สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิปทุกท่าน กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมในบ้านแห่งนี้เลยครับ ได้แวะเวียนเข้ามาอ่าน บ้างก็มาหาข้อมูลท่องเที่ยว มาอ่านกระทู้ที่ต่างๆ ก็ได้เรียนรู้จากที่แห่งนี่แหละ วันนี้เลยอยากจะมาเล่าประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวของตัวเองไปสัมผัสมาให้เพื่อนๆพันทิปไว้เป็นข้อมูลครับ
เมื่อการเดินทางของผมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ภาพความทรงจำเดิมกับการมาเยือนดินแดนอันแสนไกลแห่งนี้
ดินแดนที่อยู่ใต้สุดของจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ภาพของทุ่งหญ้าสีทองกับไอหมอก ความหนาวเย็นของยามเช้า และเส้นทางที่รอการพิชิตจากนัก เดินทาง ยังคงไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ ภาพเหล่านี้ทำให้ผมได้หวลคิดถึงความรู้สึกนั้นอีกครั้ง
"ดอยม่อนจอง" ขุนเขาสีทองแห่งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ และมีพื้นที่ติด อ.สามเงาจังหวัดตาก มีทั้งภูเขา หุบเขา และป่าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าทั้งยังเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ คือต้นน้ำแม่ตื่น
ดอยม่อนจอง มีจุดสูงสุดอยู่ที่ยอดหัวสิงห์ สูงประมาณ 1949 เมตร จากระดับน้ำทะเล ถือว่าติด Top 10 ของภูเขาในประเทศไทย ที่นี่จึงมักเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ชอบมาพิชิต
ไฮไลท์ของที่นี่
☘️เดินขึ้นผาสิงห์ ที่หน้าตาคล้ายสิงโต
☘️วิวสนามกอลฟ์ช้าง
☘️ผาลิงที่หน้าตาคล้ายลิง
☘️ดอกกุหลาบพันปี ที่จะบานช่วงธันวาคม-มกราคม
☘️กิจกรรมดูดาวที่มองเห็นได้ 360 องศา
ระยะทางทั้งหมดถึงผาหัวสิงห์ 8 กิโลเมตร
ดอยม่อนจองเปิดให้ท่องเที่ยวในช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึง 15 กุมภาพันธ์ของทุกปี
การได้มาเยือน '' ดอยม่อนจอง '' อีกครั้งของผมจึงยังคงตื่นเต้นที่จะได้เห็นความสวยงามของขุนเขา ได้สัมผัสบรรยากาศที่สุดยอด ความรู้สึกไม่ต่างจากครั้งแรกเลย แต่ผมมาด้วยร่างกายที่ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก เพราะมีปัญหาหัวเข่าที่รอการผ่าตัดรักษาอยู่ ซึ่งทำให้ผมคิดตลอดเวลาว่าคงไม่สามารถมาเยือนและเดินป่าแห่งนี้ได้ มันจึงเป็นความกลัวทีติดอยู่ในใจผมเสมอมา แต่ตอนนี้ผมอยากก้าวผ่านความกลัวนั้นแล้ว อยากพิสูจน์ร่างกายของตัวเอง อยากพิชิตดอยม่อนจองอีกสักครั้งแล้วผมก็ได้คำตอบจากใจผมเองแล้ว ผมตัดสินใจตามที่หัวใจเรียกร้องและการเดินทางของผมจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง
.............🍂🌿☘️🌄🍂🌳🌻🌞🌥🍂............
การเดินทางของเราเริ่มขึ้นจากการเหมารถตู้ เดินทางจาก กทม. เวลา 20:30 ถึง อ.อมก๋อย เวลา 6:30 ซึ่งถึงรุ่งเช้าพอดีและเดินทางต่อไปยังตำบลแม่ตื่นอีกเป็นระยะทางกว่า 40 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ก็ถึงหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ จุดนี้จะเป็นจุดให้นักท่องเที่ยวจัดการเรื่องสัมภาระต่างๆ ในส่วนของคนนำทาง ลูกหาบ และรถปิกอัพ 4WD เพื่อนำพาเราไปจุดเริ่มเดินนั่นเอง
หลังจากจัดสัมภาระเสร็จเรียบร้อย รถปิกอัพ 4WD ก็จะไปส่งเราที่จุดเริ่มเดินอีก 16 กิโลเมตรก่อนจะเดินเท้าเข้าไปอีกเป็นระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร ช่วงนี้ เป็นเส้นทางขึ้นลงและราบสลับกัน อย่าลืมเตรียมผ้าคลุมหน้ากันฝุ่นและ จับยึดกันให้ดีๆครับ เมื่อพร้อมก็ไปลุยกันได้เลยครับ
ไม่นานนักพวกเราก็มาถึงยังจุดเริ่มเดินขึ้นยอดดอยม่อนจองที่พร้อมที่จะเดินไปพิชิตกันแล้ว
ดอยม่อนจองเปิดให้ท่องเที่ยวในช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ไปจนถึง 15 กุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะปิด ไม่อนุญาตให้ นักท่องเที่ยวขึ้นเพราะต้องระวังภัยเรื่องสัตว์ป่าที่ออกมาหากิน โดยเฉพาะช้างป่า รวมถึงภัยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้นคือไฟป่านั่นเอง
สำหรับการเดินป่าที่ม่อนจองนั้นเส้นทางเดินลัดเลาะไปตามเนินเขาและป่าขึ้นลงสลับกัน
การเดินทางจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงนิยมมาค้างเพียง 2 วัน 1 คืน แล้วในที่สุดเราก็มาถึงจุดที่เรียกว่าภูหินช่อ ซึ่งน่าเดินมาได้ครึ่งหนึ่งก่อนจะถึงจุดหมายแล้ว
ภูหินช่อถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ เพราะที่นี่จะมีลักษณะเป็นกลุ่มภูผาหินที่สวยงาม เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สามารถเห็นวิวภูเขาสวยงามได้โดยรอบครับ
ระหว่างทางเราได้พปปะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวอีกหลายๆกลุ่มที่มีแนวทางเดียวกัน ทุกคนยิ้มและกล่าวทักทายกันด้วยมิตรไมตรีที่ดี สิ่งนี้เองที่ทำให้ผมเชื่อเสมอว่า
" มิตรภาพนั้นเกิดขึ้นได้ระหว่างทางเสมอ"
ไม่นานนักเราก็เดินทางมาถึงเนินวัดใจ "เนินฮิปหอบ'' หรือเนินที่พวกเราเรียกกันว่า เนินหมาหอบ ครับ
นักท่องเที่ยวทุกคนที่จะไปม่อนจองต้องผ่านจุดนี้ครับ ซึ่งชันเอาเรื่องเลย เมื่อพร้อมแล้วก็สูดลมหายใจลึกๆแล้วไปลุยเนินนี้กันเลยครับ
ผ่านเนินฮิบฮอบแล้ว ผมจึงไม่รอช้าที่จะขอเก็บภาพฮิปเตอร์สาวผู้รักการท่องป่า ต้องขอชื่นชมกับนักท่องเที่ยวสาว น้องๆที่มาเดิน ณ ที่แห่งนี้เลยว่าเก่งมาก ถึงแม้อากาศจะร้อนเพียงไหนก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเดินแม้แต่น้อยครับ
นอกจากจะอากาศดีและธรรมชาติที่สวยงามแล้ว รู้หรือไหมครับว่าที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของเหล่าฮิปเตอร์
เมื่อเดินมาเรื่อยๆความรู้สึกครั้งเก่าของผมนั้นก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง ภาพของม่อนจองในการเดินทางมาเยือนครั้งนี้ก็เช่นกัน นอกจากความสวยงามที่เราได้สัมผัสสิ่งที่ผมได้รับเพิ่มก็คือมิตรภาพของเพื่อนร่วมทางนั่นเองซึ่งหาซื้อที่ไหนไม่ได้
ม่อนจองเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนซึ่งทุ่งหญ้าจะเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามตาในช่วงหน้าหนาว และจะเขียวชะอุ่มในฤดูฝน
จุดกางเต้นท์ ของที่นี่สามารถเลือกกางเต้นท์ได้ 2 ลานคือ ลานด้านล่าง และลานด้านบน มีป้ายบอก นักท่องเที่ยวไม่สามารถกางบนยอดหรือแนวทุ่งหญ้าได้เพราะกลางคืนลมแรงมากอาจจะเกิดอันตรายได้ครับ
ไม่นานผมและสมาชิกก็มาถึงยังจุดหมาย หลังจากพวกเรากางเต้นท์ หายเหนื่อยกันแล้วก็เป็นเวลาที่จะขึ้นไปชมบรรยากาศด้านบนครับ
การมาที่นี่ของแต่ละเดือนก็ให้บรรยากาศที่แตกต่างกันไปครับ ถ้ามาในช่วงเดือน ม.ค. - ก.พ. ก็จะได้พบกับทุ่งหญ้าสีทองอร่ามสำหรับใครที่มาช่วงเดือน พ.ย. ก็จะได้เห็นหญ้าสีเขียว
นอกจากบรรยากาศดีๆ ที่ม่อนจองยังเป็นจุดชมพระอาทิตยืขึ้นและตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งเลยนะครับ
แสงแดดอันร้อนจ้าแต่โชยไปด้วยสายลม ทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่าข้างบนนี้ร้อนเลย ทุกคนที่มาเยือนต่างเก็บภาพของบรรยากาศไว้ในทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราได้มาเยือน ณ ที่แห่งนี้
ภาพเบื้องหน้าที่เราเห็นนั้นก็คือยอดหัวสิงห์นั่นเอง ยอดที่สูงประมาณ 1949 เมตร จากระดับน้ำทะเล ที่รอให้ผู้พิชิตมาสัมผัส
อาทิตย์เริ่มคล้อยลงช้าๆ แสงอุ่นๆค่อยๆทอดผ่านทิวเขา และทุ่งหญ้าสีทอง
ไม่นานอาทิตย์ก็ค่อยๆลับขอบฟ้า
ก่อนที่แสงของวันใหม่จะขึ้นมาตอนรับเราอีกครั้ง
สุดท้าย สำหรับทริปนี้ของผม อาจจะไม่ได้ถ่ายภาพอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ผมก็ได้รับมิตรภาพที่ดีในการเดินทางกลับมาแทน
แล้วเจอกันใหม่'' ม่อนจอง "
ขอบคุณที่เข้ามาชมและอ่านกระทู้
สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่เพจท่องเที่ยวด้านล่างนี้ครับ
เพจ : หนีเที่ยว
ม่อนจอง : ขุนเขาสีทอง..มนต์เสน่ห์แห่งต้นน้ำแม่ตื่น