกันทุกคน

วิธีแก้ไข ทำความเข้าใจว่าสิ่งที่พังไม่ใช่ระบบเผาผลาญแต่เป็นที่ความคิดของเรา
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการลดความอ้วนแบบถูกวิธีต้องใช้เวลา
มันคือผลจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตแบบสะสม เป็นผลจากไลฟ์สไตล์ของเรา
และผลการลดความอ้วนไม่ได้ลดแบบเป็นเส้นตรงในลักษณะที่ว่า
อยากลด 20 กิโลใน 5 เดือนเลยต้องลดให้ได้เดือนละ 4 กิโล
แต่ในช่วงแรกประมาณ 1-2 เดือน ถ้าเราไม่อ้วนเป็นร้อยกิโล เราจะยังไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนัก
โดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายแบบเวทและเบิร์นไปด้วยจะยิ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงน้อย
ดีไม่ดีน้ำหนักกับขนาดตัวอาจเพิ่มด้วยซ้ำ

อย่างตัวผมเองช่วงเดือนแรกยังทรงๆ
พอเข้าเดือนที่ 2 ถึงเริ่มเห็นรอย 6 แพคคู่แรกแบบจางๆ
หลังจาก เดือนที่ 3 ถึงค่อยๆ เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น ถ้าเราใช้วิธีการที่ถูกต้องแล้ว เราแค่ลงมือทำไปเรื่อยๆแบบไม่เครียด
ทำให้เป็นไลฟ์สไตล์เพื่อที่จะทำได้อย่างต่อเนื่อง
และอย่าไปเปรียบเทียบสรีระกับใครเพราะแต่ละคนมีกรรมพันธุ์ต่างกัน โครงสร้างร่างกายต่างกัน
ขอให้เรารูปร่างดีแบบสุขภาพดี มีความสุขดีกว่าครับ
สู้ๆ กันนะครับทุกคน ใจเย็นๆ ทำได้แน่นอนครับ

Credit: fanpage 123change

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่