กระทู้แรกรีวิวการเดินทางเซอร์เวย์จากกรุงเทพ - กัวลาลัมเปอร์สำหรับภารกิจพาลูกค้าไปทริปเซปัง
โดยโมโตฮอลิคและดูคาติราชพฤกษ์
เป็นแชร์ประสบการณ์สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปประเทศมาเลเซีย
ทำทริปกับศูนย์มาเกือบสามปี
ทริปนี้เป็นทริปเดินทางออกต่างประเทศครั้งแรกเลยอยากจะทำเป็นบันทึกไว้สำหรับอ่านทบทวนเอง
แต่ก็มีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ อยากแชร์ให้คนที่อยากไปได้รู้และคนที่ไม่เคยไปอยากไป
เคยหาข้อมูลในพันทิพก่อนออกเดินทางและโทรไปปรึกษากับพี่กอล์ฟ (เว็บมาสเตอร์ดูคาติไบเก้อร์)
สรุปคร่าวๆ
สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อม
รถ
1. ตรวจเช็คสภาพยาง
2. ตรวจเช็คสภาพผ้าเบรค
3. ระดับน้ำมันเครื่อง ถ้าเป็นไปได้ก็เปลี่ยนถ่ายให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง
4. น้ำมันเครื่องสำรอง 1 ลิตร
5. มือถือ สำหรับเปิด GPS นำทาง
6. ชุดปะยางแทงหนอน
7. ล็อคดิส
8. เอกสาร JBJ - การขับยานพาหนะผ่านแดนประเทศมาเลเซีย
ต้องทำเอกสารเป็นพรบ.ของประเทศมาเลเซีย
เหมือนประกันสำหรับบุคคลที่ 3
สามารถทำได้ง่ายเพียงแค่ติดต่อเอเยนซี่
ส่งไฟล์รูปภาพสำเนาทะเบียนรถและรูปหน้าใบขับขี่
ติดสติ้กเกอร์หมายเลขทะเบียนที่แปลเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ
ดังนั้นรถที่จะข้ามแดนได้ ต้องมีทะเบียนแล้วเท่านั้น ซึ่งง่ายว่าการผ่านแดนไปลาว พม่า เขมร เวียดนามที่ต้องดำเนินการเอกสารล่วงหน้าเป็นเดือน
คนขี่
1. อุปกรณ์ป้องกัน หมวกกันน๊อค เสื้อการ์ด ถุงมือ x 2 กางเกง รองเท้า ชุดกันฝน
2. ใบขับขี่ไทย
3. พาสปอร์ต (ถ้าลืมก็ถือว่าเป็นทริปไปเที่ยวหาดใหญ่ กรุงเทพฯ)
4. แลกเงินริงกิต ใช้บริการซูเปอร์ริช ถือว่าให้เรตดีที่สุด
อุปกรณ์ที่ใช้อื่นๆ
1. กระเป๋ากันน้ำแบบที่มีสายรัดท้ายสำหรับทัวร์ริ่ง สะดวกและง่ายต่อการมัดและน้ำไม่เข้า
เลี่ยงที่จะใส่กระเป๋าสะพายหลัง เวลาเดินทางไกลจะเมื่อยและเป็นภาระเวลาขี่
2. กระเป๋าติดถัง สะดวกเวลาวางมือถือเปิดดู GPS
3. บลูทูธ ใช้คุยกับบัดดี้ ที่ใช้เป็นของ Scalar G9x
ระยะทางในวันแรกนัดเจอกับเพื่อนที่ปั้มน้ำมันพระรามสอง
ตกลงกันว่าจะจอดทุกๆ 200 กม. แวะเข้าห้องน้ำและกินข้าว
การเดินทางจริงนัดเจอเวลาตีสี่ในจุดแรก
รถที่ใช้ในการเซอร์เวย์ครั้งนึ้
Ducati Multistrada 1200 S - 2013
Kawasaki Versys 1000 - 2015
ข้อดีของรถทัวร์ริ่งคันใหญ่ๆ
เดินทางไกลนั่งสบายและชิลล์กันลมทำให้ไม่เหนื่อยกับการนั่งหน้าด้านต้านลม
ความจุน้ำมันทั้งสองรุ่นอยู่ที่ 19 ลิตร
ความเร็วที่ใช้ประมาณ 150-200 ในบางช่วง
เส้นทางที่ควรจะใช้จริงๆ ถ้าผ่านทางจังหวัดสุราษฏร์ธานีก็จะทำเวลาได้ดีกว่า
แต่เลือกมาเส้นทางถนนริมชายฝั่งอ่าวไทยจังหวัดนครศรีธรรมราช
ใช้เวลาเดินทางไกลและอ้อมกว่า
แต่ก็ได้เจอกับโครงการณ์ในพระราชดำริ
แนวกังหันลมยักษ์ที่วางริมหาดระยะทางหลายสิบกิโลเมตร
ทำให้บรรยากาศไม่เหมือนขี่ในประเทศไทย
กว่าจะมาถึงจุดนี้ก็บ่ายสามโมง
เสียเวลาทานข้าวและแวะเติมน้ำมันระหว่างทางไปหลายปั้ม
ในวันแรกจบที่โรงแรมวิสดอมหาดใหญ่
กว่าจะถึงที่ตัวเมืองหาดใหญ่
ก็เกือบหกโมงครึ่ง
ข้อดีของเส้นทางเลาะชายทะเลจากจังหวัดนครศรีธรรมราช
จะผ่านทะเลสาบสงขลา
เป็นถนนยาวที่ตัดผ่านกลางทะเลสาบไปบนตัวเกาะยอ
ก่อนที่จะดิ่งตรงเข้าตัวเมือง
ไม่ได้ถ่ายภาพมาได้แต่บรรยาย ลองหารูปดูนะครับ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ประทับใจผมมาก
พอถึงตัวเมืองหาดใหญ่ก็นัดรับเอกสารที่ส่งให้ทางเอเยนต์ดำเนินการ
ตัวเอกสารจะมีป้ายวงกลมและรายละเอียดของเจ้าของรถและตัวรถ (ไม่ได้ถ่ายรุปมาให้ดู)
ที่สำคัญคือสติ้กเกอร์ติดหน้ารถ เพราะถ้าเจอจุดตรวจในประเทศมาเลเซียก็จะมีปัญหาได้
ตื่นเช้าออกจากโรงแรม ติดสติ้กเกอร์เรียบร้อย
ตามแผนการที่วางไว้สำหรับทริปนี้
จะเป็นทริปชิฟรถจากกรุงเทพฯ มาลงที่สนามบินหาดใหญ่
ให้ลูกค้าลงจากเครื่องมา
แต่งกายพร้อมและมาคร่อมรถจากที่นี่ตรงไปด่านสะเดา
ระยะทาง 60 กิโลเมตร
ด่านฝั่งไทยผ่านได้เพียงแค่ยื่นพาสปอร์ตและกรอกเอกสารขาออก
ต้องจอดรถ ถอดหมวกและยื่นที่ช่อง
หลังจากได้รับแสตมป์ออกแล้ว
ระยะทางจากด่านไทยไปทางด่านตรวจคนเข้าเมืองมาเลย์ประมาณ 2 กิโลเมตร
ก็จะเจอทางเข้าแบบนี้
วิธีการเข้าด่านจะทันสมัยกว่าเพียงแค่ขี่เข้าช่องทางรถจักรยานยนต์
ไม่ต้องลงจากรถ คร่อมรถขี่เข้าช่อง ยื่นพาสปอร์ต และถอดถุงมือ แสกนนิ้วชี้สองข้าง ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ผ่านพิธีการก็เตรียมออกตัว
จุดแวะแรกเมื่อข้ามด่านประมาณ 10 กิโลเมตร จะเป็นตลาดที่เคยหาข้อมูลว่าที่นี่จะมีขายซิมโทรศัพท์ ถูกกว่าชายแดนฝั่งไทย
แต่โชคดีมาก วันที่ไปเซอร์เวย์ตรงกับวันชาติมาเลย์ ร้านปิด เลยต้องใช้บริการที่เซเว่น
ซิมการ์ดที่ใช้ก็เป็นของ U mobile เสียแค่ 18RM ใส่ซิมแถมเน็ต 3GB และโทรออกได้ภายในประเทศมาเลเซีย
เปิด Google Map ใช้งานได้ทันที ช้าตรงที่ต้องทำการลงทะเบียนซิม ที่ต้องใช้พาสปอร์ตควบคู่
เค้าท์เตอร์เซเว่นไม่ต่างจากบ้านเราเพียงแค่บุหรี่มีหลายยี่ห้อมาก
แต่ราคาแพงกว่าบ้านเราเยอะ เพราะที่นี่ก็ภาษีโหด
เจอทางด่วน มอไซด์ขึ้นฟรี!!!!
ช่องทางซ้ายจะมีช่องสำหรับมอเตอร์ไซด์ ขี่ผ่านไปได้เลยไม่ต้องเสียเงิน
ที่น่าประทับใจที่นี่คือ
ถนนไม่มีจุดกลับรถให้ต้องคอยระวัง
และถนนไฮเวย์มีแค่สองเลน แยกฝั่ง
แต่ถ้าเราขับเร็วแช่เลนขวา รถที่ขับช้าด้านหน้าจะหลบซ้ายให้เองอัตโนมัติแบบไม่ต้องเปิดไฟหรือแตรไล่
แวะปั้มแรก เติมน้ำมัน
เจอชาวแว๊นซ์แก๊งค์เที่ยววันชาติบ้านเค้า
สองจังหวะเป็นที่นิยมสุดๆ แนว KR, Serpigo, Victor สภาพยังดีขี่ออกทริปกันสนุก
ปั้มน้ำมัน
ที่นี่ใช้ระบบบริการตัวเอง
เข้าไปที่หัวจ่าย จอดรถ แล้วเดินไปที่แคชเชียร์ บอกหมายเลขหัวจ่ายและจำนวนเงินที่จะเติม
แต่ถ้าจะเติมเต็มถัง บอกเค้าว่า ฟู แท้งค์ (เต็มถัง) เติมเสร็จก็มาจ่าย
บางปั้มจะขอมัดจำก่อน เพราะกลัวชิ่ง
ราคาน้ำมันประทับใจมาก ถูกกว่าบ้านเราครึ่งๆ เบนซิล 95 กับ 97 บริสุทธิ์ไม่มีเอเธอนอล
ราคาลิตรละ 12-14 บาทเท่านั้น
บนถนนไฮเวย์มีมอเตอร์ไซด์ใช้บริการเยอะมาก
ถนนไฮเวย์คือถนนยกสูงที่น้ำจะไม่มีวันท่วมถึง
ระบบระบายน้ำและพื้นถนนออกแบบมาเพื่อการขับขี่อย่างปลอดภัยจริงๆ
ต่อให้ฝนตกหนักน้ำก็ไม่ทำให้ถนนลื่น
แถมจุดพักรถสำหรับมอเตอร์ไซด์ก็มีป้ายชัดเจนไว้สำหรับให้สายขี่มีที่หลบฝน
บางจุดก็เป็นศาลาใหญ่ๆ หรือพื้นที่เบี่ยงออกให้ดูเป็นระเบียบ
จุดนี้ก็จอดใส่ชุดกันฝนเพื่อลุยกันต่อ
ข้อดีของชุดกันฝนสำหรับขี่มอไซด์
ต่อให้ตกหนักขนาดไหน เราก็ไม่หนาว
จุดพักที่นี่จะมีอยู่ตามระหว่างทาง
เป็นร้านขายขนมหรือน้ำสำหรับแวะพัก
มีห้องน้ำและที่จอดเป็นระเบียบ
มีน้ำเครื่องดื่มสำหรับขาย เหมือนๆ กันทุกร้าน ไม่มีความต่างเหมือนบ้านเรา
ขายเหมือนกันอยู่ข้างๆ
ปั้มที่นี่ก็มีให้เลือกเยอะ แต่หลักๆ จะเป็น Petronas ที่เป็นปั้มประจำชาติของที่นี่
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เป็นของที่หายากนิดนึงสำหรับที่นี่
เพราะประเทศที่มีประชากรอิสลามเยอะ
เจ้าของร้านก็จะไม่ขายสินค้าแบบนี้เลย
จบการเดินทางในวันแรกจากหาดใหญ่มาถึงสนามบินเซปัง
ที่เลือกมาพักที่นี่เพราะได้คุยกับคนท้องถิ่นก่อนเดินทาง
เค้าแนะนำพักใกล้ๆ สนามเพราะช่วงการแข่งขันรถจะติดมาก
เดินทางมาสนามจะลำบากหากพักใน KL
KL หรือ กัวลาลัมเปอร์ระยะทางจะห่างจะเซปังประมาณ 60 กิโลเมตร
แต่พอมาถึงที่ KL เพื่อนคนนี้ก็แนะนำว่า อยากให้พักใน KL มากกว่า
เพราะบริเวณรอบๆ สนามเซปัง จะไม่มีแหล่งหรือที่ให้เดินเล่น
และที่สำคัญ
ในช่วงอาทิตย์ที่มีการแข่งขัน
การโจรกรรมรถหรือถอดของแต่ง
ชุกมาก เลยต้องหาที่จอดที่ปลอดภัย
แต่การที่จะขี่ไปสนามเพื่อจอดก็ไม่เป็นเรื่องที่แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว
ทำให้แผนการจัดทริปยังมีความคลุมเคลือเรื่องที่พัก
ไว้พรุ่งนี้ออกจากสนามเพื่อเช็คสภาพแวดล้อมก่อนที่จะตัดสินใจ
เพื่อนคนนี้ก็ขี่นำจาก KL ไปที่สนามบิน
ซึ่งก็เป็นตามนั้นจริงๆ บริเวณรอบๆ นี้ทางมาก็เหมือนป่า
ประมาณเส้นมวกเหล็กปากช่องที่ทางหลวงไฟสว่างแต่รอบๆบริเวณ 30 กม.นี้มีแต่ป่าไม้
ขนาดตอนขี่ไปเป็นช่วงสองทุ่มกว่า หมอกลงจนเห็นได้ชัด
วิวเป็นถนนตัดผ่านเทือกเขาสวยส่องกับแสงไฟ
จนไปถึงเขตสนามบิน KLIA แถบนี้ไม่ต่างจากสุวรรณภูมิที่มีแค่สนามบิน
และห้างภายในสนามบินสี่ชั้นที่พอจะให้เดินเล่นได้
แต่จะแตกต่างจากการเดินในตัวเมืองที่เห็นตึก Petronas แลนด์มาร์กของที่นี่ได้อย่างไร
เช้าวันที่สาม
ตื่นเช้าไปสนามเพื่อเซอร์เวย์บรรยากาศ
ทางเข้าอลังการณ์ใหญ่โตมาก
ขนาดสนามช้างที่คิดว่าใหญ่
พอผ่านทางเข้ามาที่นี่ยอมรับว่าที่นี่ก็มหึมา
วันนั้นได้มาถึงแค่ทางเข้า
เพราะมีการเช่าสนามภายในไม่ให้บุคคลภายนอกผ่าน
เลยได้แค่ถ่ายภาพเล็กน้อย
[SR] ทริปเซอร์เวย์ กรุงเทพฯ - เซปัง MotoGP 2016
โดยโมโตฮอลิคและดูคาติราชพฤกษ์
เป็นแชร์ประสบการณ์สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปประเทศมาเลเซีย
ทำทริปกับศูนย์มาเกือบสามปี
ทริปนี้เป็นทริปเดินทางออกต่างประเทศครั้งแรกเลยอยากจะทำเป็นบันทึกไว้สำหรับอ่านทบทวนเอง
แต่ก็มีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ อยากแชร์ให้คนที่อยากไปได้รู้และคนที่ไม่เคยไปอยากไป
เคยหาข้อมูลในพันทิพก่อนออกเดินทางและโทรไปปรึกษากับพี่กอล์ฟ (เว็บมาสเตอร์ดูคาติไบเก้อร์)
สรุปคร่าวๆ
สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อม
รถ
1. ตรวจเช็คสภาพยาง
2. ตรวจเช็คสภาพผ้าเบรค
3. ระดับน้ำมันเครื่อง ถ้าเป็นไปได้ก็เปลี่ยนถ่ายให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง
4. น้ำมันเครื่องสำรอง 1 ลิตร
5. มือถือ สำหรับเปิด GPS นำทาง
6. ชุดปะยางแทงหนอน
7. ล็อคดิส
8. เอกสาร JBJ - การขับยานพาหนะผ่านแดนประเทศมาเลเซีย
ต้องทำเอกสารเป็นพรบ.ของประเทศมาเลเซีย
เหมือนประกันสำหรับบุคคลที่ 3
สามารถทำได้ง่ายเพียงแค่ติดต่อเอเยนซี่
ส่งไฟล์รูปภาพสำเนาทะเบียนรถและรูปหน้าใบขับขี่
ติดสติ้กเกอร์หมายเลขทะเบียนที่แปลเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ
ดังนั้นรถที่จะข้ามแดนได้ ต้องมีทะเบียนแล้วเท่านั้น ซึ่งง่ายว่าการผ่านแดนไปลาว พม่า เขมร เวียดนามที่ต้องดำเนินการเอกสารล่วงหน้าเป็นเดือน
คนขี่
1. อุปกรณ์ป้องกัน หมวกกันน๊อค เสื้อการ์ด ถุงมือ x 2 กางเกง รองเท้า ชุดกันฝน
2. ใบขับขี่ไทย
3. พาสปอร์ต (ถ้าลืมก็ถือว่าเป็นทริปไปเที่ยวหาดใหญ่ กรุงเทพฯ)
4. แลกเงินริงกิต ใช้บริการซูเปอร์ริช ถือว่าให้เรตดีที่สุด
อุปกรณ์ที่ใช้อื่นๆ
1. กระเป๋ากันน้ำแบบที่มีสายรัดท้ายสำหรับทัวร์ริ่ง สะดวกและง่ายต่อการมัดและน้ำไม่เข้า
เลี่ยงที่จะใส่กระเป๋าสะพายหลัง เวลาเดินทางไกลจะเมื่อยและเป็นภาระเวลาขี่
2. กระเป๋าติดถัง สะดวกเวลาวางมือถือเปิดดู GPS
3. บลูทูธ ใช้คุยกับบัดดี้ ที่ใช้เป็นของ Scalar G9x
ระยะทางในวันแรกนัดเจอกับเพื่อนที่ปั้มน้ำมันพระรามสอง
ตกลงกันว่าจะจอดทุกๆ 200 กม. แวะเข้าห้องน้ำและกินข้าว
การเดินทางจริงนัดเจอเวลาตีสี่ในจุดแรก
รถที่ใช้ในการเซอร์เวย์ครั้งนึ้
Ducati Multistrada 1200 S - 2013
Kawasaki Versys 1000 - 2015
ข้อดีของรถทัวร์ริ่งคันใหญ่ๆ
เดินทางไกลนั่งสบายและชิลล์กันลมทำให้ไม่เหนื่อยกับการนั่งหน้าด้านต้านลม
ความจุน้ำมันทั้งสองรุ่นอยู่ที่ 19 ลิตร
ความเร็วที่ใช้ประมาณ 150-200 ในบางช่วง
เส้นทางที่ควรจะใช้จริงๆ ถ้าผ่านทางจังหวัดสุราษฏร์ธานีก็จะทำเวลาได้ดีกว่า
แต่เลือกมาเส้นทางถนนริมชายฝั่งอ่าวไทยจังหวัดนครศรีธรรมราช
ใช้เวลาเดินทางไกลและอ้อมกว่า
แต่ก็ได้เจอกับโครงการณ์ในพระราชดำริ
แนวกังหันลมยักษ์ที่วางริมหาดระยะทางหลายสิบกิโลเมตร
ทำให้บรรยากาศไม่เหมือนขี่ในประเทศไทย
กว่าจะมาถึงจุดนี้ก็บ่ายสามโมง
เสียเวลาทานข้าวและแวะเติมน้ำมันระหว่างทางไปหลายปั้ม
ในวันแรกจบที่โรงแรมวิสดอมหาดใหญ่
กว่าจะถึงที่ตัวเมืองหาดใหญ่
ก็เกือบหกโมงครึ่ง
ข้อดีของเส้นทางเลาะชายทะเลจากจังหวัดนครศรีธรรมราช
จะผ่านทะเลสาบสงขลา
เป็นถนนยาวที่ตัดผ่านกลางทะเลสาบไปบนตัวเกาะยอ
ก่อนที่จะดิ่งตรงเข้าตัวเมือง
ไม่ได้ถ่ายภาพมาได้แต่บรรยาย ลองหารูปดูนะครับ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ประทับใจผมมาก
พอถึงตัวเมืองหาดใหญ่ก็นัดรับเอกสารที่ส่งให้ทางเอเยนต์ดำเนินการ
ตัวเอกสารจะมีป้ายวงกลมและรายละเอียดของเจ้าของรถและตัวรถ (ไม่ได้ถ่ายรุปมาให้ดู)
ที่สำคัญคือสติ้กเกอร์ติดหน้ารถ เพราะถ้าเจอจุดตรวจในประเทศมาเลเซียก็จะมีปัญหาได้
ตื่นเช้าออกจากโรงแรม ติดสติ้กเกอร์เรียบร้อย
ตามแผนการที่วางไว้สำหรับทริปนี้
จะเป็นทริปชิฟรถจากกรุงเทพฯ มาลงที่สนามบินหาดใหญ่
ให้ลูกค้าลงจากเครื่องมา
แต่งกายพร้อมและมาคร่อมรถจากที่นี่ตรงไปด่านสะเดา
ระยะทาง 60 กิโลเมตร
ด่านฝั่งไทยผ่านได้เพียงแค่ยื่นพาสปอร์ตและกรอกเอกสารขาออก
ต้องจอดรถ ถอดหมวกและยื่นที่ช่อง
หลังจากได้รับแสตมป์ออกแล้ว
ระยะทางจากด่านไทยไปทางด่านตรวจคนเข้าเมืองมาเลย์ประมาณ 2 กิโลเมตร
ก็จะเจอทางเข้าแบบนี้
วิธีการเข้าด่านจะทันสมัยกว่าเพียงแค่ขี่เข้าช่องทางรถจักรยานยนต์
ไม่ต้องลงจากรถ คร่อมรถขี่เข้าช่อง ยื่นพาสปอร์ต และถอดถุงมือ แสกนนิ้วชี้สองข้าง ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ผ่านพิธีการก็เตรียมออกตัว
จุดแวะแรกเมื่อข้ามด่านประมาณ 10 กิโลเมตร จะเป็นตลาดที่เคยหาข้อมูลว่าที่นี่จะมีขายซิมโทรศัพท์ ถูกกว่าชายแดนฝั่งไทย
แต่โชคดีมาก วันที่ไปเซอร์เวย์ตรงกับวันชาติมาเลย์ ร้านปิด เลยต้องใช้บริการที่เซเว่น
ซิมการ์ดที่ใช้ก็เป็นของ U mobile เสียแค่ 18RM ใส่ซิมแถมเน็ต 3GB และโทรออกได้ภายในประเทศมาเลเซีย
เปิด Google Map ใช้งานได้ทันที ช้าตรงที่ต้องทำการลงทะเบียนซิม ที่ต้องใช้พาสปอร์ตควบคู่
เค้าท์เตอร์เซเว่นไม่ต่างจากบ้านเราเพียงแค่บุหรี่มีหลายยี่ห้อมาก
แต่ราคาแพงกว่าบ้านเราเยอะ เพราะที่นี่ก็ภาษีโหด
เจอทางด่วน มอไซด์ขึ้นฟรี!!!!
ช่องทางซ้ายจะมีช่องสำหรับมอเตอร์ไซด์ ขี่ผ่านไปได้เลยไม่ต้องเสียเงิน
ที่น่าประทับใจที่นี่คือ
ถนนไม่มีจุดกลับรถให้ต้องคอยระวัง
และถนนไฮเวย์มีแค่สองเลน แยกฝั่ง
แต่ถ้าเราขับเร็วแช่เลนขวา รถที่ขับช้าด้านหน้าจะหลบซ้ายให้เองอัตโนมัติแบบไม่ต้องเปิดไฟหรือแตรไล่
แวะปั้มแรก เติมน้ำมัน
เจอชาวแว๊นซ์แก๊งค์เที่ยววันชาติบ้านเค้า
สองจังหวะเป็นที่นิยมสุดๆ แนว KR, Serpigo, Victor สภาพยังดีขี่ออกทริปกันสนุก
ปั้มน้ำมัน
ที่นี่ใช้ระบบบริการตัวเอง
เข้าไปที่หัวจ่าย จอดรถ แล้วเดินไปที่แคชเชียร์ บอกหมายเลขหัวจ่ายและจำนวนเงินที่จะเติม
แต่ถ้าจะเติมเต็มถัง บอกเค้าว่า ฟู แท้งค์ (เต็มถัง) เติมเสร็จก็มาจ่าย
บางปั้มจะขอมัดจำก่อน เพราะกลัวชิ่ง
ราคาน้ำมันประทับใจมาก ถูกกว่าบ้านเราครึ่งๆ เบนซิล 95 กับ 97 บริสุทธิ์ไม่มีเอเธอนอล
ราคาลิตรละ 12-14 บาทเท่านั้น
บนถนนไฮเวย์มีมอเตอร์ไซด์ใช้บริการเยอะมาก
ถนนไฮเวย์คือถนนยกสูงที่น้ำจะไม่มีวันท่วมถึง
ระบบระบายน้ำและพื้นถนนออกแบบมาเพื่อการขับขี่อย่างปลอดภัยจริงๆ
ต่อให้ฝนตกหนักน้ำก็ไม่ทำให้ถนนลื่น
แถมจุดพักรถสำหรับมอเตอร์ไซด์ก็มีป้ายชัดเจนไว้สำหรับให้สายขี่มีที่หลบฝน
บางจุดก็เป็นศาลาใหญ่ๆ หรือพื้นที่เบี่ยงออกให้ดูเป็นระเบียบ
จุดนี้ก็จอดใส่ชุดกันฝนเพื่อลุยกันต่อ
ข้อดีของชุดกันฝนสำหรับขี่มอไซด์
ต่อให้ตกหนักขนาดไหน เราก็ไม่หนาว
จุดพักที่นี่จะมีอยู่ตามระหว่างทาง
เป็นร้านขายขนมหรือน้ำสำหรับแวะพัก
มีห้องน้ำและที่จอดเป็นระเบียบ
มีน้ำเครื่องดื่มสำหรับขาย เหมือนๆ กันทุกร้าน ไม่มีความต่างเหมือนบ้านเรา
ขายเหมือนกันอยู่ข้างๆ
ปั้มที่นี่ก็มีให้เลือกเยอะ แต่หลักๆ จะเป็น Petronas ที่เป็นปั้มประจำชาติของที่นี่
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เป็นของที่หายากนิดนึงสำหรับที่นี่
เพราะประเทศที่มีประชากรอิสลามเยอะ
เจ้าของร้านก็จะไม่ขายสินค้าแบบนี้เลย
จบการเดินทางในวันแรกจากหาดใหญ่มาถึงสนามบินเซปัง
ที่เลือกมาพักที่นี่เพราะได้คุยกับคนท้องถิ่นก่อนเดินทาง
เค้าแนะนำพักใกล้ๆ สนามเพราะช่วงการแข่งขันรถจะติดมาก
เดินทางมาสนามจะลำบากหากพักใน KL
KL หรือ กัวลาลัมเปอร์ระยะทางจะห่างจะเซปังประมาณ 60 กิโลเมตร
แต่พอมาถึงที่ KL เพื่อนคนนี้ก็แนะนำว่า อยากให้พักใน KL มากกว่า
เพราะบริเวณรอบๆ สนามเซปัง จะไม่มีแหล่งหรือที่ให้เดินเล่น
และที่สำคัญ
ในช่วงอาทิตย์ที่มีการแข่งขัน
การโจรกรรมรถหรือถอดของแต่ง
ชุกมาก เลยต้องหาที่จอดที่ปลอดภัย
แต่การที่จะขี่ไปสนามเพื่อจอดก็ไม่เป็นเรื่องที่แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว
ทำให้แผนการจัดทริปยังมีความคลุมเคลือเรื่องที่พัก
ไว้พรุ่งนี้ออกจากสนามเพื่อเช็คสภาพแวดล้อมก่อนที่จะตัดสินใจ
เพื่อนคนนี้ก็ขี่นำจาก KL ไปที่สนามบิน
ซึ่งก็เป็นตามนั้นจริงๆ บริเวณรอบๆ นี้ทางมาก็เหมือนป่า
ประมาณเส้นมวกเหล็กปากช่องที่ทางหลวงไฟสว่างแต่รอบๆบริเวณ 30 กม.นี้มีแต่ป่าไม้
ขนาดตอนขี่ไปเป็นช่วงสองทุ่มกว่า หมอกลงจนเห็นได้ชัด
วิวเป็นถนนตัดผ่านเทือกเขาสวยส่องกับแสงไฟ
จนไปถึงเขตสนามบิน KLIA แถบนี้ไม่ต่างจากสุวรรณภูมิที่มีแค่สนามบิน
และห้างภายในสนามบินสี่ชั้นที่พอจะให้เดินเล่นได้
แต่จะแตกต่างจากการเดินในตัวเมืองที่เห็นตึก Petronas แลนด์มาร์กของที่นี่ได้อย่างไร
เช้าวันที่สาม
ตื่นเช้าไปสนามเพื่อเซอร์เวย์บรรยากาศ
ทางเข้าอลังการณ์ใหญ่โตมาก
ขนาดสนามช้างที่คิดว่าใหญ่
พอผ่านทางเข้ามาที่นี่ยอมรับว่าที่นี่ก็มหึมา
วันนั้นได้มาถึงแค่ทางเข้า
เพราะมีการเช่าสนามภายในไม่ให้บุคคลภายนอกผ่าน
เลยได้แค่ถ่ายภาพเล็กน้อย