สิงคโปร์ผวา ไทยตั้ง “สถานบันเทิงครบวงจร” ล็อบบี้ยักษ์กาสิโนสหรัฐสกัดลงทุน

สิงคโปร์ผวา ไทยตั้ง “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ซุ่มล็อบบี้ยักษ์ใหญ่กาสิโน สหรัฐฯ “Las Vegas Sand” ไม่ให้ลงทุน หวั่นแย่งลูกค้ามารีน่า เบย์ แซนด์ส เชื่อไทยศักยภาพสูง พื้นที่กว้างขวาง สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ด้านเอกชนเสียงแตก มีทั้งค้าน-สนับสนุน

จากกรณีที่รัฐบาลผลักดันร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้ง “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ในประเทศไทย พบว่ามีความคืบหน้าและประเด็นที่น่าจับตามองหลายประการ โดยเฉพาะท่าทีของสิงคโปร์ที่พยายามล็อบบี้ บริษัท Las Vegas Sands เจ้าของกาสิโนยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ที่ลงทุนในมารีน่า เบย์ แซนด์ส ของสิงคโปร์ไม่ให้เข้ามาลงทุนในไทย

แหล่งข่าวระดับสูง เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า รัฐบาลสิงคโปร์ไม่ต้องการให้ Las Vegas Sands เข้ามาลงทุนในลักษณะนี้ในประเทศไทย เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อธุรกิจกาสิโนในสิงคโปร์ โดยเฉพาะมารีน่า เบย์ แซนด์ส ที่อาจสูญเสียลูกค้าให้กับไทย เพราะไทยมีความได้เปรียบทั้งด้านขนาดพื้นที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
 
ไทยศักยภาพเหนือกว่า “สิงคโปร์”
“ไทยมีศักยภาพสูงกว่าสิงคโปร์ในหลายด้าน โดยเฉพาะพื้นที่จัดงานขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับคนได้นับหมื่น ขณะที่สิงคโปร์มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ อีกทั้งไทยยังมีโรงแรมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวระดับพรีเมียม”
   
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการ โดยเฉพาะกลุ่มทุนใหญ่จากสิงคโปร์และมาเก๊า อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังมีข้อกังวลในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการจัดตั้งสำนักงานกำกับดูแลที่จะมีอำนาจในการออกใบอนุญาตและกำหนดพื้นที่ตั้งโครงการ

ซึ่งอาจเกิดปัญหาเรื่องความโปร่งใสและการแทรกแซงผลประโยชน์ หากต้องการให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ รัฐบาลควรศึกษาโมเดลการกำกับดูแลจากต่างประเทศ เช่น ลาสเวกัส ที่มีระบบการควบคุมที่เข้มงวดและมีมาตรการป้องกันปัญหาการฟอกเงินและการพนันที่มีประสิทธิภาพ
 
“Marina Bay Sands จะเข้ามาลงทุนกาสิโนในไทยเหมือนกัน รัฐบาลสิงคโปร์จึงล็อบบี้ไม่อยากให้ลงทุนในไทย เพราะลูกค้าจะมาในประเทศไทยมากกว่าสิงคโปร์ และเห็นว่า การมีกาสิโนไม่ควรมี 2 โลเคชั่นใกล้ ๆ กัน ซึ่งประเทศไทยเองมีความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า เช่น โรงแรมขนาดใหญ่ คนที่เล่นการพนันจะเป็นลูกค้าประจำจะติดแบรนด์ มีการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง และเมื่อลงทุนแล้วจะดึงลูกค้ามาด้วย มองว่า ถ้ารัฐบาลจะต้องเข้าใจเกมเรื่องนี้จริงก็ต้องดึงรายใหญ่เข้ามา เพราะกลุ่มนี้จะมีกลุ่มลูกค้าตัวเองอยู่แล้ว”
 
ห่วงยัดไส้พนันออนไลน์
“นักเล่นที่เป็นกลุ่มพวกนี้จริง ๆ จะมีไลฟ์สไตล์ต่างกัน ไม่ใช่นักการพนัน แต่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มลักชัวรี่ ที่ผ่านมาคนเข้าใจผิดว่าจะได้นักพนัน แต่จริง ๆ จะเป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงเข้ามา แต่สิ่งที่อยากบอกรัฐบาล คือ ต้องเล่าเรื่องนี้ให้เป็น ต้องพูดกันตรง ๆ เพราะหลายคนไม่เข้าใจว่าเป็นการทำให้บ่อนการพนันผิดกฎหมายขึ้นมา แต่ที่จริงเป็นการสร้างสิ่งปลูกสร้างชนิดใหม่ขึ้นมาเพิ่มเติม เหมือนเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีโครงการนำร่อง เหมือนเป็นแซนด์บ๊อกซ์ขึ้นมา” ผู้เชี่ยวชาญยังระบุอีกว่า

สิ่งที่ต้องติดตามคือ การจัดเก็บรายได้ Entertainment Complex จะต้องดูว่า จะเวฟหรือเก็บภาษีลักษณะไหน และมีสำนักงานขึ้นมาดูแล แต่บ้านเราต้องดูสำนักงานนี้ต้องไม่ใช่มาตบทรัพย์ใบอนุญาต

“ต่างชาติมองว่า ถ้าไทยผลักดันกฎหมายให้เป็นสากลจริง ๆ ต่างชาติพร้อมมาลงทุน เพราะเขาคำนวณรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจกาสิโนมีความเหมาะสม ดังนั้นถ้าควบคุมอย่างถูกต้องจะสร้างรายได้เข้าประเทศ ส่วนผลกระทบทางสังคม ก็ต้องพูดให้ชัดว่า กาสิโนไม่ใช่บ่อนการพนัน แต่ที่ห่วงจะยัดไส้พนันออนไลน์ ซึ่งถ้าทำแบบนี้กฤษฎีกาไม่ชอบแน่นอน เพราะที่ผ่านมามีคนวิ่งเต้นเรื่องนี้กับรัฐบาล”
 

ดึง 6 ทุนยักษ์ต่างชาติลงทุนแสนล้าน สถานบันเทิงครบวงจร
ไทยเนื้อหอมต่างชาติรุมตอม  
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่น่าจับตาเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยเฉพาะในส่วนของการกำหนดขอบเขตธุรกิจและมาตรการป้องกันผลกระทบทางสังคม โดยรัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชนในเรื่องความโปร่งใสและการป้องกันผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้น
ขณะนี้มีเอกชนต่างชาติที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมรีสอร์ทและกาสิโนระดับโลกให้ความสนใจลงทุนในไทย 6 ราย ประกอบด้วย 1. Las Vegas Sands 2.กลุ่ม Wynn Resorts 3. กลุ่ม Caesars Entertainment 4. กลุ่ม MGM China Holdings Limited 5. กลุ่ม Hard Rock Café 6. Melco Resorts & Entertainment ผู้ดำเนินการคาสิโนในมาเก๊า

สำหรับ Las Vegas Sands Corporation (แซนด์) เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมรีสอร์ทและกาสิโนระดับโลก ก่อตั้งในปี 1988 โดย Sheldon Adelson โดยเริ่มจากการซื้อ Sands Hotel ในลาสเวกัส ด้วยมูลค่า 128 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้เติบโตเป็นอาณาจักรธุรกิจที่มีมูลค่าตลาดกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ การเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ขยายการลงทุนไปยังมาเก๊า และสิงคโปร์ โดยรายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจกาสิโน 60-70% ตามมาด้วยธุรกิจโรงแรมและที่พัก 15-20% ร้านอาหารและร้านค้าปลีก 5-10% และการจัดประชุมและนิทรรศการ 5-10%
ส่วน Mariana Bay Sand สิงคโปร์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มีโรงแรม ศูนย์ประชุม โรงละคร ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้า กาสิโนแบบเปิดโล่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าการลงทุนกว่า 5.7 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ เฉพาะรายได้จากกาสิโน อยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทต่อปี
 
เผย 6 ทุนยักษ์ต่างชาติพร้อมทุ่มลงทุนแสนล้าน
นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงแผนการพัฒนาโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Integrated Entertainment Complex) ว่า ขณะนี้มีผู้ประกอบการระดับโลก 6 ราย แสดงความสนใจเข้าร่วมลงทุน โดยแต่ละรายต้องลงทุนขั้นต่ำ 100,000 ล้านบาท
“โครงการนี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบครบวงจรสำหรับครอบครัว ประกอบด้วยโรงแรม ศูนย์ประชุม สถานบันเทิง และพื้นที่จัดกิจกรรม โดยมีคาสิโนเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ ไม่เกิน 5% ของพื้นที่ทั้งหมด" นพ.พรหมินทร์กล่าว
เลขาธิการนายกรัฐมนตรียังระบุว่า โครงการจะสร้างการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 20,000 ตำแหน่งต่อโครงการในช่วงก่อสร้าง พร้อมทั้งมีการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรไทย นอกจากนี้ยังกำหนดเงื่อนไขด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ให้ผู้ประกอบการต้องมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนโดยรอบ
“ไทยต้องเร่งดำเนินการเพราะต้องแข่งขันกับโอซาก้าของญี่ปุ่นที่กำลังจะเปิด ผู้ประกอบการหลายรายมองว่าไทยมีศักยภาพสูงมาก เพราะมีความพร้อมด้านการท่องเที่ยวและโครงสร้างพื้นฐาน บางรายถึงกับบอกว่าไทยอาจสร้างอารีน่าขนาด 16,000 ที่นั่งได้ ซึ่งใหญ่กว่าที่อื่นที่ทำได้แค่ 12,000 ที่นั่ง” นพ.พรหมินทร์กล่าว พร้อมกับระบุถึงกรณีที่มีข่าวว่าสิงคโปร์ล็อบบี้ไม่ให้กลุ่ม Las Vegas Sands เข้ามาลงทุนในไทยว่า หากกลุ่ม Las Vegas Sands ไม่มาลงทุนก็ยังมีนักลงทุนรายอื่นที่สนใจลงทุนอีก 5 ราย เราก็เลือกรายอื่น
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะต้องเป็นการลงทุนใหม่ทั้งหมด ไม่สามารถต่อยอดจากโครงการเดิมได้ เพื่อให้เกิดการลงทุนที่แท้จริง โดยจะเน้นการพัฒนาบนที่ดินของรัฐ และต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม รวมถึงอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
 
คาดสร้างรายได้ท่องเที่ยว 2.38 แสนล้าน
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการศึกษาพบว่าในช่วงแรกของการก่อสร้างสถานบันเทิงครบวงจรจะทำให้จีดีพีขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเปิดให้บริการแล้วจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.7% โดยรัฐบาลประเมินว่าเม็ดเงินลงทุนเบื้องต้นจากการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท พร้อมสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1.19 - 2.38 แสนล้านบาท
   จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์
ด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โครงการนี้จะสร้างการจ้างงานโดยตรง 9,000 - 15,300 ตำแหน่ง คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของอัตราการจ้างงานคนไทย 0.03 - 0.05% ก่อให้เกิดการจ้างงานโดยอ้อมในธุรกิจต่อเนื่อง อาทิ งานด้านการออกแบบ การขนส่ง และธุรกิจโดยรอบ โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้รัฐประมาณ 12,037 - 39,427 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นรายได้ภาษีจากกิจการโรงแรม 5 ดาว และสวนสนุก 8,773 - 35,093 ล้านบาทต่อปี รายได้จากกิจการกาสิโนขั้นต่ำ 3,264 ล้านบาทต่อปี และค่าธรรมเนียมการเข้ากาสิโนอีกขั้นต่ำ 3,700 ล้านบาทต่อปี
ในแง่การท่องเที่ยว คาดว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 - 10% ต่อปี และกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วง low season เพิ่มขึ้น 13% พร้อมเพิ่มการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปจาก 44,000 บาท เป็น 66,043 บาท
จากกรณีศึกษาความสำเร็จในประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าสิงคโปร์สามารถสร้างรายได้ถึง 4.3 แสนล้านบาทต่อปี เพิ่ม GDP 1 - 2% ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ 3 แสนล้านบาท และสร้างการจ้างงาน 20,000 ตำแหน่ง ขณะที่เวียดนามสามารถสร้างรายได้ 1.8 แสนล้านบาทต่อปี อินโดนีเซีย 1.4 แสนล้านบาทต่อปี เกาหลีใต้ 3.2 แสนล้านบาทต่อปี มาเก๊า 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี และฟิลิปปินส์ 2.2 แสนล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ญี่ปุ่นก็กำลังจะเปิดในปี 2030 เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศ UAE ก็เตรียมโครงการ
 
หวั่นเอื้อกลุ่มทุน - แหล่งฟอกเงิน
นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน แสดงความกังวลต่อร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจร มองว่าร่างกฎหมายนี้ให้อำนาจแก่บอร์ดนโยบาย ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในการกำหนดรายละเอียดสำคัญ เช่น ที่ตั้ง จำนวนใบอนุญาต และอัตราภาษี โดยไม่ต้องผ่านความคิดเห็นจากประชาชน
อีกทั้งยังเพิ่มระยะเวลาการถือใบอนุญาตจาก 20 ปี เป็น 30 ปี และอนุญาตให้เช่าที่ดินได้นานถึง 99 ปี ทำให้เกิดข้อกังวลว่าอาจเอื้อผลประโยชน์แก่กลุ่มทุน นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่กาสิโนจะถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงินของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติและเงินทุจริตในประเทศ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่รัดกุม
 
ขณะที่นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การผลักดันให้เกิดกาสิโนในไทย มองว่าจะเป็นการเพิ่มหนึ่งในตัวเลือกที่จะทำให้เกิดวัตถุประสงค์ในการดึงนักเดินทางมาเที่ยวไทยเช่นกัน ซึ่งถ้ามาก็เกิดการใช้เงิน และใช้เวลาในการพำนักในไทยเพิ่มขึ้น ถ้าจะทำภาครัฐก็ต้องมีมาตรการควบคุมให้ดี การบังคับใช้กฏระเบียบต่างๆทำให้เกิดความเรียบร้อย ปลอดภัย นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจ ควรมีกำหนดโซนนิ่งพื้นที่ที่เหมาะสม กำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน ไม่งั้นก็จะได้คนที่ไม่ได้อยากให้เล่น เข้ามาเล่น ต้องดูในหลายมิติประกอบกัน
 
ไทยมีกาสิโนได้ หากพ้นเส้นยากจน
นายสุนทร สถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด กล่าวว่า การตั้งเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่จะมีกาสิโน เพื่อเปลี่ยนการพนันใต้ดินมาบนดิน และรัฐจะได้เก็บภาษีมีรายได้มากขึ้นนั้นคนไทยส่วนใหญ่ที่เล่นการพนันใต้ดิน คือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้มีรายได้ปานกลาง ซึ่ง 6.5% ยังไม่มีรายได้พอเพียงพ้นเส้นขีดความยากจน และอีก 6.6% อยู่ใกล้เส้นขีดความยากจน ถ้าเข้ากาสิโนได้ จะยิ่งเพิ่มปัญหาความยากจน
ส่วนด้านอสังหาริมทรัพย์นั้น อาจจะทำให้มีการพัฒนาด้าน ศูนย์การค้า โรงแรม คอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัยรอบๆ เพิ่มเติม เพื่อรองรับแหล่งงานก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมว่าพื้นที่เป้าหมายที่เปิดเผยมาส่วนใหญ่ เป็นพื้นที่ prime area ของประเทศอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีการกระตุ้นด้วยวิธีนี้ ก็มีมูลค่าสูงและ ศักยภาพในตัวเองอยู่แล้ว หากเติมเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และกาสิโนเข้าไป รายได้ก็จะยิ่งกระจุกตัวในพื้นที่ดังกล่าว

Cr. https://www.thansettakij.com/business/economy/616984

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่