ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ เผยปี 59 กวาดรายได้ 2,000 ลบ. ปี 60 ใช้งบลงทุน 2,200 ลบ. หวังรายได้โต 15%

กระทู้ข่าว

ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ เผยปี 59 กวาดรายได้ 2,000 ลบ.
ปี 60 ใช้งบลงทุน 2,200 ลบ. หวังรายได้โต 15%
วาดแผนพัฒนา 5 ปีจากนี้เน้นลงทุนเพิ่มใน กทม. และปริมณฑลเป็นหลัก




           นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มไลฟ์สไตล์ กลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด เปิดเผยว่าในปี 59 คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท จากจำนวนโครงการทั้งหมด 8 โครงการ ประกอบด้วย โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์งามวงศ์วาน ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ บางกะปิ ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่ ศูนย์การค้าเซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยาม สแควร์ และบ็อกซ์ สเปซ รัชโยธิน เป็นการเติบโต11% โดยในปี 60 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้รวมทั้งหมดเพิ่มขึ้น เป็น 2,300 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% จากปี 59 โดยจะยังไม่มีการเปิดโครงการใหม่ในปี 60 แต่จะเป็นการปรับพื้นที่ภายในแต่ละศูนย์ฯ ให้สามารถเติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้า ยุคปัจจุบันให้ดียิ่งขึ้น  ซึ่งศูนย์ฯ ที่จะเน้นเรื่องการปรับโฉม  ในปีหน้า ได้แก่ พันธุ์ทิพย์ บางกะปิ และพันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่ คาดว่าจะเปิดให้บริการโฉมใหม่ได้ภายในกลางปี 60 นอกจากนั้นยังคงใช้งบประมาณลงทุนในขั้นตอนพัฒนาโครงการ อาทิ ศูนย์การค้าเกตเวย์ บางซื่อ ส่วนขยายเพิ่มเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ และบ็อคซ์สเปซ สรรพาวุธ รวมใช้งบลงทุนปี 60 ถึง 2,200 ล้านบาท

ด้านมุมมองต่อการดำเนินการพัฒนาธุรกิจรีเทลเมืองไทยในอนาคตนั้น นายณภัทร เจริญกุล แสดงมุมมองต่อประเด็นดังกล่าวว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าการลงทุนพัฒนาโครงการธุรกิจรีเทลใน กทม. และเมืองโดยรอบจะมีเพิ่มมากขึ้นแต่ก็ยากขึ้นเช่นกัน จะอยู่ได้ต้องอาศัยความต่างและศักยภาพในการตอบโจทย์ อย่างไรก็ตามการลงทุนในเมืองขนาดใหญ่อื่นๆ ในประเทศยังมีความน่าสนใจ เนื่องด้วยการเติบโตของแต่ละเมืองรวมถึงการขยายตัวของการท่องเที่ยวที่มีอย่างต่อเนื่องจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนให้เข้าไปลงทุน  

“แผนการลงทุนของเราในอีก 5 ปีข้างหน้าระหว่างปี 2560 – 2564 นั้น เรายังเน้นลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในเขต กทม. และเมืองโดยรอบภายใต้ 5 แบรนด์ที่เรามีอยู่ ประกอบด้วย  เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์, พันธุ์ทิพย์, เกตเวย์, เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ และบ็อกซ์ สเปซ สรรพาวุธ โดยคาดว่าจะมีการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 9-10 โครงการ ทำให้ใน 5 ปีข้างหน้าเราคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 4,800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันสูงถึง 140%” นายณภัทร เจริญกุล กล่าวถึงภาพรวมการเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ทุ่มงบ 300 ลบ. เนรมิตไฮไลท์ใหม่  ดูดนักท่องเที่ยวไทยและเทศ พร้อมอัดกิจกรรมตลอดปี 60 ในโอกาสดำเนินธุรกิจสู่ปีที่ 5 คาดปี 60 มีรายได้เติบโต 13%
นายมานพ   คำสว่าง   ผู้จัดการทั่วไป  โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์  เปิดเผยว่า  ที่ผ่านมาเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ได้แสดงศักยภาพจนสามารถพัฒนาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองไทยได้สำเร็จ  และได้รับรางวัลต่างๆ มาครองได้อย่างสมภาคภูมิ อาทิ รางวัล PEOPLE'S CHOICE AWARDS THAILAND "Top Choice Shopping Area" 2016 ที่ได้รับการโหวตโดยกลุ่มนักท่องเที่ยวในประเทศจีน ซึ่งจัดขึ้นโดย ททท. และ รางวัล Recreational attraction standard excellent level 2015-2017 ในปี 2016 ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นสถานประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวยอดเยี่ยมที่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวด้วยความเป็นเลิศ ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยในปีนี้เราได้จับมือร่วมกับบริษัททัวร์ชั้นนำ         ของไทยกว่า 400 บริษัท  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว หรือ ATTA เพื่อร่วมโรดโชว์ในต่างประเทศ  เพราะถือเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างให้เกิดการรับรู้ และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวของไทยอย่างยั่งยืน

ในด้านการพัฒนาร้านค้าที่ผ่านมา มีร้านค้าและร้านอาหารเปิดใหม่ อาทิ ร้านมินิโซ ร้านเถ้าแก่น้อย ร้านจินจูหูฉลาม ร้านโอชา โดยแต่ละร้านมีจุดเด่นที่สามารถดึงดูดความต้องการกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวให้ใช้จ่ายได้อย่างเต็มที่ และในปัจจุบัน เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของไทยที่จุดประกายให้การท่องเที่ยวริมแม่น้ำได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งพิจารณาจากอัตราการเข้าพักของโรงแรมย่านริมน้ำจากเดิมอยู่ที่ 35% ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 80%  ในปัจจุบัน กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในโครงการแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวไทย 40% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60% โดย 5 ประเทศหลักในโซนเอเชียประกอบด้วย ไต้หวัน จีน เกาหลี ฮ่องกง อินโดนีเซีย และ ขยายตลาดไปยังโซนยุโรป โดยอัตราการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเฉลี่ยที่ 1,500 บาท และ 2,000 บาทตามลำดับ

“ในอนาคตอันใกล้เราได้เตรียมพัฒนาไฮไลท์หลักใหม่ๆ เพื่อเพิ่มสีสันการท่องเที่ยวใหม่ๆ อาทิ การสร้างเรือรบหลวง ในสมัยรัชกาลที่ 5 ขึ้น เพื่อนำมาจอดเทียบท่าเอเชียทีค ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนขออนุญาตและคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างอีก ประมาณ 18 เดือน ซึ่งเราวางแผนจะพัฒนาเป็นร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งเพื่อสร้างประสบการณ์ความประทับใจใหม่ให้เกิดขึ้นแก่ผู้มาเยือน ซึ่งจะดำเนินงานโดย ฟู้ด ออฟ เอเชีย  นอกจากนี้ เรายังได้วางแผนขยายท่าเรือเป็น 3 ท่า ซึ่งจะเป็นท่าเรือที่ยาวที่สุดที่สามารถรองรับเรือสำราญได้พร้อมกันถึงสองลำ และปรับพื้นที่รองรับการจอดของเรือท่องเที่ยว Dinner Cruise คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 60 หากก่อสร้างเสร็จแล้วจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการแวะท่องเที่ยว และที่สำคัญยังได้เพิ่มจำนวนเรือโดยสารของเอเชียทีคให้เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน การปรับพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร เพื่อพัฒนาเป็น High Street Fashion Zone บนพื้นที่บริเวณซอย 4 และปรับสไตล์การนำเสนอสินค้าในโกดัง 7 และ 8 ให้เป็น Urbano  Zone อย่างเต็มรูปแบบ  นอกจากนี้ ยังมีแผนการพัฒนา Beauty Zone ฝั่งลานจอด 2 เพื่อพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางสินค้าที่สามารถเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน โดยการพัฒนาทุกไฮไลท์ที่กล่าวมานี้จะใช้งบประมาณรวม 150 ล้านบาท” นายมานพ   คำสว่าง อธิบายเพิ่มเติม   โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์  วางแผนการจัดกิจกรรม Iconic Event สำคัญต่างๆ ขึ้นตลอดปี อาทิ เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง เทศกาลปีใหม่ งานฟูลมูนปาร์ตี้ และกิจกรรมใหม่ๆ อีกทั้งในปี 60 พิเศษกว่าทุกปีด้วยการจัดงานครบรอบ 5 ปี ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างให้เกิดการรับรู้ในศักยภาพของพื้นที่ที่รองรับการจัดงานใหญ่ๆ ระดับประเทศได้อีกด้วย โดยคาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงกลางปี 60”  

ด้านแผนการจัดกิจกรรมช่วงส่งท้ายปีนั้น นายมานพ คำสว่าง กล่าวเสริมว่า ในปีนี้เราได้จัดสรรงบการตลาดไว้ เพื่อสร้างการรับรู้ตลอดจนกระตุ้นให้กลุ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนโครงการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะได้ร่วมหารือแนวทางกับสมาคมธุรกิจการค้าในแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแผนกระตุ้นยอดนักท่องเที่ยวแล้ว เรายังได้ผนึกพลังร่วมกับพาร์ทเนอร์แบรนด์ในธุรกิจต่างๆ จัดแคมเปญโปรโมชั่นร่วมกัน อาทิ การจับมือกับธุรกิจสายการบิน ได้แก่ การบินไทย  และแอร์เอเชีย ในการมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่กลุ่มลูกค้าสายการบินนั้นๆ และพร้อมที่จะขยายความร่วมมือไปยังสายการบินอื่นๆ ในอนาคต  

เกตเวย์ เอกมัย เตรียมสร้างทอล์คครั้งใหญ่ สะเทือนวงการรีเทลย่านเอกมัย-สุขุมวิทหลังโชว์ฟอร์มดึงพาร์ทเนอร์ชื่อดังร่วมพัฒนาพื้นที่รับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้น คาดปี 60 มีรายได้เติบโต 12%

นางสาวราชพฤกษ์ อุบลศรี ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย เปิดเผยว่า ในปีนี้ ศูนย์ฯ มีร้านค้าและบริการที่ ครบครันและสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น อาทิ Tim Ho Wan ร้านอาหารจีนระดับมิชลินสตาร์จากฮ่องกง Sulbing ร้านคาเฟ่ขนมหวานสไตล์เกาหลีอันดับหนึ่ง Manee Me More ร้านอาหารชาบูสไตล์ไทย So Asean ร้านอาหารอาเซียนสไตล์ฟิวชั่น Food Street ศูนย์อาหารขนาดใหญ่ Flight Experience & Sky Venture ศูนย์การเรียนรู้ด้านการบินเสมือนจริง One Piece Mugiwara Store Bangkok ร้านสินค้าลิขสิทธิ์แท้คาแรคเตอร์การ์ตูนวันพีซ จากประเทศญี่ปุ่นที่แรกและที่เดียวในประเทศไทย โดยตลอดปีนี้เราได้จัดกิจกรรมต่างๆ มากมายท่ามกลางปริมาณผู้เข้าร่วมงานมากขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาสูงถึง 2 เท่า และจะเดินหน้าสานต่อกระแสนิยมดังกล่าวร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องตลอดปี 60

สำหรับกิจกรรมในช่วงส่งท้ายปีนั้น  ทางศูนย์ฯ ได้จัดเตรียมกิจกรรมต่างๆ เพื่อจะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าไว้มากมาย อาทิ  กิจกรรม Gunpla Builder World Cup 23 – 27 พ.ย. 59 การแข่งขันประกอบ, ทำสี, ดัดแปลง และสร้างสรรค์  Model Kit Gunpla โดยผู้ชนะเลิศ ของแต่ละรุ่นจะได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยเพื่อไปแข่งขันต่อที่ประเทศญี่ปุ่น โดยต้องวัดฝีมือกับตัวแทนของแต่ละประเทศทั้ง 13 ประเทศเพื่อชิงแชมป์ระดับโลก ที่ลานกิจกรรม ชั้น M กิจกรรม Urban Happiness @ Gateway Ekamai  1- 31 ธ.ค. 59 ร่วมส่งท้ายปลายปีกับแคมเปญ Sale Promotion พิเศษแห่งปี โดยลูกค้าสามารถนำใบเสร็จที่ได้รับจากการซื้อสินค้าและบริการภายในศูนย์การค้าฯ มาแลกรับของรางวัล พร้อมพบกับสิทธิพิเศษมากมายได้ตลอดเดือนธันวาคม กิจกรรม Gift Story @ Gateway Ekamai  21 – 27 ธ.ค. 59 มอบความสุขแทนใจส่งท้ายปลายปี 59 และต้อนรับปีใหม่ 60 กับเทศกาลจำหน่ายของขวัญหลากสไตล์ หลากหลายร้านค้าในงาน Gift Story@ Gateway Ekamai ที่พร้อมแทนความรู้สึกดีๆ เพื่อมอบให้คนพิเศษที่ลานกิจกรรม ชั้น M

“จากปริมาณ traffic ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราวางแผนสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของศูนย์ฯ ตลอดช่วงปลายปีนี้และตลอดปี 2560 ด้วยการพัฒนาและการเติมเต็มไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าอย่างไม่หยุดนิ่งผ่านร้านค้าและบริการใหม่ๆ อาทิ การเปิดHomePro Living ภายใต้คอนเซปท์ Better Home Better Living บนพื้นที่ 1,200 ตารางเมตร บริเวณชั้น 1 เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในเมืองเน้นสินค้าตกแต่งบ้านที่มีดีไซน์ ฟังก์ชั่น ทันสมัย ในราคาที่คุ้มค่า  เปิดตัว Stanley Miniventure เมืองจำลองสัดส่วน 1:87 แห่งแรกในประเทศไทยและใหญ่ที่สุดในเอเชีย บนพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร บริเวณชั้น 2  การจัดสรรพื้นที่เพื่อพัฒนาเป็น Office Zone ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ ชั้น 5  เป็นโซนออฟฟิศให้เช่า ขนาด 2,600 ตารางเมตร ซึ่งขณะนี้ปล่อยเช่าไปแล้วกว่า 90% และจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2560  การเปิด Bunka Fashion Academy สถาบันบุนกะแฟชั่น สถาบันสอนการออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้าแฟชั่น บนพื้นที่ 1,100 ตารางเมตร บริเวณชั้น 5 ซึ่งเป็นเครือข่ายของ BUNKA FASHION COLLEGE สถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลกของญี่ปุ่น ที่เน้นการให้ความรู้และทักษะฝีมือครบวงจรอย่างแท้จริง

“ในปี 60 ศูนย์ฯ มีการปรับเปลี่ยน Merchandise และ Positioning เพื่อตอบโจทย์ Lifestyle ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคโดยพยายามรวมกิจกรรมที่จำเป็นของลูกค้ามาไว้ในที่เดียวเพื่อประหยัดเวลา โดยมุ่งเน้นการเติมเต็มส่วนที่ยังขาดหายและพัฒนาปรับเปลี่ยนเพื่อสร้าง Variety โดยได้เพิ่มน้ำหนักการขยายลูกค้ามายังกลุ่มลูกค้าครอบครัวและคนทำงานย่าน          ทองหล่อ เอกมัย พระโขนง  โดยได้วางกลยุทธ์ 3 ส่วน คือ 1. เติมเต็มบรรยากาศและการบริการต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งความสุขให้แก่สมาชิกทุกคนในครอบครัว (FulFill Happiness for the Whole Family) 2. เสริมสร้างบรรยากาศและร้านค้าเพื่อให้เป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถมาใช้บริการได้ทุกวัน  (The Everyday Shopping Mall Destination) 3. เสริมสร้างการรับรู้ที่เข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่