ตั้งแต่ไปม่อนจองคราวนั้น ชีวิตผมก็เปลี่ยนไปเป็นหน้ามือหลังมือ ครั้งแรกที่ผมไปก็เหมือนกับครั้งนี้ ผมรวมคนจากหน้าเพจ PALAPILII Thailand จำนวน 20 คน และพาพวกเขาเหล่านั้นขึ้นไปบนดอยที่ชื่อ " ม่ อ น จ อ ง " ก่อนมาผมประหม่า และมีอารมณ์ที่ท้าทาย ว่าข้างบนนี้มันมีอะไรดีนะ แต่หลังจากที่ผ่านเนินหมาหอบ (ช่วงหนึ่งของการเดินทาง) มันก็ทำให้ผมหลงรักที่นี่แบบไม่รู้ตัว และในครั้งนั้น ผมได้รู้จักคนคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ชีวิตผม เ ป ลี่ ย น ไ ป
คำว่า เ ป ลี่ ย น ไ ป ในชีวิตผมตอนนั้นน่ะหรอ มันเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่ผมไม่เคยใส่ใจ ผมอยากจะเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง แต่คิดว่าปิดไว้ดีกว่า ปล่อยให้มันเป็น มิตรภาพ ความรักและความทรงจำดีๆ บนเขาลูกนี้เถอะ และจุดประสงค์ที่ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง คือ กลับมาทำอะไรแบบเดิมๆ ที่เดิม เวลาเดิม เหมือนตอนนั้นอีก เพื่อที่จะได้คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะทิ้งมิตรภาพ ความรักและความทรงจำครั้งนั้นไป เอาล่ะ "เราพร้อม... ที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราสักที... "
ดอยม่อนจองตั้งอยู่บนทิวเขาถนนธงชัยตอนกลาง ปัจจุบันตั้งอยู่ใน อ.นันทบุรี เดิมตั้งอยู่ใน ต.แม่ตื่น อ.อมก๋อย คำว่า ม่อน เป็นภาษาคำเมืองที่หมายถึง ดอยหรือเนินเขา ส่วนคำว่า จอง ก็เป็นภาษาคำเมืองจะออกเสียงว่า จ๋อง หมายถึง ลักษณะจั่ว สามเหลี่ยมที่อยู่สูงที่สุด ดอยม่อนจอง ติดอันดับ 1 ใน 10 ของยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยจุดสูงสุดของดอยม่อนจองเรียกว่า หัวสิงห์ เพราะมีลักษณะคล้ายหัวสิงโต สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,929 เมตร ในอดีตดอยม่อนจองนับเป็นดินแดน แห่งสรรพสัตว์ที่ใช้ชีวิตอาศัยอยู่อย่างอิสระเสรี เช่นกวางผา หรือ ม้าเทวดาและเลียงผารวมทั้งโขลงช้างป่า แต่ปัจจุบันยังมีอยู่แต่ หาชมได้ยากมาก
ไฮไลต์ของการมาเที่ยวดอยม่อนจองก็คือการได้ชมภูเขาสูงสลับซับซ้อนซึ่งทุ่งหญ้าจะเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามตาในช่วงหน้าหนาว เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง และอีกสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือน ดอยม่อนจอง โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคม-มกราคมก็คือกุหลาบพันปีหรือชื่อเฉพาะว่าคำแดงที่กำลัง ออกดอกแย้มกลีบบานสะพรั่ง เต็มต้นอยู่เป็นดงตามไหล่เขา ว่ากันว่าต้นนี้เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสะด้วยสิ
ซึ่งการเดินทางนั้นง่ายมากๆ ครับ ไปที่ google map แล้ว search ว่าหมู่บ้านมูเซอ ต.ม่อนจอง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เท่านี้ ก็ไม่หลงแล้วครับ ซึ่งหลักๆ เราจะต้องเดินทางมาที่ อ.ฮอดก่อนครับ หลังจากนั้นก็ขับตามถนน หมายเลข 108 ยาวมาเลย ซึ่งระหว่างทางก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้แวะกันด้วย เช่น ออบหลวง และสวนสนบ่อแก้ว ถือเป็นอีกที่ที่ควรแวะถ่ายรูปมากๆ ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ ต.ยางเปียง ถนนหมายเลข 1099 ไม่นานนัก ก็ถึงหมู่บ้านมูเซอแล้วครับ
ออบหลวงเป็นสถานที่น่าเที่ยวที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติออบหลวง เป็นช่องแคบเขาขาดที่มีหน้าผาหิน ขนาบลำน้ำ ทำให้เกิดหุบผาลึก ความลึกของหน้าผาวัดจากสะพาน ออบหลวงถึงระดับน้ำปกติประมาณ 32 เมตร ส่วนแคบสุด 2 เมตร ความยาวของช่องแคบประมาณ 300 เมตร ธรรมชาติได้สร้างสรรความน่าพิศวงให้กับแผ่นดินส่วนนี้อย่างมหัศจรรย์ คำว่า “อ๊อบ” หรือ “ออบ” เป็นภาษาท้องถิ่นหมายถึงช่องแคบ “หลวง” หมายถึง ใหญ่ ออบหลวง คือชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกช่องแคบหิน ขนาดยักษ์ที่มีลำน้ำแม่แจ่มบีบตัวแทรกผ่านไป อีกนัยหนึ่งคือ หุบเขาบื้องล่างเป็นแม่น้ำสลักหิน ที่ไหลคดเคี้ยวผ่านช่องเขาขาด ตรงออบหลวงช่องเขานี้มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน และแคบมากบีบทางน้ำไหล ดังนั้นแม่น้ำตรงนี้จึงเชี่ยวจัด เสียงน้ำกระทบหน้าผา ดังสนั่นแต่รอบ ๆ บริเวณชายน้ำด้านเหนืองดงามไปด้วยหมู่ไม้น้อยใหญ่ ร่มรื่นอยู่ตลอดเวลาชั่วนาตาปี ยังมีสะพานเชื่อมช่องเขาขาด สำหรับนักท่องเที่ยวยืนชมความงดงามแห่งทัศนียภาพของออบหลวง นอกจากนั้นภายในบริเวณอุทยานฯ ยังมีการขุดค้นพบแหล่ง โบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วย รวมไปถึงกิจกรรมท้าความกล้าสำหรับคนบ้าบิ่น นั่นคือการล่องแก่งบริเวณช่องแคบออบหลวงแห่งนี้นั่นเอง
ส่วนสถานีทดลองปลูกพันธุ์ไม้บ่อแก้ว หรือ สวนสนบ่อแก้วเนี่ย ตั้งอยู่ในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ที่นี่เป็นจุดแวะหลักที่ต้องก้าวจากรถเพื่อแวะพักจากอาการมึนโค้งครับ (โค้งเยอะมาก) ผ่อนคลายถ่ายภาพตัวเองกับป่าสนที่เรียงรายเป็นทิวแถวทอดยาวสุด สวนสนบ่อแก้วเป็นพื้นที่ทดลองปลูกสนภูเขาชนิดต่าง ๆ ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ นำพันธุ์มาจากต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ และไต้หวัน เพื่อทดลองหาพันธุ์ที่เหมาะสมมาเป็นไม้เบิกนำ เพื่อปลูกบนป่าเสื่อมโทรมบนดอยทางภาคเหนือ ต้นสนที่นำมาปลูกมีอายุกว่า 40 ปี เพราะปลูกในช่วงปี พ.ศ.2509-2510 มีจำนวนหลายพันต้น เรียงรายเป็นระเบียบบนลานโล่งเตียนด้านหน้า
ทั้งนี้ สวนสนฯ ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจวัตถุดิบเพื่อทำเยื่อกระดาษและเป็นแปลงทดลองปลูกพืชจำนวนสนสามใบ และยูคาลิปตัส ในเนื้อที่ทั้งหมด 2,072 ไร่ มีสภาพอากาศชื้นและเย็นตลอดปี เมื่อเดินทางผ่านมายังเส้นทางนี้ จะสังเกตุเห็นต้นสนเป็น จำนวนมาก แต่ที่โดดเด่นและเป็นที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวก็คงจะเป็นแนวสนหน้าถนนทางเข้าฝั่งซ้ายมือ ที่มีการปลูกเรียงไว้เป็นแนว อย่างสวยงามทั้งสองข้างทาง มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจแวะมาถ่ายภาพสวยๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกจำนวนมากความสวยงามของที่นี่ จนที่ได้รับฉายาว่าเกาะนามิเมืองไทยอีกด้วย ฮาๆๆ ก็ไม่ต้องไปให้ไกลถึงเกาหลีหรอกนะ ที่บ้านเราก็มี ซึ่งภายในสวนมีถนนทอดผ่านนำเข้าสู่ดงสนสูงใหญ่ มีแสงแดดอ่อนๆในช่วงเช้า และเย็น ทำให้เกิดภาพสุดโรแมนติกที่หลายคนอดใจไม่ไหว ต้องแวะมาชื่นชมสักครั้งในชีวิต ช่วงที่น่าไปเที่ยวมากที่สุดคือฤดูหนาว เพราะในยามเช้าเราสามารถมองเห็นม่านหมอกปกคลุมอยู่บริเวณครึ่งบนของลานสน บวกกับแสงอาทิตย์บางๆ คล้อยลงมาเหมือนในภาพครับ
ตัดบทกลับมาที่การเดินทางขึ้นม่อนจองครับ เราจะต้องมารวมตัวที่ศูนย์ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนก่อนบ่ายหนึ่งครับ เพราะหลังจากนี้จะต้องนั่ง 4 Wheels ขึ้นไปราวๆ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ไม่ต้องพูดถึงทาง ทางนิค่อนข้างจะกันดารนิดหน่อย แต่เพราะความยากลำบากนี่แหละ มันเลยสนุก หลังจากที่ขึ้นไปถึงจุดเดินเท้า เพื่อนๆ จะต้องเดินเท้าอีกราวๆ 6 กิโลเมตร เพื่อไปยังจุด camping และห่างจากจุด camping อีก 2 กิโลฯ ก็คือยอดสุดบนดอยม่อนจอง (ผาหัวสิงห์) นั่นเอง
โดยค่าบริการต่างๆ ที่ผมพึ่งไปมาอัพเดทล่าสุดก็ประมาณนี้ครับ
ค่ารถสำหรับขึ้นเขา คันละ 3,000 บาท นั่งได้ไม่เกิน 12 คน (รวมลูกหาบ)
ค่าเข้าพื้นที่คนละ 40 บาท
ค่ากางเต้นท์ เต้นท์ละ 40 บาท
ค่ารถเข้าเขตฯ 50 บาท
ค่าลูกหากคนละ 600 บาท (แบกได้คนละไม่เกิน 20 กิโล)
ค่าเช่าเต้นท์และถุงนอน อย่างละ 100 บาท (อันนี้ไม่มั่นใจนะครับ)
ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ นักท่องเที่ยวมือใหม่ก็สามารถไปได้ครับ คือเดินง่าย ไม่ยากไป ไม่ง่ายไป และสิ่งที่ควรเตรียมไปคือ สิ่งของกันหนาว น้ำคนละ 2 ลิตร ยารักษาโรคประจำตัว และสเปรย์บรรเทาอาการปวดอักเสบกล้ามเนื้อ (เพราะทิรปนี้เราเน้นเดิน พกไว้ เผื่อเมื่อยเผื่อเจ็บ) อุปกรณ์ส่วนตัว และที่สำคัญ คือพร๊อพสำหรับถ่ายรูปด้านบน เพราะข้างบน บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมดี เป็นแบ็คกราวน์ให้เราได้อย่างเพอร์เฟ็คสุดๆ ครับ
ครึ่งทางของการเดินเท้าก็คือ "ผาช่อ" มีลักษณะเป็นหินชันตั้งสูงขึ้นไป สังเกตุได้ง่ายครับ ถ้าเดินมาถึงตรงนั้น ก็ถือว่าเบาใจได้แล้ว แต่หาก สี่โมงเย็นแล้ว ยังไม่ถึงบริเวณ "ผาช่อ" ยังไงก็ต้องรีบกันหน่อย เกรงว่าจะไปถึงดึก จะเป็นอันตรายได้ แล้วถ้าจะให้ดี ควรสั่งกับข้าวที่ทำสำเร็จขึ้นไปเหมือนแก๊งค์เราครับ ทานง่ายๆ กันตายก็พอ
ปกติแล้วหากคนเดินเป็นประจำ จะใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงก็เดินมาถึงเนินหมาหอบครับ แต่หากเป็นนักท่องเที่ยวขาเยือน หรือนานๆ มาเดินป่าที ก็บวกไปเลยอีก 1-2 ชั่วโมง ก็ราวๆ 3-4 ชั่วโมงนั่นแหละครับ ซึ่งเนินหมาหอบ ถือเป็นเนินสุดท้ายก่อนถึงจุด camping ที่
ที่สุดแล้วครับ คือชันโคตร ยาว และต่อเนื่องมากๆ แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่า หลังจากเราเดินผ่านเนินหมาหอบมาแล้ว เราจะเจออะไรกันบ้าง ถ้าเดาไม่ถูก งั้นผมจะปล่อยให้ภาพบรรยายบรรยากาศข้างบน แทนตัวหนังสือของผมแล้วกันครับ
เราหยุดกันอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่ห้าโมงเย็น จิบเบียร์ เปิดเพลง ลมหนาว กลิ่นไอดิน กลิ่นหญ้า เสียงชัตเตอร์ เสียงนก เสียงจิ้งหรีด ไอแดดอุ่นๆ และความอบอุ่นของเพื่อนๆ พวกเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่โมเม้นท์นี้ ก็ทำให้เราได้มีโอกาสคุยกันมากขึ้น ได้รู้จักกันมากขึ้น เราต่างสงบนิ่ง และนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินไปพร้อมกัน ถึงไม่ได้มากันแฟน แต่โมเม้นท์นั้น มันก็โรแมนติคในแบบนั้นอย่างลงตัว ยิ น ดี ที่ ไ ด้ รู้ จั ก
วันนั้นเราโชคดี หลังจากที่ดวงอาทิตย์ลับตาไป ฟ้าก็ระเบิด เปล่งเป็นประกายสีส้มแดง แสดงให้เห็นพลังของธรรมชาติที่สัมพันธ์กันได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด มองผ่านๆ ยังกับ poster หนัง your name เลยแฮ๊ะ ฮาๆๆ
[CR] Backpack ม่ อ น จ อ ง ด้วยเงิน 2,000 บาท
ตั้งแต่ไปม่อนจองคราวนั้น ชีวิตผมก็เปลี่ยนไปเป็นหน้ามือหลังมือ ครั้งแรกที่ผมไปก็เหมือนกับครั้งนี้ ผมรวมคนจากหน้าเพจ PALAPILII Thailand จำนวน 20 คน และพาพวกเขาเหล่านั้นขึ้นไปบนดอยที่ชื่อ " ม่ อ น จ อ ง " ก่อนมาผมประหม่า และมีอารมณ์ที่ท้าทาย ว่าข้างบนนี้มันมีอะไรดีนะ แต่หลังจากที่ผ่านเนินหมาหอบ (ช่วงหนึ่งของการเดินทาง) มันก็ทำให้ผมหลงรักที่นี่แบบไม่รู้ตัว และในครั้งนั้น ผมได้รู้จักคนคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ชีวิตผม เ ป ลี่ ย น ไ ป
คำว่า เ ป ลี่ ย น ไ ป ในชีวิตผมตอนนั้นน่ะหรอ มันเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่ผมไม่เคยใส่ใจ ผมอยากจะเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง แต่คิดว่าปิดไว้ดีกว่า ปล่อยให้มันเป็น มิตรภาพ ความรักและความทรงจำดีๆ บนเขาลูกนี้เถอะ และจุดประสงค์ที่ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง คือ กลับมาทำอะไรแบบเดิมๆ ที่เดิม เวลาเดิม เหมือนตอนนั้นอีก เพื่อที่จะได้คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะทิ้งมิตรภาพ ความรักและความทรงจำครั้งนั้นไป เอาล่ะ "เราพร้อม... ที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราสักที... "
ดอยม่อนจองตั้งอยู่บนทิวเขาถนนธงชัยตอนกลาง ปัจจุบันตั้งอยู่ใน อ.นันทบุรี เดิมตั้งอยู่ใน ต.แม่ตื่น อ.อมก๋อย คำว่า ม่อน เป็นภาษาคำเมืองที่หมายถึง ดอยหรือเนินเขา ส่วนคำว่า จอง ก็เป็นภาษาคำเมืองจะออกเสียงว่า จ๋อง หมายถึง ลักษณะจั่ว สามเหลี่ยมที่อยู่สูงที่สุด ดอยม่อนจอง ติดอันดับ 1 ใน 10 ของยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยจุดสูงสุดของดอยม่อนจองเรียกว่า หัวสิงห์ เพราะมีลักษณะคล้ายหัวสิงโต สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,929 เมตร ในอดีตดอยม่อนจองนับเป็นดินแดน แห่งสรรพสัตว์ที่ใช้ชีวิตอาศัยอยู่อย่างอิสระเสรี เช่นกวางผา หรือ ม้าเทวดาและเลียงผารวมทั้งโขลงช้างป่า แต่ปัจจุบันยังมีอยู่แต่ หาชมได้ยากมาก
ไฮไลต์ของการมาเที่ยวดอยม่อนจองก็คือการได้ชมภูเขาสูงสลับซับซ้อนซึ่งทุ่งหญ้าจะเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามตาในช่วงหน้าหนาว เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง และอีกสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือน ดอยม่อนจอง โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคม-มกราคมก็คือกุหลาบพันปีหรือชื่อเฉพาะว่าคำแดงที่กำลัง ออกดอกแย้มกลีบบานสะพรั่ง เต็มต้นอยู่เป็นดงตามไหล่เขา ว่ากันว่าต้นนี้เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสะด้วยสิ
ซึ่งการเดินทางนั้นง่ายมากๆ ครับ ไปที่ google map แล้ว search ว่าหมู่บ้านมูเซอ ต.ม่อนจอง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เท่านี้ ก็ไม่หลงแล้วครับ ซึ่งหลักๆ เราจะต้องเดินทางมาที่ อ.ฮอดก่อนครับ หลังจากนั้นก็ขับตามถนน หมายเลข 108 ยาวมาเลย ซึ่งระหว่างทางก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้แวะกันด้วย เช่น ออบหลวง และสวนสนบ่อแก้ว ถือเป็นอีกที่ที่ควรแวะถ่ายรูปมากๆ ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ ต.ยางเปียง ถนนหมายเลข 1099 ไม่นานนัก ก็ถึงหมู่บ้านมูเซอแล้วครับ
ออบหลวงเป็นสถานที่น่าเที่ยวที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติออบหลวง เป็นช่องแคบเขาขาดที่มีหน้าผาหิน ขนาบลำน้ำ ทำให้เกิดหุบผาลึก ความลึกของหน้าผาวัดจากสะพาน ออบหลวงถึงระดับน้ำปกติประมาณ 32 เมตร ส่วนแคบสุด 2 เมตร ความยาวของช่องแคบประมาณ 300 เมตร ธรรมชาติได้สร้างสรรความน่าพิศวงให้กับแผ่นดินส่วนนี้อย่างมหัศจรรย์ คำว่า “อ๊อบ” หรือ “ออบ” เป็นภาษาท้องถิ่นหมายถึงช่องแคบ “หลวง” หมายถึง ใหญ่ ออบหลวง คือชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกช่องแคบหิน ขนาดยักษ์ที่มีลำน้ำแม่แจ่มบีบตัวแทรกผ่านไป อีกนัยหนึ่งคือ หุบเขาบื้องล่างเป็นแม่น้ำสลักหิน ที่ไหลคดเคี้ยวผ่านช่องเขาขาด ตรงออบหลวงช่องเขานี้มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน และแคบมากบีบทางน้ำไหล ดังนั้นแม่น้ำตรงนี้จึงเชี่ยวจัด เสียงน้ำกระทบหน้าผา ดังสนั่นแต่รอบ ๆ บริเวณชายน้ำด้านเหนืองดงามไปด้วยหมู่ไม้น้อยใหญ่ ร่มรื่นอยู่ตลอดเวลาชั่วนาตาปี ยังมีสะพานเชื่อมช่องเขาขาด สำหรับนักท่องเที่ยวยืนชมความงดงามแห่งทัศนียภาพของออบหลวง นอกจากนั้นภายในบริเวณอุทยานฯ ยังมีการขุดค้นพบแหล่ง โบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วย รวมไปถึงกิจกรรมท้าความกล้าสำหรับคนบ้าบิ่น นั่นคือการล่องแก่งบริเวณช่องแคบออบหลวงแห่งนี้นั่นเอง
ส่วนสถานีทดลองปลูกพันธุ์ไม้บ่อแก้ว หรือ สวนสนบ่อแก้วเนี่ย ตั้งอยู่ในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ที่นี่เป็นจุดแวะหลักที่ต้องก้าวจากรถเพื่อแวะพักจากอาการมึนโค้งครับ (โค้งเยอะมาก) ผ่อนคลายถ่ายภาพตัวเองกับป่าสนที่เรียงรายเป็นทิวแถวทอดยาวสุด สวนสนบ่อแก้วเป็นพื้นที่ทดลองปลูกสนภูเขาชนิดต่าง ๆ ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ นำพันธุ์มาจากต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ และไต้หวัน เพื่อทดลองหาพันธุ์ที่เหมาะสมมาเป็นไม้เบิกนำ เพื่อปลูกบนป่าเสื่อมโทรมบนดอยทางภาคเหนือ ต้นสนที่นำมาปลูกมีอายุกว่า 40 ปี เพราะปลูกในช่วงปี พ.ศ.2509-2510 มีจำนวนหลายพันต้น เรียงรายเป็นระเบียบบนลานโล่งเตียนด้านหน้า
ทั้งนี้ สวนสนฯ ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจวัตถุดิบเพื่อทำเยื่อกระดาษและเป็นแปลงทดลองปลูกพืชจำนวนสนสามใบ และยูคาลิปตัส ในเนื้อที่ทั้งหมด 2,072 ไร่ มีสภาพอากาศชื้นและเย็นตลอดปี เมื่อเดินทางผ่านมายังเส้นทางนี้ จะสังเกตุเห็นต้นสนเป็น จำนวนมาก แต่ที่โดดเด่นและเป็นที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวก็คงจะเป็นแนวสนหน้าถนนทางเข้าฝั่งซ้ายมือ ที่มีการปลูกเรียงไว้เป็นแนว อย่างสวยงามทั้งสองข้างทาง มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจแวะมาถ่ายภาพสวยๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกจำนวนมากความสวยงามของที่นี่ จนที่ได้รับฉายาว่าเกาะนามิเมืองไทยอีกด้วย ฮาๆๆ ก็ไม่ต้องไปให้ไกลถึงเกาหลีหรอกนะ ที่บ้านเราก็มี ซึ่งภายในสวนมีถนนทอดผ่านนำเข้าสู่ดงสนสูงใหญ่ มีแสงแดดอ่อนๆในช่วงเช้า และเย็น ทำให้เกิดภาพสุดโรแมนติกที่หลายคนอดใจไม่ไหว ต้องแวะมาชื่นชมสักครั้งในชีวิต ช่วงที่น่าไปเที่ยวมากที่สุดคือฤดูหนาว เพราะในยามเช้าเราสามารถมองเห็นม่านหมอกปกคลุมอยู่บริเวณครึ่งบนของลานสน บวกกับแสงอาทิตย์บางๆ คล้อยลงมาเหมือนในภาพครับ
ตัดบทกลับมาที่การเดินทางขึ้นม่อนจองครับ เราจะต้องมารวมตัวที่ศูนย์ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนก่อนบ่ายหนึ่งครับ เพราะหลังจากนี้จะต้องนั่ง 4 Wheels ขึ้นไปราวๆ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ไม่ต้องพูดถึงทาง ทางนิค่อนข้างจะกันดารนิดหน่อย แต่เพราะความยากลำบากนี่แหละ มันเลยสนุก หลังจากที่ขึ้นไปถึงจุดเดินเท้า เพื่อนๆ จะต้องเดินเท้าอีกราวๆ 6 กิโลเมตร เพื่อไปยังจุด camping และห่างจากจุด camping อีก 2 กิโลฯ ก็คือยอดสุดบนดอยม่อนจอง (ผาหัวสิงห์) นั่นเอง
โดยค่าบริการต่างๆ ที่ผมพึ่งไปมาอัพเดทล่าสุดก็ประมาณนี้ครับ
ค่ารถสำหรับขึ้นเขา คันละ 3,000 บาท นั่งได้ไม่เกิน 12 คน (รวมลูกหาบ)
ค่าเข้าพื้นที่คนละ 40 บาท
ค่ากางเต้นท์ เต้นท์ละ 40 บาท
ค่ารถเข้าเขตฯ 50 บาท
ค่าลูกหากคนละ 600 บาท (แบกได้คนละไม่เกิน 20 กิโล)
ค่าเช่าเต้นท์และถุงนอน อย่างละ 100 บาท (อันนี้ไม่มั่นใจนะครับ)
ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ นักท่องเที่ยวมือใหม่ก็สามารถไปได้ครับ คือเดินง่าย ไม่ยากไป ไม่ง่ายไป และสิ่งที่ควรเตรียมไปคือ สิ่งของกันหนาว น้ำคนละ 2 ลิตร ยารักษาโรคประจำตัว และสเปรย์บรรเทาอาการปวดอักเสบกล้ามเนื้อ (เพราะทิรปนี้เราเน้นเดิน พกไว้ เผื่อเมื่อยเผื่อเจ็บ) อุปกรณ์ส่วนตัว และที่สำคัญ คือพร๊อพสำหรับถ่ายรูปด้านบน เพราะข้างบน บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมดี เป็นแบ็คกราวน์ให้เราได้อย่างเพอร์เฟ็คสุดๆ ครับ
ครึ่งทางของการเดินเท้าก็คือ "ผาช่อ" มีลักษณะเป็นหินชันตั้งสูงขึ้นไป สังเกตุได้ง่ายครับ ถ้าเดินมาถึงตรงนั้น ก็ถือว่าเบาใจได้แล้ว แต่หาก สี่โมงเย็นแล้ว ยังไม่ถึงบริเวณ "ผาช่อ" ยังไงก็ต้องรีบกันหน่อย เกรงว่าจะไปถึงดึก จะเป็นอันตรายได้ แล้วถ้าจะให้ดี ควรสั่งกับข้าวที่ทำสำเร็จขึ้นไปเหมือนแก๊งค์เราครับ ทานง่ายๆ กันตายก็พอ
ปกติแล้วหากคนเดินเป็นประจำ จะใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงก็เดินมาถึงเนินหมาหอบครับ แต่หากเป็นนักท่องเที่ยวขาเยือน หรือนานๆ มาเดินป่าที ก็บวกไปเลยอีก 1-2 ชั่วโมง ก็ราวๆ 3-4 ชั่วโมงนั่นแหละครับ ซึ่งเนินหมาหอบ ถือเป็นเนินสุดท้ายก่อนถึงจุด camping ที่ ที่สุดแล้วครับ คือชันโคตร ยาว และต่อเนื่องมากๆ แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่า หลังจากเราเดินผ่านเนินหมาหอบมาแล้ว เราจะเจออะไรกันบ้าง ถ้าเดาไม่ถูก งั้นผมจะปล่อยให้ภาพบรรยายบรรยากาศข้างบน แทนตัวหนังสือของผมแล้วกันครับ
เราหยุดกันอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่ห้าโมงเย็น จิบเบียร์ เปิดเพลง ลมหนาว กลิ่นไอดิน กลิ่นหญ้า เสียงชัตเตอร์ เสียงนก เสียงจิ้งหรีด ไอแดดอุ่นๆ และความอบอุ่นของเพื่อนๆ พวกเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่โมเม้นท์นี้ ก็ทำให้เราได้มีโอกาสคุยกันมากขึ้น ได้รู้จักกันมากขึ้น เราต่างสงบนิ่ง และนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินไปพร้อมกัน ถึงไม่ได้มากันแฟน แต่โมเม้นท์นั้น มันก็โรแมนติคในแบบนั้นอย่างลงตัว ยิ น ดี ที่ ไ ด้ รู้ จั ก
วันนั้นเราโชคดี หลังจากที่ดวงอาทิตย์ลับตาไป ฟ้าก็ระเบิด เปล่งเป็นประกายสีส้มแดง แสดงให้เห็นพลังของธรรมชาติที่สัมพันธ์กันได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด มองผ่านๆ ยังกับ poster หนัง your name เลยแฮ๊ะ ฮาๆๆ