ตอน 34
“เอาล่ะ จันทร์ตานิ่งซะ ไหนเจ้าค่อยๆ เล่าให้ฟังซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เจ้าไปเจอพวกมันได้ยังไง แล้วทำไมถึงถูกพวกมันทำเอาแบบนี้”
เจ้านางคำหยาดฟ้ามองตามท้ายรถกระบะจนกระทั่งมันเลี้ยวหายลับไปจากซุ้มประตู จึงเดินเข้ามาถามหญิงสาวที่เธอเอามาอุปการะตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงกำพร้าอยู่ในหมู่บ้านดอยก้อม คิ้วงามขมวดมุ่น พฤติกรรมของชูชัยอุกอาจขึ้นทุกวัน ก่อนหน้าที่เสี่ยมาเฟียจะเข้ามายังพื้นที่นี้ ชาวบ้านที่นี่อยู่กันอย่างสงบร่มเย็นดี ไม่เคยมีเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้มาก่อน
แม้ว่าคุ้มโบราณจะค่อนข้างลึกลับ และเจ้าของคุ้มก็ไม่ค่อยปรากฏตัวออกไปสุงสิงกับใคร แต่เธอก็มักให้บริวารในคุ้มที่ส่วนใหญ่คือลูกหลานของคนเก่าคนแก่ที่ติดสอยห้อยตามเจ้านายมาจากเมืองเวียงแถนและไม่ประสงค์จะออกไปใช้ชีวิตนอกคุ้ม ได้เข้าไปร่วมกิจกรรมช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านอยู่เนืองๆ ชาวบ้านจึงให้ความเคารพนับถือเจ้าของคุ้มคำหยาดฟ้าอยู่มาก
แต่พอมีฟาร์มชูชัยเกิดขึ้นมาทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ก็เปลี่ยนไป ลูกน้องในฟาร์มของเขาซึ่งมาจากถิ่นอื่นมักมีเรื่องมีราวกับชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน พอเรื่องถึงโรงถึงศาลไม่นานเรื่องก็เงียบหายจนชาวบ้านพากันเข็ดขยาดได้แต่พยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปมีเรื่องด้วย ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชูชัยเป็นผู้มีอิทธิพล
“ข้าเจ้าออกไปหาดอกดาวเรืองมาประดับซุ้มประตูป่าเพิ่มที่กลางหมู่บ้าน ระหว่างปั่นรถถีบกลับคุ้ม ก็ไปเจอพวกมันเข้ากลางทาง มันฉุดตัวขึ้นรถแล้วบอกว่าจะเอาตัวข้าเจ้ามาเยาะเย้ยเจ้านางว่าไม่มีปัญญาปกป้องบ่าวในคุ้มได้จ้าว”
“เลวบัดซบจริงๆ” แววตาคู่สวยวาวขึ้นอีกอย่างน่ากลัวขณะสบถออกมา
“มันทำอะไรเจ้ามั่ง” บัวตองลูบหน้าลูบตาสาวรุ่นน้องปากก็ถามอย่างห่วงใย จันทร์ตาสั่นหน้าแล้วสะอื้นฮัก
“พวกมันแค่ฉุดกระชากลากถูไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น แต่มันขู่ว่าคราวหน้ามันจะทำกับผู้หญิงทุกคนในคุ้มมากขึ้นกว่านี้...ไม่เว้นแม้แต่เจ้านาง ถ้าหากเจ้านางไม่ยอมแต่งงานกับเจ้านายมันจ้าว”
“ไอ้พวก
ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง วอนอยากลองดีกันนักใช่ไหม แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
ทันทีที่ได้ยิน น้ำเสียงดุดันแฝงอำนาจประกาศิตของประมุขคุ้มโบราณก็ดังขึ้นอย่างข่มเอาไว้ไม่อยู่
“วอนหานรกก็สมควรได้ไปลงนรกกันเสียให้หมด”
ตามมาด้วยรอยเหยียดมุมปากที่ส่งให้ใบหน้างามเวลานี้ดูเหี้ยมเกรียมชวนน่ากังขา ซึ่งมันทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงกับขนลุกซู่
งานขันโตกคืนนั้นจบลงอย่างไม่ราบรื่น ทุกคนหมดสนุก ประธานของงานอนุญาตให้บริวารที่พำนักอยู่ใต้ชายคาคุ้มแยกย้ายกันกลับห้องพักไปจนหมด เหลือเพียงตัวเธอกับชายหญิงคนสนิทและสี่หนุ่มสาวเท่านั้นที่ยังยืนสนทนากันอยู่หน้าเรือนหลวง ชายหนุ่มทั้งสามแสดงความห่วงใยเจ้าของคุ้มคนสวย โดยเฉพาะนพคุณที่ออกอาการมากกว่าใครเพื่อน ใบหน้าหล่อคมดูเคร่งเครียด แววตาขี้เล่นในดวงตาเขาเลือนหายไปหมดสิ้น กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายแกร่งกล้าที่ฉายฉานออกมาแทน ชายหนุ่มปรารภขึ้นอย่างห่วงใยในสวัสดิภาพของเจ้าหญิงไทเขินและบริวารในคุ้ม
“เราจะหาทางป้องกันพวกมันยังไงดีเพื่อไม่ให้คนของเราต้องตกเป็นเป้าโจมตีของพวกมันอีก”
ประโยคคำถามเปรียบดังถ้อยคำของแม่ทัพหนุ่มนามพรหมภูมินทร์เมื่อกว่าร้อยปีก่อนก็มิปาน คำพูดแบบนั้นทำให้หัวใจของเจ้าหญิงนอกบัลลังก์พองฟูขึ้นด้วยแรงปรีดา
“เห็นทีจะยากเพราะคุ้มเราอยู่ห่างจากฟาร์มของมันไม่ไกลและเรายังเปิดคุ้มให้คนเข้าชม เปรียบเสมือนอยู่ในที่สว่าง มันเห็นความเคลื่อนไหวของเราทุกอย่าง แต่เรากลับไม่เคยรู้เลยว่ามันทำอะไรอยู่ข้างในฟาร์มนั่น”
ผู้จัดการอินเฟือนตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม ภารกิจคุ้มครองเรือนหลวงแห่งนี้ แม้เทียบไม่ได้กับเมื่อตอนต้องป้องกันเมืองเวียงแถนจากกองทัพของศัตรู แต่นั่นเขามีทหารและอาวุธมากพอที่จะต่อกร ทว่าปัจจุบันนี้นอกจากเขาแล้ว ในคุ้มคำหยาดฟ้าไม่มีผู้ใดครอบครองอาวุธร้ายแรงเช่นปืนอยู่เลย เนื่องจากที่ผ่านมาคุ้มยังไม่เคยถูกรุกรานจากคนต่างถิ่นในลักษณะนี้มาก่อน
แต่ไหนแต่ไรมาชุมชนที่นี่อยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย จึงไม่มีความจำเป็นต้องซ้องสุมอาวุธพึ่งมีเหตุการณ์กว้านซื้อที่ดินเป็นจำนวนมากเกือบครึ่งหมู่บ้านเหมือนมีจุดประสงค์บางอย่างของนายทุนชั่ว ซึ่งทำให้คุ้มคำหยาดฟ้าที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของชุมชนตกเป็นเป้าหมายสำคัญเมื่อขวบปีนี้เอง เขาจึงรู้สึกหนักใจเมื่อนึกไปถึงการรับมือกับคนถ่อยถืออาวุธพวกนั้น
“ผมมีปืนพกสั้นซ่อนอยู่ในรถกระบอกหนึ่ง เอาติดตัวไว้เผื่อมีเหตุร้าย”
อนุชิตนิ่งคิดแล้วจึงเอ่ยปากบอกความลับในการครอบครองอาวุธของตนให้ทุกคนฟัง เขาเชื่อหมดใจว่าตัวเองเคยทำผิดไว้กับเมืองเวียงแถน และเป็นต้นเหตุให้เมืองแตกจนผู้คนต้องอพยพมาอยู่ที่นี่ และได้ตัดสินใจจะไถ่โทษในสิ่งที่ตนเองเคยกระทำเมื่อชาติที่แล้ว แม้ว่าตัวเองจะจำไม่ได้เลยว่าเคยทำอะไรไว้บ้างก็ตาม ซึ่งนั่นทำให้หนานอินเฟือนหันมายิ้มให้ชายชาวเชียงใหม่อย่างยินดี
“ดีมากครับคุณชิต อย่างน้อยเราก็พอมีปืนไว้ขู่มันและใช้ป้องกันตัว”
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ทำไมเราไม่ไปแจ้งตำรวจล่ะครับ ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองลงโทษพวกมันไม่ดีกว่าหรือ”
พิษณุที่รับฟังเงียบๆ มาโดยตลอดขัดขึ้น ชายหนุ่มแม้เป็นห่วงหญิงในดวงใจไม่แพ้ใคร แต่เขากลับไม่เห็นด้วยที่จะแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลัง
...ขี้ขลาด...
หน่วยตาวาวของเจ้านางสาววาบเข้าใส่น้องชายในอดีตชาติแล้วเมินหน้าหนีอย่างขัดใจ
ตั้งแต่ชาติที่แล้วก็ผละทิ้งเมืองไปไม่ใยดี เพราะอ่อนแอและมัวเมาในความรักจนหน้ามืดตามัว มาชาตินี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม ช่างน่าอายนัก
และถึงแม้จะขุ่นเคือง แต่คำพูดที่ออกจากปากของหญิงสาวก็คือ
“อย่าให้เรื่องถึงตำรวจเลยค่ะ บอกตามตรงว่าดิฉันไม่อยากขึ้นโรงขึ้นศาล ในคุ้มเรามีพี่น้องหนีตายจากฝั่งโน้นหลายคนที่เข้ามาอย่างไม่ถูกต้อง อีกอย่างดิฉันเกรงว่าจะเป็นข่าวดังซึ่งจะทำให้เสียชื่อเสียงของคุ้มจนไม่มีใครมาเที่ยวชมคุ้มเราอีก ที่ผ่านมาเรามีเรื่องรำคาญใจมากพอแล้ว ครั้งนี้ดิฉันจะหาทางเจรจากับเขาดูอีกที คาดว่าเสี่ยชูชัยไม่น่าอยากหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะเขาเองก็จะอยู่ยาก เขาน่าจะรู้ว่าถ้าแตกหักกันจริงๆ ดิฉันก็พร้อมที่จะตาต่อตาฟันต่อฟันเหมือนกัน”
กังวานเสียงแข็งกร้าวและท่าทางไม่พอใจของผู้หญิงที่ตนหลงรักทำให้วิศวกรหนุ่มหน้าเจื่อนจ๋อยลง หยุดแสดงความคิดเห็นทันที นึกโมโหตัวเองที่เผยความคิดแบบนั้นออกไปในขณะที่ผู้ชายคนอื่นต่างมีท่าทางห้าวหาญกันทั้งนั้น พวงชมพูซึ่งยืนเกาะแขนชายคนรักอยู่กระตุกแขนเตือนเขาอีกครั้ง
“ไอ้นพ เราจะต้องกลับกรุงเทพกันแล้วนะ”
ชายหนุ่มหันมามองหน้าแฟนสาว พวงชมพูใจหายกับสีหน้าขรึมเข้มแบบนี้ของเขาที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน นพคุณวันนี้ดูแปลกไปไม่เหมือนชายหนุ่มอารมณ์ดีที่เธอเคยรู้จัก เขาตอบเธอเสียงหนักว่า
“อยู่ต่ออีกสักหน่อยเถอะชมพู เผื่อว่ามีอะไรพอจะช่วยเจ้าได้บ้าง ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ตอนเรากำลังกลับไป นพคงไม่สบายใจไปตลอดชีวิต”
“ไอ้นพ....”
ครางเรียกชื่อเขาเสียงเบาหวิว สังหรณ์ใจว่าชายคนรักกำลังจะเปลี่ยนไป ครูสาวเหลือบมองใบหน้าของแต่ละคนก็ดูเหมือนไม่มีใครอยู่ข้างเธอ มีเพียงบัวตองเท่านั้นที่ลอบมองมาอย่างเห็นใจ แต่พอสบตากันหญิงรับใช้ก็หลบตาลงวูบ ครั้นวาดสายตามายังใบหน้างามของเจ้าหญิงไทเขิน เธอก็เห็นแววเย้ยหยันเต้นระริกอยู่ในดวงตาคู่นั้น พวงชมพูปล่อยมือจากแขนแฟนหนุ่มบอกลาสั้นๆ ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“จะเอาแบบนั้นเหรอ งั้นเอาที่สบายใจก็แล้วกัน ชมพูขอตัวไปนอนก่อนนะคะพรุ่งนี้ค่อยพบกันใหม่ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
ลาเสร็จก็หันกลับจ้ำเท้าออกจากที่ตรงนั้นทันที นพคุณรู้สึกตัวว่าพลาดไปรีบร้องเรียกแฟนสาวให้หยุดรอ
“เดี๋ยวสิชมพู เดี๋ยวก่อนรอนพด้วย เอ้อ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เขาเอ่ยขอตัวแล้วผละวิ่งตามคนรักไปจนทัน เข้ากระแซะงอนง้อขอโทษเธอเหมือนเคย ซึ่งอาการแบบนั้นทำให้เจ้านางไทเขินมองตามหลังเขาไปอย่างหมั่นไส้ ข่มใจขุ่นเคืองลงแล้วจึงหันมาบอกคนที่เหลือว่า
“เชิญคุณกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะค่ะ ไว้พรุ่งนี้เช้าเราค่อยหารือกันต่อ แต่อย่ากังวลให้มากนักเลยนะคะ คุ้มเราเคยเจอสถานการณ์แย่ๆ มาหลายครั้ง ซึ่งเราก็ผ่านมันมาได้ทุกครั้ง”
“เจ้าก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะครับ ผมเข้าใจว่าเจ้าคงเครียดเอาการเหมือนกันที่มาเจอคนประเภทนี้เข้า ยังไงก็ยังมีพวกผมอยู่เคียงข้าง เราจะยังไม่กลับกันจนกว่าจะแน่ใจว่าเจ้ากับคนในคุ้มปลอดภัย”
อนุชิตบอกอย่างเป็นห่วง นึกสงสารผู้หญิงรูปร่างแบบบางที่ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งเอาไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย ครูชายชาวเชียงใหม่นึกเปรียบเทียบเจ้านางสาวกับผู้เป็นมารดา ผู้หญิงทั้งคู่มีส่วนคล้ายคลึงกันตรงเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว คุณมาลีมารดาของเขาก็ตกพุ่มหม้ายสามีตายไปตั้งแต่ยังสาว ทิ้งให้เธอต้องเลี้ยงดูลูกชายวัยเจ็ดขวบด้วยตัวคนเดียวโดยไม่ยอมแต่งงานใหม่ หลังจากนั้นเขายังได้เห็นมารดาต่อสู้กับอิทธิพลของนายทุนใหญ่ในจังหวัด ซึ่งต้องการที่ดินและเรือนกาแลสมบัติสุดรักของครอบครัว เพื่อขยายอาณาเขตตึกแถวและคอนโดมิเนียมของตัวเองทั้งๆ ที่รวยล้นฟ้าอยู่แล้ว
คุณมาลีสู้ยิบตาเพื่อรักษามรดกของสามีเอาไว้ เธอเดินหน้าหาสื่อและเรียกร้องความยุติธรรมผ่านช่องทางต่างๆ จนกระทั่งนายทุนคนนั้นยอมถอย มารดาของเขาเป็นฝ่ายชนะ บัดนี้ เหตุการณ์ทำนองนั้นกำลังเกิดขึ้นกับคุ้มคำหยาดฟ้าแห่งนี้ ซึ่งเขารู้สึกรับไม่ได้และปรารถนาจะหาทางช่วยเหลือหญิงเจ้าของคุ้มคนนี้ด้วยความเต็มใจ
“ผมก็เช่นกันครับเจ้า”ในที่สุดหนุ่มแว่นก็เอ่ยขึ้นมาบ้างหลังจากที่เงียบอยู่นาน
“ในเมื่อเจ้าถูกรังแกแบบนี้และตัดสินใจจะอยู่สู้กับอิทธพลเถื่อนของพวกมัน ผมก็พร้อมจะลุยกับเจ้าด้วยคนครับ เพราะผมผูกพันกับคุ้มนี้มานาน ถ้ามีใครคิดร้ายกับคุ้มผมก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน”
ให้มันได้อย่างนี้สิ
รอยยิ้มพึงใจปรากฏบนใบหน้าหวานซึ้ง ในที่สุดน้องชายของเธอก็เลือกที่จะสู้เสียที เธอค้อมศีรษะลงให้กับชายหนุ่มทั้งสอง
“ขอบคุณในน้ำใจของพวกคุณค่ะ เชิญไปพักให้สบายก่อนเถิด ดิฉันก็จะขึ้นไปพักผ่อนเหมือนกัน ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
แขกชายทั้งสองจึงกล่าวขอตัวแล้วเดินจากไป เจ้านางสาวมองตามหลังก่อนพึมพำออกมาว่า
“ไม่น่าเชื่อว่าอูหม่องในชาตินี้กลับมีใจเมตตา คิดช่วยเหลือข้า”
หนานอินเฟือนได้ยินเธอเอ่ยชื่อของศัตรูคู่อาฆาตขึ้นมาก็สะดุดกึก ตาลุกโพลง
“อะไรนะครับ ไอ้อูหม่องมารึ มันอยู่ที่ไหน”
บัวตองที่ยืนข้างกายนายสาวสะดุ้ง เกิดใจสั่นขึ้นมาทันใด นี่ถ้าหากอดีตแม่ทัพผู้สูญเสียลูกเมียไปเพราะน้ำมือของอูหม่องรู้ความจริงที่ว่า ศัตรูคนสำคัญได้กลับชาติมาเกิดเป็นอนุชิตผู้ชายใจดีที่หมายมั่นจะช่วยเหลือคุ้มคำหยาดฟ้าคนนั้นแล้ว อ้ายหนานของเธอจะทำอย่างไร
“ใจเย็นๆ อ้ายหนาน อูหม่องไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก เจ้านางอย่าพึ่งพูดถึงเรื่องนี้เลยนะจ้าว เอ้อ นี่ก็ดึกแล้ว ข้าเจ้าว่าเชิญเจ้านางไปพักผ่อนก่อนดีกว่า”
บัวตองจึงรีบตัดบทพร้อมรุนหลังนายหญิงเบาๆ ซึ่งนายของเธอก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่า ตัวเองยังต้องการความช่วยเหลือจากครูหนุ่มชาวเชียงใหม่อยู่ อย่างน้อยก็เพื่อให้เขาช่วยรั้งนพคุณให้อยู่ที่นี่ต่อ ยังไม่ควรเปิดเผยให้อดีตแม่ทัพเวียงแถนรู้ซึ่งอาจจะทำให้เสียเรื่อง พอคิดได้จึงพยักหน้าเห็นด้วย หันมาสั่งบริวารชายว่า
“อ้ายหนานไปดูแลความปลอดภัยรอบๆ คุ้มก่อนเถอะ เรื่องของอูหม่องเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้ต้องหาทางจัดการกับเสี่ยชูชัยเสียก่อน เอาไว้เดี๋ยวข้าจะเล่าเรื่องอูหม่องให้ฟังหลังเสร็จจากกำจัดเจ้าคนถ่อยพวกนี้ก็แล้วกัน”
อินเฟือนถอนหายใจหนักหน่วงนึกเคลือบแคลงสงสัยว่าอูหม่องจะเป็นหนึ่งในสามชายที่เป็นแขกในคุ้ม แต่ถึงแม้อยากรู้ว่าศัตรูตัวฉกาจคือใครใจจะขาดแต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งนายสาวที่ยังไม่ยอมบอก เขาจึงจำต้องสงบใจรอไปก่อนตามคำบัญชา
ริษยารักข้ามภพ ตอนที่ 34
“เอาล่ะ จันทร์ตานิ่งซะ ไหนเจ้าค่อยๆ เล่าให้ฟังซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เจ้าไปเจอพวกมันได้ยังไง แล้วทำไมถึงถูกพวกมันทำเอาแบบนี้”
เจ้านางคำหยาดฟ้ามองตามท้ายรถกระบะจนกระทั่งมันเลี้ยวหายลับไปจากซุ้มประตู จึงเดินเข้ามาถามหญิงสาวที่เธอเอามาอุปการะตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงกำพร้าอยู่ในหมู่บ้านดอยก้อม คิ้วงามขมวดมุ่น พฤติกรรมของชูชัยอุกอาจขึ้นทุกวัน ก่อนหน้าที่เสี่ยมาเฟียจะเข้ามายังพื้นที่นี้ ชาวบ้านที่นี่อยู่กันอย่างสงบร่มเย็นดี ไม่เคยมีเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้มาก่อน
แม้ว่าคุ้มโบราณจะค่อนข้างลึกลับ และเจ้าของคุ้มก็ไม่ค่อยปรากฏตัวออกไปสุงสิงกับใคร แต่เธอก็มักให้บริวารในคุ้มที่ส่วนใหญ่คือลูกหลานของคนเก่าคนแก่ที่ติดสอยห้อยตามเจ้านายมาจากเมืองเวียงแถนและไม่ประสงค์จะออกไปใช้ชีวิตนอกคุ้ม ได้เข้าไปร่วมกิจกรรมช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านอยู่เนืองๆ ชาวบ้านจึงให้ความเคารพนับถือเจ้าของคุ้มคำหยาดฟ้าอยู่มาก
แต่พอมีฟาร์มชูชัยเกิดขึ้นมาทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ก็เปลี่ยนไป ลูกน้องในฟาร์มของเขาซึ่งมาจากถิ่นอื่นมักมีเรื่องมีราวกับชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน พอเรื่องถึงโรงถึงศาลไม่นานเรื่องก็เงียบหายจนชาวบ้านพากันเข็ดขยาดได้แต่พยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปมีเรื่องด้วย ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชูชัยเป็นผู้มีอิทธิพล
“ข้าเจ้าออกไปหาดอกดาวเรืองมาประดับซุ้มประตูป่าเพิ่มที่กลางหมู่บ้าน ระหว่างปั่นรถถีบกลับคุ้ม ก็ไปเจอพวกมันเข้ากลางทาง มันฉุดตัวขึ้นรถแล้วบอกว่าจะเอาตัวข้าเจ้ามาเยาะเย้ยเจ้านางว่าไม่มีปัญญาปกป้องบ่าวในคุ้มได้จ้าว”
“เลวบัดซบจริงๆ” แววตาคู่สวยวาวขึ้นอีกอย่างน่ากลัวขณะสบถออกมา
“มันทำอะไรเจ้ามั่ง” บัวตองลูบหน้าลูบตาสาวรุ่นน้องปากก็ถามอย่างห่วงใย จันทร์ตาสั่นหน้าแล้วสะอื้นฮัก
“พวกมันแค่ฉุดกระชากลากถูไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น แต่มันขู่ว่าคราวหน้ามันจะทำกับผู้หญิงทุกคนในคุ้มมากขึ้นกว่านี้...ไม่เว้นแม้แต่เจ้านาง ถ้าหากเจ้านางไม่ยอมแต่งงานกับเจ้านายมันจ้าว”
“ไอ้พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง วอนอยากลองดีกันนักใช่ไหม แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
ทันทีที่ได้ยิน น้ำเสียงดุดันแฝงอำนาจประกาศิตของประมุขคุ้มโบราณก็ดังขึ้นอย่างข่มเอาไว้ไม่อยู่
“วอนหานรกก็สมควรได้ไปลงนรกกันเสียให้หมด”
ตามมาด้วยรอยเหยียดมุมปากที่ส่งให้ใบหน้างามเวลานี้ดูเหี้ยมเกรียมชวนน่ากังขา ซึ่งมันทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงกับขนลุกซู่
งานขันโตกคืนนั้นจบลงอย่างไม่ราบรื่น ทุกคนหมดสนุก ประธานของงานอนุญาตให้บริวารที่พำนักอยู่ใต้ชายคาคุ้มแยกย้ายกันกลับห้องพักไปจนหมด เหลือเพียงตัวเธอกับชายหญิงคนสนิทและสี่หนุ่มสาวเท่านั้นที่ยังยืนสนทนากันอยู่หน้าเรือนหลวง ชายหนุ่มทั้งสามแสดงความห่วงใยเจ้าของคุ้มคนสวย โดยเฉพาะนพคุณที่ออกอาการมากกว่าใครเพื่อน ใบหน้าหล่อคมดูเคร่งเครียด แววตาขี้เล่นในดวงตาเขาเลือนหายไปหมดสิ้น กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายแกร่งกล้าที่ฉายฉานออกมาแทน ชายหนุ่มปรารภขึ้นอย่างห่วงใยในสวัสดิภาพของเจ้าหญิงไทเขินและบริวารในคุ้ม
“เราจะหาทางป้องกันพวกมันยังไงดีเพื่อไม่ให้คนของเราต้องตกเป็นเป้าโจมตีของพวกมันอีก”
ประโยคคำถามเปรียบดังถ้อยคำของแม่ทัพหนุ่มนามพรหมภูมินทร์เมื่อกว่าร้อยปีก่อนก็มิปาน คำพูดแบบนั้นทำให้หัวใจของเจ้าหญิงนอกบัลลังก์พองฟูขึ้นด้วยแรงปรีดา
“เห็นทีจะยากเพราะคุ้มเราอยู่ห่างจากฟาร์มของมันไม่ไกลและเรายังเปิดคุ้มให้คนเข้าชม เปรียบเสมือนอยู่ในที่สว่าง มันเห็นความเคลื่อนไหวของเราทุกอย่าง แต่เรากลับไม่เคยรู้เลยว่ามันทำอะไรอยู่ข้างในฟาร์มนั่น”
ผู้จัดการอินเฟือนตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม ภารกิจคุ้มครองเรือนหลวงแห่งนี้ แม้เทียบไม่ได้กับเมื่อตอนต้องป้องกันเมืองเวียงแถนจากกองทัพของศัตรู แต่นั่นเขามีทหารและอาวุธมากพอที่จะต่อกร ทว่าปัจจุบันนี้นอกจากเขาแล้ว ในคุ้มคำหยาดฟ้าไม่มีผู้ใดครอบครองอาวุธร้ายแรงเช่นปืนอยู่เลย เนื่องจากที่ผ่านมาคุ้มยังไม่เคยถูกรุกรานจากคนต่างถิ่นในลักษณะนี้มาก่อน
แต่ไหนแต่ไรมาชุมชนที่นี่อยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย จึงไม่มีความจำเป็นต้องซ้องสุมอาวุธพึ่งมีเหตุการณ์กว้านซื้อที่ดินเป็นจำนวนมากเกือบครึ่งหมู่บ้านเหมือนมีจุดประสงค์บางอย่างของนายทุนชั่ว ซึ่งทำให้คุ้มคำหยาดฟ้าที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของชุมชนตกเป็นเป้าหมายสำคัญเมื่อขวบปีนี้เอง เขาจึงรู้สึกหนักใจเมื่อนึกไปถึงการรับมือกับคนถ่อยถืออาวุธพวกนั้น
“ผมมีปืนพกสั้นซ่อนอยู่ในรถกระบอกหนึ่ง เอาติดตัวไว้เผื่อมีเหตุร้าย”
อนุชิตนิ่งคิดแล้วจึงเอ่ยปากบอกความลับในการครอบครองอาวุธของตนให้ทุกคนฟัง เขาเชื่อหมดใจว่าตัวเองเคยทำผิดไว้กับเมืองเวียงแถน และเป็นต้นเหตุให้เมืองแตกจนผู้คนต้องอพยพมาอยู่ที่นี่ และได้ตัดสินใจจะไถ่โทษในสิ่งที่ตนเองเคยกระทำเมื่อชาติที่แล้ว แม้ว่าตัวเองจะจำไม่ได้เลยว่าเคยทำอะไรไว้บ้างก็ตาม ซึ่งนั่นทำให้หนานอินเฟือนหันมายิ้มให้ชายชาวเชียงใหม่อย่างยินดี
“ดีมากครับคุณชิต อย่างน้อยเราก็พอมีปืนไว้ขู่มันและใช้ป้องกันตัว”
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ทำไมเราไม่ไปแจ้งตำรวจล่ะครับ ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองลงโทษพวกมันไม่ดีกว่าหรือ”
พิษณุที่รับฟังเงียบๆ มาโดยตลอดขัดขึ้น ชายหนุ่มแม้เป็นห่วงหญิงในดวงใจไม่แพ้ใคร แต่เขากลับไม่เห็นด้วยที่จะแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลัง
...ขี้ขลาด...
หน่วยตาวาวของเจ้านางสาววาบเข้าใส่น้องชายในอดีตชาติแล้วเมินหน้าหนีอย่างขัดใจ
ตั้งแต่ชาติที่แล้วก็ผละทิ้งเมืองไปไม่ใยดี เพราะอ่อนแอและมัวเมาในความรักจนหน้ามืดตามัว มาชาตินี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม ช่างน่าอายนัก
และถึงแม้จะขุ่นเคือง แต่คำพูดที่ออกจากปากของหญิงสาวก็คือ
“อย่าให้เรื่องถึงตำรวจเลยค่ะ บอกตามตรงว่าดิฉันไม่อยากขึ้นโรงขึ้นศาล ในคุ้มเรามีพี่น้องหนีตายจากฝั่งโน้นหลายคนที่เข้ามาอย่างไม่ถูกต้อง อีกอย่างดิฉันเกรงว่าจะเป็นข่าวดังซึ่งจะทำให้เสียชื่อเสียงของคุ้มจนไม่มีใครมาเที่ยวชมคุ้มเราอีก ที่ผ่านมาเรามีเรื่องรำคาญใจมากพอแล้ว ครั้งนี้ดิฉันจะหาทางเจรจากับเขาดูอีกที คาดว่าเสี่ยชูชัยไม่น่าอยากหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะเขาเองก็จะอยู่ยาก เขาน่าจะรู้ว่าถ้าแตกหักกันจริงๆ ดิฉันก็พร้อมที่จะตาต่อตาฟันต่อฟันเหมือนกัน”
กังวานเสียงแข็งกร้าวและท่าทางไม่พอใจของผู้หญิงที่ตนหลงรักทำให้วิศวกรหนุ่มหน้าเจื่อนจ๋อยลง หยุดแสดงความคิดเห็นทันที นึกโมโหตัวเองที่เผยความคิดแบบนั้นออกไปในขณะที่ผู้ชายคนอื่นต่างมีท่าทางห้าวหาญกันทั้งนั้น พวงชมพูซึ่งยืนเกาะแขนชายคนรักอยู่กระตุกแขนเตือนเขาอีกครั้ง
“ไอ้นพ เราจะต้องกลับกรุงเทพกันแล้วนะ”
ชายหนุ่มหันมามองหน้าแฟนสาว พวงชมพูใจหายกับสีหน้าขรึมเข้มแบบนี้ของเขาที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน นพคุณวันนี้ดูแปลกไปไม่เหมือนชายหนุ่มอารมณ์ดีที่เธอเคยรู้จัก เขาตอบเธอเสียงหนักว่า
“อยู่ต่ออีกสักหน่อยเถอะชมพู เผื่อว่ามีอะไรพอจะช่วยเจ้าได้บ้าง ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ตอนเรากำลังกลับไป นพคงไม่สบายใจไปตลอดชีวิต”
“ไอ้นพ....”
ครางเรียกชื่อเขาเสียงเบาหวิว สังหรณ์ใจว่าชายคนรักกำลังจะเปลี่ยนไป ครูสาวเหลือบมองใบหน้าของแต่ละคนก็ดูเหมือนไม่มีใครอยู่ข้างเธอ มีเพียงบัวตองเท่านั้นที่ลอบมองมาอย่างเห็นใจ แต่พอสบตากันหญิงรับใช้ก็หลบตาลงวูบ ครั้นวาดสายตามายังใบหน้างามของเจ้าหญิงไทเขิน เธอก็เห็นแววเย้ยหยันเต้นระริกอยู่ในดวงตาคู่นั้น พวงชมพูปล่อยมือจากแขนแฟนหนุ่มบอกลาสั้นๆ ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“จะเอาแบบนั้นเหรอ งั้นเอาที่สบายใจก็แล้วกัน ชมพูขอตัวไปนอนก่อนนะคะพรุ่งนี้ค่อยพบกันใหม่ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
ลาเสร็จก็หันกลับจ้ำเท้าออกจากที่ตรงนั้นทันที นพคุณรู้สึกตัวว่าพลาดไปรีบร้องเรียกแฟนสาวให้หยุดรอ
“เดี๋ยวสิชมพู เดี๋ยวก่อนรอนพด้วย เอ้อ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เขาเอ่ยขอตัวแล้วผละวิ่งตามคนรักไปจนทัน เข้ากระแซะงอนง้อขอโทษเธอเหมือนเคย ซึ่งอาการแบบนั้นทำให้เจ้านางไทเขินมองตามหลังเขาไปอย่างหมั่นไส้ ข่มใจขุ่นเคืองลงแล้วจึงหันมาบอกคนที่เหลือว่า
“เชิญคุณกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะค่ะ ไว้พรุ่งนี้เช้าเราค่อยหารือกันต่อ แต่อย่ากังวลให้มากนักเลยนะคะ คุ้มเราเคยเจอสถานการณ์แย่ๆ มาหลายครั้ง ซึ่งเราก็ผ่านมันมาได้ทุกครั้ง”
“เจ้าก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะครับ ผมเข้าใจว่าเจ้าคงเครียดเอาการเหมือนกันที่มาเจอคนประเภทนี้เข้า ยังไงก็ยังมีพวกผมอยู่เคียงข้าง เราจะยังไม่กลับกันจนกว่าจะแน่ใจว่าเจ้ากับคนในคุ้มปลอดภัย”
อนุชิตบอกอย่างเป็นห่วง นึกสงสารผู้หญิงรูปร่างแบบบางที่ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งเอาไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย ครูชายชาวเชียงใหม่นึกเปรียบเทียบเจ้านางสาวกับผู้เป็นมารดา ผู้หญิงทั้งคู่มีส่วนคล้ายคลึงกันตรงเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว คุณมาลีมารดาของเขาก็ตกพุ่มหม้ายสามีตายไปตั้งแต่ยังสาว ทิ้งให้เธอต้องเลี้ยงดูลูกชายวัยเจ็ดขวบด้วยตัวคนเดียวโดยไม่ยอมแต่งงานใหม่ หลังจากนั้นเขายังได้เห็นมารดาต่อสู้กับอิทธิพลของนายทุนใหญ่ในจังหวัด ซึ่งต้องการที่ดินและเรือนกาแลสมบัติสุดรักของครอบครัว เพื่อขยายอาณาเขตตึกแถวและคอนโดมิเนียมของตัวเองทั้งๆ ที่รวยล้นฟ้าอยู่แล้ว
คุณมาลีสู้ยิบตาเพื่อรักษามรดกของสามีเอาไว้ เธอเดินหน้าหาสื่อและเรียกร้องความยุติธรรมผ่านช่องทางต่างๆ จนกระทั่งนายทุนคนนั้นยอมถอย มารดาของเขาเป็นฝ่ายชนะ บัดนี้ เหตุการณ์ทำนองนั้นกำลังเกิดขึ้นกับคุ้มคำหยาดฟ้าแห่งนี้ ซึ่งเขารู้สึกรับไม่ได้และปรารถนาจะหาทางช่วยเหลือหญิงเจ้าของคุ้มคนนี้ด้วยความเต็มใจ
“ผมก็เช่นกันครับเจ้า”ในที่สุดหนุ่มแว่นก็เอ่ยขึ้นมาบ้างหลังจากที่เงียบอยู่นาน
“ในเมื่อเจ้าถูกรังแกแบบนี้และตัดสินใจจะอยู่สู้กับอิทธพลเถื่อนของพวกมัน ผมก็พร้อมจะลุยกับเจ้าด้วยคนครับ เพราะผมผูกพันกับคุ้มนี้มานาน ถ้ามีใครคิดร้ายกับคุ้มผมก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน”
ให้มันได้อย่างนี้สิ
รอยยิ้มพึงใจปรากฏบนใบหน้าหวานซึ้ง ในที่สุดน้องชายของเธอก็เลือกที่จะสู้เสียที เธอค้อมศีรษะลงให้กับชายหนุ่มทั้งสอง
“ขอบคุณในน้ำใจของพวกคุณค่ะ เชิญไปพักให้สบายก่อนเถิด ดิฉันก็จะขึ้นไปพักผ่อนเหมือนกัน ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
แขกชายทั้งสองจึงกล่าวขอตัวแล้วเดินจากไป เจ้านางสาวมองตามหลังก่อนพึมพำออกมาว่า
“ไม่น่าเชื่อว่าอูหม่องในชาตินี้กลับมีใจเมตตา คิดช่วยเหลือข้า”
หนานอินเฟือนได้ยินเธอเอ่ยชื่อของศัตรูคู่อาฆาตขึ้นมาก็สะดุดกึก ตาลุกโพลง
“อะไรนะครับ ไอ้อูหม่องมารึ มันอยู่ที่ไหน”
บัวตองที่ยืนข้างกายนายสาวสะดุ้ง เกิดใจสั่นขึ้นมาทันใด นี่ถ้าหากอดีตแม่ทัพผู้สูญเสียลูกเมียไปเพราะน้ำมือของอูหม่องรู้ความจริงที่ว่า ศัตรูคนสำคัญได้กลับชาติมาเกิดเป็นอนุชิตผู้ชายใจดีที่หมายมั่นจะช่วยเหลือคุ้มคำหยาดฟ้าคนนั้นแล้ว อ้ายหนานของเธอจะทำอย่างไร
“ใจเย็นๆ อ้ายหนาน อูหม่องไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก เจ้านางอย่าพึ่งพูดถึงเรื่องนี้เลยนะจ้าว เอ้อ นี่ก็ดึกแล้ว ข้าเจ้าว่าเชิญเจ้านางไปพักผ่อนก่อนดีกว่า”
บัวตองจึงรีบตัดบทพร้อมรุนหลังนายหญิงเบาๆ ซึ่งนายของเธอก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่า ตัวเองยังต้องการความช่วยเหลือจากครูหนุ่มชาวเชียงใหม่อยู่ อย่างน้อยก็เพื่อให้เขาช่วยรั้งนพคุณให้อยู่ที่นี่ต่อ ยังไม่ควรเปิดเผยให้อดีตแม่ทัพเวียงแถนรู้ซึ่งอาจจะทำให้เสียเรื่อง พอคิดได้จึงพยักหน้าเห็นด้วย หันมาสั่งบริวารชายว่า
“อ้ายหนานไปดูแลความปลอดภัยรอบๆ คุ้มก่อนเถอะ เรื่องของอูหม่องเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้ต้องหาทางจัดการกับเสี่ยชูชัยเสียก่อน เอาไว้เดี๋ยวข้าจะเล่าเรื่องอูหม่องให้ฟังหลังเสร็จจากกำจัดเจ้าคนถ่อยพวกนี้ก็แล้วกัน”
อินเฟือนถอนหายใจหนักหน่วงนึกเคลือบแคลงสงสัยว่าอูหม่องจะเป็นหนึ่งในสามชายที่เป็นแขกในคุ้ม แต่ถึงแม้อยากรู้ว่าศัตรูตัวฉกาจคือใครใจจะขาดแต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งนายสาวที่ยังไม่ยอมบอก เขาจึงจำต้องสงบใจรอไปก่อนตามคำบัญชา