จุดเริ่มต้น
ผมจบ ปวส. คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ต่อปริญญาตรีอีก 2ปี ช่วงปี 4 หรือปีสุดท้าย ผมยังเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่คิดอะไรมากมาย เป้าหมายยังไม่มีเลย ผมทำแฟนท้อง รู้สึกกลัวนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรไกล้จะจบแล้วนิ เดี๋ยวก็ได้ทำงาน ต้องเลี้ยงลูกได้แน่ แต่แฟนอยากแต่งงานก่อนลูกจะออกมาดูโลก เดี๋ยวคนนินทา เลยบอกพ่อกะแม่ว่าทางผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงอยากไห้แต่งแล้ว นานมากแล้ว ที่จริงเรามั่นหมายกันไว้นานแล้ว ตั้งแต่ ปวส.1 อยู่ด้วยกันมาตลอด การบอกพ่อกับแม่เลยไม่ใช่เรื่องยาก ผมโทรไปบอกพ่อแม่ไห้รับรู้ แม่มีน้ำเสียงเคลียดนิดหน่อยแล้ววางสายไป ผมไม่ได้ถามหรือสนใจเลยว่าพ่อกับแม่มีตังค์ไหม แม่เงียบไป พ่อบอกว่าเดี๋ยวหาตังก่อน ผมเรียนไปปกติ วันนึงแม่โทรไป บอกว่าได้เลิกแล้วนะ เตรียมตัวเลย ทางบ้านจะเตรียมงานรอ ผมกับแฟนดีใจมาก ผมถามแม่ว่าเอาเงินมาจากไหนตั้งเยอะ แกบอกว่าก็พอมีอยู่ ทำตัวดีๆก็แล้วกัน แต่เงินคงยังไม่พอหรอก ว่าลองยืมกับญาติพี่น้องดู แล้วลูกค่อยหาใช้คืนนะ ผมตอบโอเครเลยครับ
จบแล้วผมจะหางานทำดีๆเงินเดือนสูงๆ
ใช้หนี้ไห้แม่หมดเลย
สร้างบ้านหลังใหญ่ๆ สวยๆ
ซื้อรถปิกอัพไห้พ่อ สักคัน
เปิดร้านขายของไห้แม่
ไม่ต้องลำบาก ผมจะดูแลทุกคนเอง อิอิ
ความฝันก่อนเรียนจบ วาดฝันไว้สวยงามมาก
*อีกไม่กี่เดือนก็จัดงานแต่งงานใหญ่โต*
ฝ่ายเจ้าสาวค่อนข้างฐานะดี ต่างจากครอบครัวผมคนละโยด แต่พ่อแม่ผมก็พยายามจัดงานออกมาไห้สมเกียติ คนบอกครอบครัวผมจน แต่พ่อกับแม่ไม่เคยทำไห้ผมรู้สึกจนเลย ครอบครัวผมมีทุกอย่างนะครับ
(แค่บ้านทำไม่เสร็จสักที 5 ปี น่าจะได้ ) พ่อบอกว่า ลูกเรียนจบค่อยทำต่อ ช่วงนี้ไม่กล้าทำ กลัวลูกขอไม่มีให้ ก็จัดงานซะใหญ่โต โต๊ะจีนเพียบ เพราะในบ้านไม่มีที่จะนั่ง 555
กลัวไม่สมศักดิ์ศรีฝ่ายเจ้าสาว (ทุกคนมีความสุขน่าชื่นตาบาน) ที่บ้านเจ้าสาวมีวงดนตรีหมอลำด้วย เสร็จงาน ผมกลับแฟนกลับไปเรียนหนังสือต่อ...เวลาผ่านไป
*แฟนผมจะคลอดแล้ว วันนั้นผมสอบวันสุดท้าย*
สอบเสร็จรู้ผลเลย ไม่ใช่ผลสอบนะครับ
#คุณได้ลูกผู้หญิง
อยากกลับบ้านมาก แต่เพื่อนขอไห้อยู่ด้วยวันสุดท้ายฉลองกันยกห้อง
#เชื่อไหมครับ ผมเลือกอยู่ฉลองกับเพื่อน แทนที่จะไปดูหน้าลูก ดูแลแฟน (ผมอยากฉลองวันสุดท้าย ต่อไปคงต้องเป็นพ่อที่ดี คงไม่มีโอกาสอีก พรุ่งนี้ค่อยรีบกลับแต่เช้า แต่ที่จริงผมทำผิด สำหรับครอบครัวผมดูแย่
#พ่อตาแม่ยายมองไม่ดี คงมองเราด้านลบไปเลย
#แฟนผมก็คงโกรธ และเก็บฝังใจ
#แม่ผมโกหกช่วยว่ารถหมด กลับไม่ทัน
นิสัยยังรักสนักอยู่ และแคร์เพื่อนมากไป ยังเป็นวัยรุ่นที่อยากเป็นผู้ใหญ่ ทำไห้ผมมีปัญกับแฟนบ่อยครั้ง ผมทำผิดกับเขามากมาย หลายอย่าง ไม่เคยแคร์เขาเลย เอาแต่ใจตัวเองเสมอ แต่เธอยังไห้อภัยผม..และยอมผมตลอดมา ถ้าเธอทิ้งผมไป ผมไม่จำเป็นต้องเลยว่าเพราะอะไร ทำไม่ ไม่ต้องแปลกใจเลย ฮึฮึ
**มีครั้งนึงที่ผมรู้สึกผิดอยากฆ่าตัวเองไห้ตาย ชั่วจริงๆ ผมไม่ไห้เมียตัวเองเข้าห้อง เธออ้อนวอน อยากเข้ามาหาผม แต่ผมใจแข็ง เธอร้องให้อยู่นานมาก แล้วเธอก็หายจากไป ตอนนั้นผมอยากเลิก เพราะผมมีคนใหม่ มาจากไหนไม่รู้ ตอนนี้จำชื่อไม่ได้แล้ว ผมทำร้ายคนที่ลำบากมาด้วยกันเพราะ... ผมทำขนาดนี้ เธอยังกลับมาหาผม...ผมยอมแพ้ใจเธอ
ต่อมา...
(ผมเรียนจบ..แต่แฟนยังไม่จบ..อีก 1ปี)
ผมเลี้ยงลูกรอที่บ้านของแฟน...ทำไร่ทำสวนทุกอย่างที่ทำได้..ช่วยพ่อตาแม่ยายทำงานวางแผนไว้เรียนจบ ไปทำงานพร้อมกัน
แต่ผมกับแฟนเริ่มมีปัญหากันบ่อย ไม่เคยคุยกันลงตัว เนื่องจากผมระแวง ผมคิดมาก คิดหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมคิดสงสัยว่าเขาจะนอกใจ ทำตัวเหลวไหล เที่ยวกลางคืนบ่อย พอรู้ข่าวผมก็โทรถาม เรื่องนี้มันบ่อยขึ้นรุ่นแรงขึ้น แต่งงานไม่ถึง 2 ปี ตัดสินใจ (เลิกกัน) เพราะมันไม่มีความสุขแล้ว เราไม่ใช่คนสำคัญอีกต่อไป ผมกลายเป็นน่ารำคาญที่คอยจับผิด ซึ่งผมไม่ชอบสถานะนี้ เพราะผมเคยสำคัญมาตลอด ความรู้มันบอกไม่ถูก ตอนผมทำกับเขา เขาก็คงเจ็บแบบนี้
คนโดนมักเจ็บกว่าเป็นเรื่องจริง ผมตายทั้งที่ยังยืน คิดว่าง่าย แต่จริงๆมันไม่ง่าย สำหรับคนที่รักกันมา 7 ปี ผมทิ้งความฝันทุกอย่างลง ไม่รู้จะอธิบายยังไง ทรมารมาก เสียใจสุดที่สุดผมเก็บตัวร้องให้อยู่ในห้องเป็นเดือน เชื่อราขนผมทั้งตัว แม่ผมร้องไห้อยู่ข้างนอกพร้อมปลอบผม
(แต่ก่อนกะยังบ่มีเขายังอยู่ได้ อยู่นำแม่ อยู่เฮียนเจ้าของ อยู่มาแต่เกิด เขาบ่แม่นคู่เฮา ปล่อยวางเริ่มใหม่)
ไม่ใช่แค่ผมที่เสียใจ ครอบครัวผมเหมือนครอบครัวร้าง เศร้าหมองทุกคน...
ผมหนีออกจากบ้านไป หลายเดือน นอนไปเรื่อย...กินเหล้าทุกวัน สุดท้ายไม่มีที่จะไป ไม่ตังค์สักบาท ขับรถไปตามถนนลุกรัง ทุ่งนานั่งพักตามเถียงนา รู้สึกสมเพศตัวเองมากท นี่หรือคือ "บัณฑิตใหม่" ตัดสินใจกลับบ้าน...
ถึงบ้าน..แปลกใจ ไม่มีคนอยู่ ของก็เหลือบางชิ้น คนข้างบ้านเดินมาบอก พ่อขายบ้านแล้ว..ออกไปอยู่ทุ่งนา..โน้น
ผมขับรถออกไป ตกใจ เหมือนความฝัน เห็นพ่อกับลุง และญาติอีก 2คน กำลังช่วยกัน ปลูกบ้านหลังเล็ก มุงด้วยสังกะสีเก่าๆ สำหรับนอนชั่วคราว ระว่างสร้างบ้านใหม่
ผมไม่พูดอะไร เดินเข้าไปหาที่นอน นิ่งแล้วมองไปรอบๆ ผมร้องไห้ขึ้นมาเหมือนเด็ก พร้อมขอโทษ และสารภาพผิด รับผิดทุกอย่าง กลับสิ่งที่ผ่านมา ที่ผมทำไห้ครอบครัวลำบาก น้องชายผมก็คงเกลียดผมอยู่ลึกๆ ผมเห็นแก่ตัว ผมสัญญาจะเป็นคนดีไห้พ่อแม่ภูมิใจ
ผมพึ่งรู้วันนั้น ว่าพ่อกับแม่ร้องไห้กับผมบ่อยมาก ผมไม่เคยสังเกตุ แม้กะทั้งหาเงินส่งเรียน แต่ละวันแทบนอนไม่หลับ ทำงานทุกวัน แทบไม่ได้พักผ่อน (วันแต่งงาน วันที่เลิกกัน) ก็เป็นวันที่พ่อกับแม่ร้องไห้ อาจร้องคนละแบบแต่ความรู้สึกไม่ต่างกัน
ไม่เคยมีหนี้ ต้องเป็นหนี้ ขายบ้าน เพราะผมคนเดียว ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะคิดถึงแต่ความสุขตัวเอง
พ่อบอกขายเพราะมันแออัด อยากอยู่แบบธรรมชาติ อิอิ
แม่บอก พ่อเสียดายบ้านหลังนั้นมาก วันจะขาย นอนก็ไม่หลับ แต่ไม่อยากเป็นหนี้ไห้ปวดหัว
หนี้แค่ 2 แสน พ่อขายบ้านเลย ถ้าเป็นตอนนี้นะ ผมใช้หนี้ไห้พ่อสะบาย แต่เข้าใจความรู้สึกพ่อตอนนั้น สับสนไปหมด ลูกชายก็ตั้งความหวังอะไรไม่ได้แล้ว ชีวิตมืดมนต์ สบสนวุ่นวาย
"เรื่องจิตรใจผมเริ่มดีขึ้น แต่ยังเหมอลอยอยู่"
!เชื่อไหม! จากที่ผมไม่ค่อยสนิทกับพ่อ ไม่คุยกันเลย พ่อผมรบบทโหดมาตลอด....ไม่กล้าคุยด้วย..ต้องผ่านแม่ตลอด แปลกมาก พ่อผมเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย ดีกับผมมาก ชวนคุย สอนเรืองนั้น คุยเรื่องเพลง เรืองต่างๆ
"พูดดี" "หัวเราะ" "ยิ้ม"
(ผมไม่เห็น พ่อ พูดหัวเราะ ยิ้มแย้มแบบนี้เลย)
โดนไม้เรียว และฝ่ามือประจำ ถ้าทำผิด
พ่อยอมเปลี่ยนเพราะผมได้
ผมก็จะเปลี่ยนตัวเองเพราะพ่อไห้ได้รู้สึกได้เลยถึงการเปลี่ยนครั้งใหญ่ของครอบครัว **ครอบครัวอบอุ่นขึ้น ทั้งที่บ้านขาดอะไรไปหลายอย่าง ไม่มีอะไรเลย..
ไม่มีไฟฟ้า (ใช้ตะเกียง)
ไม่มีน้ำปะปา (สระหลังบ้าน)
เนื่องไม่มีไฟฟ้า เครื่องไฟฟ้าทุกอย่างขายหมด ไห้ญาติใช้รอบ้าง
เหมือนตัดโลกภายนอกไปเลย (แม่ผมอดดูละครช่อง7) อิอิ
€€ €€ ช่วงหางาน €€ €€
พ่อบอกญาติห่างคนนึง แก่เป็นพยาบาลอยู่ระยอง แก่จะฝากงานไห้ เป็นพนักงานจ่ายยา ผมไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่ แกบอกโรงงานก็เยอะ หางานอื่นทำก็ได้ ผมเลยตัดสินใจไป (มีเรื่องไห้แปลกใจอีกแล้ว พ่อผมไม่เคยออกจากบ้านเกิน 20 กิโล อาสาไปส่งผมที่ระยอง และจะพาหางาน ลูกได้งานถึงจะกลับ ผมแปลกใจเท่าทุกวันนี้
-พอถึงเราพ่อลูกพักที่บ้านพี่พยาบาลสาว เป็นญาติที่ผมไม่รู้จักเลย เป็นหลานพ่อผมมั้ง ผมนึกว่าแก่แล้ว ก่อนผมไม่กี่ปีเอง สวยมาก ผมใช้มอไซด์พี่เขาขับหางานอยู่หลายวัน พ่อก็ถามทุกวัน "ได้งานไหม" ปรึกษากันตลอด ผมเข้าทุกโรงงาน ไม่เรียกสัมภาษณ์เลย กรอกใบสมัครจนมืองิก วันนึงเหลือเวลาเยอะ เลยแวะร้านอินเทอร์เนต ฝากประวัติไว้ใน jobthai กรอกมั่วๆรีบๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง ตอนเย็นเพื่อนที่ทำงานอยู่อยุธยา ก็โทรหาอยากไห้ไปทำงานด้วย โทรมาชวนหลายครั้งแล้ว แต่ผมอยากอยู่คนเดียว อยากอยู่ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก เลยยังไม่ตกลงไป
***เช้าวันที่ 4 ที่ระยอง***
พ่อ- "เอาไงดีลูก พ่ออยากกลับแล้ว คึดฮอดไห่คึดฮอดนา บ่มีคนเบิ่งหลายมื้อแล้ว ตอนแลงรถตู้สิมาฮับ"
ผม- "กลับโลดพ่อ เดี๋ยวผมรอจักคาวก่อน"
พ่อ- "ไปลองไปหาหมู่เบิ่ง เพื่อมันคือ"
> ประมาณแปดโมงกว่าๆ มีบริษัทโทรมาเพียบเลย ส่วนมากจากกรุงเทพ มีอยุธยาด้วย สงสัยสายเราต้องในกรุงเทพฯ ผมรับปากไปสัมภาษณ์หมด แต่ไม่รู้เลยว่าอยู่ไหน ผมตัดสินใจขึ้นรถตู้กลับพร้อมพ่อ แต่จะลงธนุธยา เพราะอยู่ต่อคงไม่เมาะ เพราะพี่เขาเป็นผู้หญิงอยู่คนเดียวด้วย..ผมลืมคิดไป
ลงรถที่วังน้อย พ่อเอาตังค์ยัดใส่มือ ผมไม่ได้นับ กลัวโจน เพราะดึกแล้ว อีกประมาณชั่วโมงกว่า เพื่อนมารับ "เมามาเลย" ได้ยินแต่ ไปต่อ ไม่เมา เดียวพาทัวร์ จอดร้านโอเกะ ผมแหกปากร้องเพลง เมาวันแรกเลย ถึงห้องเพื่อนหาย ผมนอนคนเดียว ลองนับตังค์ที่พ่อไห้ แม่เจ้า!!!...น้ำตาไหล...ไม่เคยได้ตังค์กับพ่อโดยไม่ขอ เยอะขนาดนี้ พ่อทุ่มกับเราเต็มที่
(เงินก้อนนี้ ที่พ่อไห้ จะต่อชีวิตลูกได้)
(เงินก้อนนี้จะเป็นก้อนสุดท้ายที่ผมจะเอา พ่อคอยรับคืนจากผมล้านเท่า) ต่อไปจะทำเพื่อครอบครัว ไม่มีใครรักเราเท่าครอบครัว..¥¥¥
***ได้งานทำที่แรก***
อยู่กับเพื่อนประมาณอาทิตย์กว่า หางานไม่ได้เลย เลยลองมาสัมภาษณ์แถวกรุงเทพฯในที่สุดผมได้งานทำในกรุงเทพฯจึงแยกออกมาจากเพื่อน ทำงานวัน เลิกงานเดินหาห้องพักแถวนั้น ได้ห้องถูกสุดราคา 2000บใช้ตังค์จ่ายค่าห้องไป 8000 เกือบหมด เหลือตังพันหก ห้องโล่งๆมีที่น้อนสีเขียว ที่มีคราบต่างๆเปลือนเต็มไปหมด เหมือนคลาบเลือด และตู้โบราญใบนึง ตรงๆเลย เป็นห้องที่น่ากลัวมาก ผมไม่มีหมอน ไม่มีผ้าห่ม ที่สำคัญไม่มีผ้าปูเตียง ผมใช้เสื้อตัวที่ใหญ่ที่สุดปู กระเป๋านุ่นหัว ใช้เสื้อห่ม รู้สึกหนาวมาก และรันทดหดหู่สุดๆ
อีกไม่กี่วัน ผู้หญิงข้างห้องที่อยู่คนเดียว สูงๆขาวๆแต่ขาแกเป๋ๆหน่อย ""กินยาฆ่าตัวตาย""
ตายได้หลายวันแล้วด้วย กว่าจะมีคนรู้
(นี่ผมนอนข้างคนตายมากี่วันแล้ว) อยากย้ายห้องหนี แต่ไม่มีตังค์ ต้องทนนอนต่อ เลิกงานไม่อยากกลับห้อง นั่งเล่นแถวหน้าปากซอย พวกแม่ค้าก็คุยกันเรื่องนี้อีก ผมกลัวมาก ก็ตอนเปิดประตูเข้าห้อง ผมเคยยิ้งทักทายแกตอนจะเข้าห้อง
> แต่ผมก็ทนอยู่ต่ออีกหลายเดือน เพราะทำไรไม่ได้ รอเงินค่ามัดจำ 6 เดือน
$$$ ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯที่แสนลำบาก $$$
อยู่บ้านนอกสบายกว่า "อยู่ดีกินดีกว่า" ชีวิตเรียบง่าย ค่าใช้จ่ายแทบไม่มี
#วางแผนไห้ดีอยู่อย่างสบาย#
ส่วนกรุงเทพฯ ต้องดินรนทุกวัน การแข่งขันที่ยังต้อง"อดมื้อกินมื้อ"อยู่
-มาหาเงินต่างถิ่น หากินต่างแดน
-พลัดพลากจากบ้านเกิด พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน คนที่รัก เพื่อมาหางานทำ "คิดถึงแน่นอน"
- บอกเลย 5 ปีที่อยู่ กทม. ผมไม่เคยกินข้าวครบ3 มื้อ โดยเฉพาะ "มื้อเช้า" ผมไมกินมาเป็น 5 ปีแล้ว ไม่เหลือเวลากิน ประหยังเงินด้วย กลัวสาย ตอนเช้าเป็นเวลาที่เร่งรีบที่สุด (กลับบ้านเทศกาล)
แม่ปลุ๊กกินข้าว งงเลย อาหารเต็มหน้า มีแต่ของชอบทั้งนั้นอร่อยสุดๆ กลับแค่ 4 วันผมรู้สึกถึงความเต็งตึงขึ้น(อ้วนขึ้น)
ไม่อยากไปกรุงเทพแล้ว อยู่บ้านนาเรา.....¥ ผมมีความสุขมาก...แต่ต้องไป เพราะมันน่าที่หรือเวรกรรมที่ต้องชดใช้ อิอิ
??...คุณคิดยังไง...เรื่องนี้...??
คนส่วนใหญ่คิดว่าคนที่กลับจากกรุงเทพต้องรวย อยู่ดีกินดี มีตังค์ น่าอิจฉา ขาวน่าตาดีต้องเลี้ยงฉลอง อาหาร เหล้าเบียร์ ผมถึงบ้านได้ยินคำนี้ทุกปี
(ขอเบียร์สักลงหน่อย อย่ากระจอกหลาย มาแต่กรุงเทพฯนะ) จัดหนักเลยเพือน แต่มันเป็นธรรมเนียมไปแล้ว เราควรเตรียมใจก่อนกลับแล้ว ส่วนผมจะเอาตังซื้อทองไว้เลยสักบาทนึงกันอดตายตอนกลับกรุงเทพฯเพราะทองจะขายยากหน่อย ส่วนเงิน มีเท่าไหร่ หมดเท่านั้นเชื่อใหม่ครับ...? ซ้อยทองผมได้ใส่แค่กลับบ้าน อิอิ
#ใส่ทองโก้กลับอีสาน
#ขายรับประทานตอนกลับกรุงเทพ
> บางคนซื้อชุดงามได้ใส่แต่ตอนกลับบ้าน
> พอกลับมาจากบ้าน ชุดเฮ็ดงานปานคนขึ้นอ้อย อิอิ
>.......??........<
^^ ประสบการณ์จริงของผม ^^
(ขั้นมันดี จากบ้านมาน้ำตาบ่ไหลดอก)
ผมเป็นอีกคนที่ตอนนี้เบื่องานประจำรู้สึกว่าเมืองกรุงไม่น่าอยู่อีกต่อไป เหนื่อย เบื่อผู้คน เบื่อความวุ่นวาย อาการปวดหัวไม่เคยหายไป มีมาเรื่อยๆ ดีที่ทุกวันนี้ผมเริ่มรับมือได้แล้ว คิดว่าไหวนะ แต่ผมยังหาความสุขที่แท้จริงไม่เจอสักที
บทเรียน และชีวิตของผม
จุดเริ่มต้น
ผมจบ ปวส. คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ต่อปริญญาตรีอีก 2ปี ช่วงปี 4 หรือปีสุดท้าย ผมยังเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่คิดอะไรมากมาย เป้าหมายยังไม่มีเลย ผมทำแฟนท้อง รู้สึกกลัวนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรไกล้จะจบแล้วนิ เดี๋ยวก็ได้ทำงาน ต้องเลี้ยงลูกได้แน่ แต่แฟนอยากแต่งงานก่อนลูกจะออกมาดูโลก เดี๋ยวคนนินทา เลยบอกพ่อกะแม่ว่าทางผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงอยากไห้แต่งแล้ว นานมากแล้ว ที่จริงเรามั่นหมายกันไว้นานแล้ว ตั้งแต่ ปวส.1 อยู่ด้วยกันมาตลอด การบอกพ่อกับแม่เลยไม่ใช่เรื่องยาก ผมโทรไปบอกพ่อแม่ไห้รับรู้ แม่มีน้ำเสียงเคลียดนิดหน่อยแล้ววางสายไป ผมไม่ได้ถามหรือสนใจเลยว่าพ่อกับแม่มีตังค์ไหม แม่เงียบไป พ่อบอกว่าเดี๋ยวหาตังก่อน ผมเรียนไปปกติ วันนึงแม่โทรไป บอกว่าได้เลิกแล้วนะ เตรียมตัวเลย ทางบ้านจะเตรียมงานรอ ผมกับแฟนดีใจมาก ผมถามแม่ว่าเอาเงินมาจากไหนตั้งเยอะ แกบอกว่าก็พอมีอยู่ ทำตัวดีๆก็แล้วกัน แต่เงินคงยังไม่พอหรอก ว่าลองยืมกับญาติพี่น้องดู แล้วลูกค่อยหาใช้คืนนะ ผมตอบโอเครเลยครับ
จบแล้วผมจะหางานทำดีๆเงินเดือนสูงๆ
ใช้หนี้ไห้แม่หมดเลย
สร้างบ้านหลังใหญ่ๆ สวยๆ
ซื้อรถปิกอัพไห้พ่อ สักคัน
เปิดร้านขายของไห้แม่
ไม่ต้องลำบาก ผมจะดูแลทุกคนเอง อิอิ
ความฝันก่อนเรียนจบ วาดฝันไว้สวยงามมาก
*อีกไม่กี่เดือนก็จัดงานแต่งงานใหญ่โต*
ฝ่ายเจ้าสาวค่อนข้างฐานะดี ต่างจากครอบครัวผมคนละโยด แต่พ่อแม่ผมก็พยายามจัดงานออกมาไห้สมเกียติ คนบอกครอบครัวผมจน แต่พ่อกับแม่ไม่เคยทำไห้ผมรู้สึกจนเลย ครอบครัวผมมีทุกอย่างนะครับ
(แค่บ้านทำไม่เสร็จสักที 5 ปี น่าจะได้ ) พ่อบอกว่า ลูกเรียนจบค่อยทำต่อ ช่วงนี้ไม่กล้าทำ กลัวลูกขอไม่มีให้ ก็จัดงานซะใหญ่โต โต๊ะจีนเพียบ เพราะในบ้านไม่มีที่จะนั่ง 555
กลัวไม่สมศักดิ์ศรีฝ่ายเจ้าสาว (ทุกคนมีความสุขน่าชื่นตาบาน) ที่บ้านเจ้าสาวมีวงดนตรีหมอลำด้วย เสร็จงาน ผมกลับแฟนกลับไปเรียนหนังสือต่อ...เวลาผ่านไป
*แฟนผมจะคลอดแล้ว วันนั้นผมสอบวันสุดท้าย*
สอบเสร็จรู้ผลเลย ไม่ใช่ผลสอบนะครับ
#คุณได้ลูกผู้หญิง
อยากกลับบ้านมาก แต่เพื่อนขอไห้อยู่ด้วยวันสุดท้ายฉลองกันยกห้อง
#เชื่อไหมครับ ผมเลือกอยู่ฉลองกับเพื่อน แทนที่จะไปดูหน้าลูก ดูแลแฟน (ผมอยากฉลองวันสุดท้าย ต่อไปคงต้องเป็นพ่อที่ดี คงไม่มีโอกาสอีก พรุ่งนี้ค่อยรีบกลับแต่เช้า แต่ที่จริงผมทำผิด สำหรับครอบครัวผมดูแย่
#พ่อตาแม่ยายมองไม่ดี คงมองเราด้านลบไปเลย
#แฟนผมก็คงโกรธ และเก็บฝังใจ
#แม่ผมโกหกช่วยว่ารถหมด กลับไม่ทัน
นิสัยยังรักสนักอยู่ และแคร์เพื่อนมากไป ยังเป็นวัยรุ่นที่อยากเป็นผู้ใหญ่ ทำไห้ผมมีปัญกับแฟนบ่อยครั้ง ผมทำผิดกับเขามากมาย หลายอย่าง ไม่เคยแคร์เขาเลย เอาแต่ใจตัวเองเสมอ แต่เธอยังไห้อภัยผม..และยอมผมตลอดมา ถ้าเธอทิ้งผมไป ผมไม่จำเป็นต้องเลยว่าเพราะอะไร ทำไม่ ไม่ต้องแปลกใจเลย ฮึฮึ
**มีครั้งนึงที่ผมรู้สึกผิดอยากฆ่าตัวเองไห้ตาย ชั่วจริงๆ ผมไม่ไห้เมียตัวเองเข้าห้อง เธออ้อนวอน อยากเข้ามาหาผม แต่ผมใจแข็ง เธอร้องให้อยู่นานมาก แล้วเธอก็หายจากไป ตอนนั้นผมอยากเลิก เพราะผมมีคนใหม่ มาจากไหนไม่รู้ ตอนนี้จำชื่อไม่ได้แล้ว ผมทำร้ายคนที่ลำบากมาด้วยกันเพราะ... ผมทำขนาดนี้ เธอยังกลับมาหาผม...ผมยอมแพ้ใจเธอ
ต่อมา...
(ผมเรียนจบ..แต่แฟนยังไม่จบ..อีก 1ปี)
ผมเลี้ยงลูกรอที่บ้านของแฟน...ทำไร่ทำสวนทุกอย่างที่ทำได้..ช่วยพ่อตาแม่ยายทำงานวางแผนไว้เรียนจบ ไปทำงานพร้อมกัน
แต่ผมกับแฟนเริ่มมีปัญหากันบ่อย ไม่เคยคุยกันลงตัว เนื่องจากผมระแวง ผมคิดมาก คิดหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมคิดสงสัยว่าเขาจะนอกใจ ทำตัวเหลวไหล เที่ยวกลางคืนบ่อย พอรู้ข่าวผมก็โทรถาม เรื่องนี้มันบ่อยขึ้นรุ่นแรงขึ้น แต่งงานไม่ถึง 2 ปี ตัดสินใจ (เลิกกัน) เพราะมันไม่มีความสุขแล้ว เราไม่ใช่คนสำคัญอีกต่อไป ผมกลายเป็นน่ารำคาญที่คอยจับผิด ซึ่งผมไม่ชอบสถานะนี้ เพราะผมเคยสำคัญมาตลอด ความรู้มันบอกไม่ถูก ตอนผมทำกับเขา เขาก็คงเจ็บแบบนี้
คนโดนมักเจ็บกว่าเป็นเรื่องจริง ผมตายทั้งที่ยังยืน คิดว่าง่าย แต่จริงๆมันไม่ง่าย สำหรับคนที่รักกันมา 7 ปี ผมทิ้งความฝันทุกอย่างลง ไม่รู้จะอธิบายยังไง ทรมารมาก เสียใจสุดที่สุดผมเก็บตัวร้องให้อยู่ในห้องเป็นเดือน เชื่อราขนผมทั้งตัว แม่ผมร้องไห้อยู่ข้างนอกพร้อมปลอบผม
(แต่ก่อนกะยังบ่มีเขายังอยู่ได้ อยู่นำแม่ อยู่เฮียนเจ้าของ อยู่มาแต่เกิด เขาบ่แม่นคู่เฮา ปล่อยวางเริ่มใหม่)
ไม่ใช่แค่ผมที่เสียใจ ครอบครัวผมเหมือนครอบครัวร้าง เศร้าหมองทุกคน...
ผมหนีออกจากบ้านไป หลายเดือน นอนไปเรื่อย...กินเหล้าทุกวัน สุดท้ายไม่มีที่จะไป ไม่ตังค์สักบาท ขับรถไปตามถนนลุกรัง ทุ่งนานั่งพักตามเถียงนา รู้สึกสมเพศตัวเองมากท นี่หรือคือ "บัณฑิตใหม่" ตัดสินใจกลับบ้าน...
ถึงบ้าน..แปลกใจ ไม่มีคนอยู่ ของก็เหลือบางชิ้น คนข้างบ้านเดินมาบอก พ่อขายบ้านแล้ว..ออกไปอยู่ทุ่งนา..โน้น
ผมขับรถออกไป ตกใจ เหมือนความฝัน เห็นพ่อกับลุง และญาติอีก 2คน กำลังช่วยกัน ปลูกบ้านหลังเล็ก มุงด้วยสังกะสีเก่าๆ สำหรับนอนชั่วคราว ระว่างสร้างบ้านใหม่
ผมไม่พูดอะไร เดินเข้าไปหาที่นอน นิ่งแล้วมองไปรอบๆ ผมร้องไห้ขึ้นมาเหมือนเด็ก พร้อมขอโทษ และสารภาพผิด รับผิดทุกอย่าง กลับสิ่งที่ผ่านมา ที่ผมทำไห้ครอบครัวลำบาก น้องชายผมก็คงเกลียดผมอยู่ลึกๆ ผมเห็นแก่ตัว ผมสัญญาจะเป็นคนดีไห้พ่อแม่ภูมิใจ
ผมพึ่งรู้วันนั้น ว่าพ่อกับแม่ร้องไห้กับผมบ่อยมาก ผมไม่เคยสังเกตุ แม้กะทั้งหาเงินส่งเรียน แต่ละวันแทบนอนไม่หลับ ทำงานทุกวัน แทบไม่ได้พักผ่อน (วันแต่งงาน วันที่เลิกกัน) ก็เป็นวันที่พ่อกับแม่ร้องไห้ อาจร้องคนละแบบแต่ความรู้สึกไม่ต่างกัน
ไม่เคยมีหนี้ ต้องเป็นหนี้ ขายบ้าน เพราะผมคนเดียว ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะคิดถึงแต่ความสุขตัวเอง
พ่อบอกขายเพราะมันแออัด อยากอยู่แบบธรรมชาติ อิอิ
แม่บอก พ่อเสียดายบ้านหลังนั้นมาก วันจะขาย นอนก็ไม่หลับ แต่ไม่อยากเป็นหนี้ไห้ปวดหัว
หนี้แค่ 2 แสน พ่อขายบ้านเลย ถ้าเป็นตอนนี้นะ ผมใช้หนี้ไห้พ่อสะบาย แต่เข้าใจความรู้สึกพ่อตอนนั้น สับสนไปหมด ลูกชายก็ตั้งความหวังอะไรไม่ได้แล้ว ชีวิตมืดมนต์ สบสนวุ่นวาย
"เรื่องจิตรใจผมเริ่มดีขึ้น แต่ยังเหมอลอยอยู่"
!เชื่อไหม! จากที่ผมไม่ค่อยสนิทกับพ่อ ไม่คุยกันเลย พ่อผมรบบทโหดมาตลอด....ไม่กล้าคุยด้วย..ต้องผ่านแม่ตลอด แปลกมาก พ่อผมเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย ดีกับผมมาก ชวนคุย สอนเรืองนั้น คุยเรื่องเพลง เรืองต่างๆ
"พูดดี" "หัวเราะ" "ยิ้ม"
(ผมไม่เห็น พ่อ พูดหัวเราะ ยิ้มแย้มแบบนี้เลย)
โดนไม้เรียว และฝ่ามือประจำ ถ้าทำผิด
พ่อยอมเปลี่ยนเพราะผมได้
ผมก็จะเปลี่ยนตัวเองเพราะพ่อไห้ได้รู้สึกได้เลยถึงการเปลี่ยนครั้งใหญ่ของครอบครัว **ครอบครัวอบอุ่นขึ้น ทั้งที่บ้านขาดอะไรไปหลายอย่าง ไม่มีอะไรเลย..
ไม่มีไฟฟ้า (ใช้ตะเกียง)
ไม่มีน้ำปะปา (สระหลังบ้าน)
เนื่องไม่มีไฟฟ้า เครื่องไฟฟ้าทุกอย่างขายหมด ไห้ญาติใช้รอบ้าง
เหมือนตัดโลกภายนอกไปเลย (แม่ผมอดดูละครช่อง7) อิอิ
€€ €€ ช่วงหางาน €€ €€
พ่อบอกญาติห่างคนนึง แก่เป็นพยาบาลอยู่ระยอง แก่จะฝากงานไห้ เป็นพนักงานจ่ายยา ผมไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่ แกบอกโรงงานก็เยอะ หางานอื่นทำก็ได้ ผมเลยตัดสินใจไป (มีเรื่องไห้แปลกใจอีกแล้ว พ่อผมไม่เคยออกจากบ้านเกิน 20 กิโล อาสาไปส่งผมที่ระยอง และจะพาหางาน ลูกได้งานถึงจะกลับ ผมแปลกใจเท่าทุกวันนี้
-พอถึงเราพ่อลูกพักที่บ้านพี่พยาบาลสาว เป็นญาติที่ผมไม่รู้จักเลย เป็นหลานพ่อผมมั้ง ผมนึกว่าแก่แล้ว ก่อนผมไม่กี่ปีเอง สวยมาก ผมใช้มอไซด์พี่เขาขับหางานอยู่หลายวัน พ่อก็ถามทุกวัน "ได้งานไหม" ปรึกษากันตลอด ผมเข้าทุกโรงงาน ไม่เรียกสัมภาษณ์เลย กรอกใบสมัครจนมืองิก วันนึงเหลือเวลาเยอะ เลยแวะร้านอินเทอร์เนต ฝากประวัติไว้ใน jobthai กรอกมั่วๆรีบๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง ตอนเย็นเพื่อนที่ทำงานอยู่อยุธยา ก็โทรหาอยากไห้ไปทำงานด้วย โทรมาชวนหลายครั้งแล้ว แต่ผมอยากอยู่คนเดียว อยากอยู่ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก เลยยังไม่ตกลงไป
***เช้าวันที่ 4 ที่ระยอง***
พ่อ- "เอาไงดีลูก พ่ออยากกลับแล้ว คึดฮอดไห่คึดฮอดนา บ่มีคนเบิ่งหลายมื้อแล้ว ตอนแลงรถตู้สิมาฮับ"
ผม- "กลับโลดพ่อ เดี๋ยวผมรอจักคาวก่อน"
พ่อ- "ไปลองไปหาหมู่เบิ่ง เพื่อมันคือ"
> ประมาณแปดโมงกว่าๆ มีบริษัทโทรมาเพียบเลย ส่วนมากจากกรุงเทพ มีอยุธยาด้วย สงสัยสายเราต้องในกรุงเทพฯ ผมรับปากไปสัมภาษณ์หมด แต่ไม่รู้เลยว่าอยู่ไหน ผมตัดสินใจขึ้นรถตู้กลับพร้อมพ่อ แต่จะลงธนุธยา เพราะอยู่ต่อคงไม่เมาะ เพราะพี่เขาเป็นผู้หญิงอยู่คนเดียวด้วย..ผมลืมคิดไป
ลงรถที่วังน้อย พ่อเอาตังค์ยัดใส่มือ ผมไม่ได้นับ กลัวโจน เพราะดึกแล้ว อีกประมาณชั่วโมงกว่า เพื่อนมารับ "เมามาเลย" ได้ยินแต่ ไปต่อ ไม่เมา เดียวพาทัวร์ จอดร้านโอเกะ ผมแหกปากร้องเพลง เมาวันแรกเลย ถึงห้องเพื่อนหาย ผมนอนคนเดียว ลองนับตังค์ที่พ่อไห้ แม่เจ้า!!!...น้ำตาไหล...ไม่เคยได้ตังค์กับพ่อโดยไม่ขอ เยอะขนาดนี้ พ่อทุ่มกับเราเต็มที่
(เงินก้อนนี้ ที่พ่อไห้ จะต่อชีวิตลูกได้)
(เงินก้อนนี้จะเป็นก้อนสุดท้ายที่ผมจะเอา พ่อคอยรับคืนจากผมล้านเท่า) ต่อไปจะทำเพื่อครอบครัว ไม่มีใครรักเราเท่าครอบครัว..¥¥¥
***ได้งานทำที่แรก***
อยู่กับเพื่อนประมาณอาทิตย์กว่า หางานไม่ได้เลย เลยลองมาสัมภาษณ์แถวกรุงเทพฯในที่สุดผมได้งานทำในกรุงเทพฯจึงแยกออกมาจากเพื่อน ทำงานวัน เลิกงานเดินหาห้องพักแถวนั้น ได้ห้องถูกสุดราคา 2000บใช้ตังค์จ่ายค่าห้องไป 8000 เกือบหมด เหลือตังพันหก ห้องโล่งๆมีที่น้อนสีเขียว ที่มีคราบต่างๆเปลือนเต็มไปหมด เหมือนคลาบเลือด และตู้โบราญใบนึง ตรงๆเลย เป็นห้องที่น่ากลัวมาก ผมไม่มีหมอน ไม่มีผ้าห่ม ที่สำคัญไม่มีผ้าปูเตียง ผมใช้เสื้อตัวที่ใหญ่ที่สุดปู กระเป๋านุ่นหัว ใช้เสื้อห่ม รู้สึกหนาวมาก และรันทดหดหู่สุดๆ
อีกไม่กี่วัน ผู้หญิงข้างห้องที่อยู่คนเดียว สูงๆขาวๆแต่ขาแกเป๋ๆหน่อย ""กินยาฆ่าตัวตาย""
ตายได้หลายวันแล้วด้วย กว่าจะมีคนรู้
(นี่ผมนอนข้างคนตายมากี่วันแล้ว) อยากย้ายห้องหนี แต่ไม่มีตังค์ ต้องทนนอนต่อ เลิกงานไม่อยากกลับห้อง นั่งเล่นแถวหน้าปากซอย พวกแม่ค้าก็คุยกันเรื่องนี้อีก ผมกลัวมาก ก็ตอนเปิดประตูเข้าห้อง ผมเคยยิ้งทักทายแกตอนจะเข้าห้อง
> แต่ผมก็ทนอยู่ต่ออีกหลายเดือน เพราะทำไรไม่ได้ รอเงินค่ามัดจำ 6 เดือน
$$$ ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯที่แสนลำบาก $$$
อยู่บ้านนอกสบายกว่า "อยู่ดีกินดีกว่า" ชีวิตเรียบง่าย ค่าใช้จ่ายแทบไม่มี
#วางแผนไห้ดีอยู่อย่างสบาย#
ส่วนกรุงเทพฯ ต้องดินรนทุกวัน การแข่งขันที่ยังต้อง"อดมื้อกินมื้อ"อยู่
-มาหาเงินต่างถิ่น หากินต่างแดน
-พลัดพลากจากบ้านเกิด พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน คนที่รัก เพื่อมาหางานทำ "คิดถึงแน่นอน"
- บอกเลย 5 ปีที่อยู่ กทม. ผมไม่เคยกินข้าวครบ3 มื้อ โดยเฉพาะ "มื้อเช้า" ผมไมกินมาเป็น 5 ปีแล้ว ไม่เหลือเวลากิน ประหยังเงินด้วย กลัวสาย ตอนเช้าเป็นเวลาที่เร่งรีบที่สุด (กลับบ้านเทศกาล)
แม่ปลุ๊กกินข้าว งงเลย อาหารเต็มหน้า มีแต่ของชอบทั้งนั้นอร่อยสุดๆ กลับแค่ 4 วันผมรู้สึกถึงความเต็งตึงขึ้น(อ้วนขึ้น)
ไม่อยากไปกรุงเทพแล้ว อยู่บ้านนาเรา.....¥ ผมมีความสุขมาก...แต่ต้องไป เพราะมันน่าที่หรือเวรกรรมที่ต้องชดใช้ อิอิ
??...คุณคิดยังไง...เรื่องนี้...??
คนส่วนใหญ่คิดว่าคนที่กลับจากกรุงเทพต้องรวย อยู่ดีกินดี มีตังค์ น่าอิจฉา ขาวน่าตาดีต้องเลี้ยงฉลอง อาหาร เหล้าเบียร์ ผมถึงบ้านได้ยินคำนี้ทุกปี
(ขอเบียร์สักลงหน่อย อย่ากระจอกหลาย มาแต่กรุงเทพฯนะ) จัดหนักเลยเพือน แต่มันเป็นธรรมเนียมไปแล้ว เราควรเตรียมใจก่อนกลับแล้ว ส่วนผมจะเอาตังซื้อทองไว้เลยสักบาทนึงกันอดตายตอนกลับกรุงเทพฯเพราะทองจะขายยากหน่อย ส่วนเงิน มีเท่าไหร่ หมดเท่านั้นเชื่อใหม่ครับ...? ซ้อยทองผมได้ใส่แค่กลับบ้าน อิอิ
#ใส่ทองโก้กลับอีสาน
#ขายรับประทานตอนกลับกรุงเทพ
> บางคนซื้อชุดงามได้ใส่แต่ตอนกลับบ้าน
> พอกลับมาจากบ้าน ชุดเฮ็ดงานปานคนขึ้นอ้อย อิอิ
>.......??........<
^^ ประสบการณ์จริงของผม ^^
(ขั้นมันดี จากบ้านมาน้ำตาบ่ไหลดอก)
ผมเป็นอีกคนที่ตอนนี้เบื่องานประจำรู้สึกว่าเมืองกรุงไม่น่าอยู่อีกต่อไป เหนื่อย เบื่อผู้คน เบื่อความวุ่นวาย อาการปวดหัวไม่เคยหายไป มีมาเรื่อยๆ ดีที่ทุกวันนี้ผมเริ่มรับมือได้แล้ว คิดว่าไหวนะ แต่ผมยังหาความสุขที่แท้จริงไม่เจอสักที