เมื่อวันที่7-18 ธันวาคมที่ผ่านมา ผมขี่มอเตอร์ไซค์จากกรุงเทพล่องใต้ไปหาดใหญ่ แล้วข้ามไปมาเลเซีย เที่ยวไปทั่วแล้ววิ่งกลับครับ ได้เที่ยวแบบไปเองทั้งหมด เข้าใจการขับขี่แบบมาเลเซีย และความเจ๋งของระบบถนนบ้านเขา (และความเร็วแบบน่ากลัว)
เป็นการเดินทางที่ไม่คิดว่าจะทำได้ในงบคนละ13000บาท เป็นเวลา13วัน ใช้เวลาในมาเลเซีย8วัน ผมขี่ แฟนซ้อน ขี่ไปเรื่อยๆด้วยความเร็วยืนพื้น90-100kmhครับ เครื่องมีแรงแค่นั้น รถที่ใช้ก็Honda Zoomer-X เครื่องเล็ก แต่ช่วงล่างใช้ได้สำหรับการวิ่งทางไกล ท่านั่งก็ค่อนข้างเมื่อย แต่จอดพักเติมน้ำมันทุกๆ140กว่าโลก็ช่วยได้เยอะอยุ่ครับ 55
สำหรับการล่องใต้ไปถึงมาเลเซีย ขาไปใช้เวลาสองวันครับ วันแรกผมยาวจากกรุงเทพฯไปชุมพร ระยะทางเกือบๆ500km วิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย80kmh ใช้เวลา8ชั่วโมง รวมจอดพักเติมน้ำมัน จอดถ่ายรูประหว่างที่ขี่อ้อมเข้าเส้นถนนนาเกลือครับ 4012-4028 จอดกินข้าวครับ
โดยเฉลี่ยHonda Zoomerวิ่งที่100kmh ใช้น้ำมันประมาณ40kmต่อลิตร บวกลบขึ้นอยู่กับสภาพความลาดชันของทางด้วยครับ ถัง4ลิตรก็วิ่งได้ประมาณ150โล ต้องเติมน้ำมันครั้งนึงครับ ระหว่างทางถนนหมายเลข4ช่วงนี้มีการทำทางใหม่ตลอดเส้นทางเลยครับ มีทางเบี่ยงเรื่อยๆ เลยต้องชะลอหรือแซงไม่ได้อยู่บ่อย (รถบรรทุกเยอะมาก การแซงอันตรายมาก เลยตามดีกว่า)
วันที่สองก็วิ่งยาว ชุมพรไปหาดใหญ่ 540km ยาวกว่าปกติเพราะผมอ้อมไปทะเลสาบสงขลา เจอน้ำท่วมที่ลดไปเยอะแล้ว 555
แล้วก็ได้ไปแวะดูกังหันลมหัวไทร จะกลายเป็นทุ่งกันหันลมยาวตลอดแนวชายฝั่งในอนาคตครับ
วันที่สามก็เที่ยวสงขลา ชมเมืองเก่า เข้าสวนสัตว์สงขลาครับ ที่นี่ใกล้ชิดสัตว์มากๆ ส่วนใหญ่ไม่มีการกั้นกรง หลายชนิดให้อาหารได้ จับได้ครับ ไฮไลท์อย่างนึงที่นี่คือให้อาหารเสือครับ คนให้อาหารจะให้แบบหลอกล้อเหมือนเล่นกับแมวเลยครับ (ใครบอกหนีเสือให้ขึ้นต้นไม้นี่ ตายนะครับ มันปีนได้เหมือนแมวเลย 555)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันที่สี่ก็เริ่มออกเดินทางไปมาเลเซียครับ ขี่จากหาดใหญ่ไปด่านชายแดนปาดังเบซาร์ ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ถึงด่านแล้วสิ่งที่ต้องเตรียมในการนำรถออกนอกราชอาณาจักรมีแค่สี่อย่างเท่านั้นครับ คือ
-เล่มทะเบียนตัวจริง
-ใบแปลทะเบียนที่ออกโดยกรมการขนส่ง ออกที่ไหนก็ได้ครับ เป็นภาษาอังกฤษ)
-ใบICP (International circulation permit) ซึ่งออกโดยกรมการขนส่งของมาเลย์(JPJ)ครับ ราคา 600บาท ใช้รถในมาเลเซียได้1เดือน
-ใบประกันภัยรถชั้นสาม(เป็นภาคบังคับ เหมือนพรบบ้านเรา) สำหรับมอเตอร์ไซค์เล็ก ราคา700บาทครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประกันและICPสามารถทำได้ที่เอเย่นที่ขายประกันอยู่ก่อนทางเข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองครับ ถ้าไม่อยากรอนาน ทำไปล่วงหน้าได้เลยครับ เดี๋ยวนี้มีหลายเจ้าที่รับทำล่วงหน้าผ่านline ผ่านfacebookได้เลยครับ
ไปถึงด่านไทยก็กรอกใบขาวdepartureกับarrival ปั๊มพาสปอร์ตก็ออกจากไทยได้เลยครับ ด่านไทยจะไม่สะดวกอยู่หน่อยที่ต้องจอดมอไซค์ไว้ก่อนป้อม แล้วเดินไปเข้าคิวครับ
เมื่อผ่านด่านไปออกแล้ว ก็ขี่ผ่านเขตแดนไทยไปยังด่านมาเลเซียได้เลยครับ สำหรับด่านมาเลเซีย จะสะดวกมากๆสำหรับมอเตอร์ไซค์ครับ คือสามารถขี่เข้าไปที่ช่องเฉพาะของมอเตอร์ไซค์ได้เลย แล้วยื่นพาสปอร์ตทั้งๆที่นั่งอยู่บนรถครับ ด่านมาเลย์ง่ายมากครับ ไม่ต้องกรอกอะไรเลย ไมต้องขอvisa ไม่มีการถามอะไร ยื่นพาสปอร์ต สแตมป์แล้วพิมพ์ลายนิ้วมือตรงเครื่องแสกนก็ผ่านไปเลยครับ สะดวกรวดเร็วมาก ไม่มีการขอดูเอกสารรถหรือประกันด้วย แต่ต้องมีไว้เผื่อเกิดอุบัติเหตุหรือตำรวจเรียกดูครับ ไม่มีนี่อาจจะซวยได้
จากนั้นก็เข้าสู่ประเทศมาเลเซียครับ ข้ามแดนแล้วปรับเวลาบวก1ชั่วโมงครับ แล้วแวะเติมน้ำมันครั้งแรกครับ น้ำมันที่นี่ถูกมากๆ เบนซินออกเทน95 ราคาแค่ลิตรละ15-16บาทเท่านั้นเองครับ สำหรับตอนที่จขกทไป ค่าเงินอยู่ที่ 1ริงกิตมาเลเซียเท่ากับ8บาทครับ จะซื้ออะไรก็คุณ8เอา ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ดูถูกกว่าบ้านเราไปหมดเลยครับ มีไม่กี่อย่างที่แพงกว่า
สำหรับการเติมน้ำมันในมาเลเซีย ไม่มีคนเติมให้นะครับ เวลาเข้าปั๊ม ขี่รถเข้าไปจองหัวจ่ายก่อนเลยครับ จอดไว้แล้วเดินไปที่เคาเตอร์ของปั๊มแล้วบอกเขาว่าจะเติมน้ำมันอะไร ช่องที่เท่าไรครับ แล้วเดินกลับไปเติมครับ แรกๆไม่คุ้นเลยครับ ปกติในไทยเติม100บาท เต็มถัง ที่นี่ จัดไป70บาท ล้นถังเลยครับ เหลือก็แขวนหัวเติมกลับไป ช่างมันครับ 555 น้ำมันไทยแพง มานี่คุ้มสุดๆแล้ว เหลือนิดหน่อยไม่เป็นไร
นอกจากเบนซินออกเทน95แล้ว ที่นี่มี97ด้วยครับ แล้วก็ออกเทน100ก็มีครับ แต่หายากหน่อย มีโอกาสได้เติมครั้งเดียวเท่านั้น แรงมากๆครับ ลิตรละ25บาทเท่านั้น
เมื่อออกจากปั๊มPetronasเมืองปาดังแล้ว ก็ขี่ไปตามถนนหมายเลข7 ไปถึงร้านอาหารTok Mek กินข้าวเที่ยงครับ สำหรับข้าวแกงในมาเลย์นั้น ต้องบริการตัวเองครับ มีคนตักข้าวให้ แล้วเราเอาจานข้าวไปตักแกง ตักไก่ ตักไข่ เนื้ออะไรเอาเองครับ จากนั้นก็หยิบน้ำแล้วไปจ่ายเงินที่เคาร์เตอร์ครับ (ผมหยิบน้ำหวาน ที่นี่เรียก ไซรุปครับ ภาษามาลายูทับศัพท์ภาษาอังกฤษเยอะมาก) อาหารมาเลย์จะรถชาติเบาบางครับ แต่กลิ่นมาเต็ม เครื่องแกงแรงครับ น้ำหวานก็ไม่ค่อยหวานครับ คงผสมน้อยมาก 555 แต่ถูกครับ ข้าวแกงกินอิ่ม ราคาแค่32บาท น้ำแก้ว8บาทครับ
ออกจากร้าน ขี่ไปตามหมายเลข7ไปถึงAlor Setar แล้วขึ้นทางด่วนE1ครับ E1แล้วก็วิ่งยาวบนถนนที่น่าจะเรียกว่าเป็นมอเตอร์เวย์เลยครับ ทางด่วนบ้านเขาดีมากๆ ให้มอเตอร์ไซค์ใช้ได้ฟรีด้วยครับ สะดวกสบายมากๆ แต่ที่นี่ผมขี่100ต้องวิ่งไหล่ทาง คนมาเลย์ขับรถกันเร็วมากก เลนซ้ายคือ100-120 รถบรรทุกก็เกินร้อยครับ เลนขวาก็ซัก130-150ได้มั้งครับ แต่คนที่นี่ไม่แซงซ้ายกันเลยครับ ไม่ค่อยเห็น เห็นน้อยมากๆ ช้าชิดขวาก็น้อยครับ น่าจะเพราะคนที่นี่ขับเร็วมากๆ ช้าชิดขวาจะเละเอาง่ายๆ วันนั้นก็วิ่งบนE1จากAlor SetarไปจนถึงPenangระยะร้อยกว่ากิโลในเวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆครับ ทางสะดวกมากๆ บนทางด่วนก็มีจุดหลบฝนสำหรับมอไซค์อยุ่เรื่อยๆครับ มีจุดพักทุก30-40โลครับที่มีปั๊มน้ำมัน
ถนนแบบนี้แหละ วิ่งกันเกิน100ทุกคัน!! มอไซค์ชาวบ้านช้าๆก็ไม่เคยเจอครับ แตะ100ทุกคัน
เส้นชะลอความเร็วสีขาวถี่ๆแบบบ้านเราไม่มีครับ ที่นี่เป็นเส้นหนาๆสีเหลือง เจอคือเบรกนะครับ ไม่เบรกคือกระเทือนแรงมาก มันออกจะหนาๆครับ
เลนมอเตอร์ไซค์บนทางหลวงระหว่างเมือง
ทางเข้าexpressway
ถ้ามีสะพาน มีที่ร่ม จะมีที่หลบฝนสำหรับมอเตอร์ไซค์อยู่เรื่อยๆครับ เพราะตามกฏแล้ว ห้ามจอดบนทางด่วน ยกเว้นรถเสียครับ ที่นี่บนทางด่วน ขับขี่กันระเบียบดีมากๆครับ ยกเว้นเรื่องความเร็ว เลนซ้ายคือเกิน100ไปเยอะแน่ๆครับ ผมวิ่ง100 ต้องขี่ไหล่ทาง 100ถือว่าช้าสำหรับทางด่วนมาเลเซียครับ
เข้าเกาะปีนัง ไปตามป้ายสะพานครับ
ถึงปีนัง จุดหมายของเราในวันนี้ ก็ข้ามสะพานจากฝั่งButterworthไปยังเกาะปีนังครับ ได้จองที่พักไว้ในGeorgetown สำหรับสะพานปีนัง1 ความยาว12กิโลเมตร ค่าใช้สะพานของมอเตอร์ไซค์เพียงแค่13บาทเท่านั้นครับ มาถึงแล้วงงมาก เพราะเหมือนว่าสะพานปีนังต้องใช้บัตรผ่านแบบเติมเงินครับ แต่ผมไม่มี คนที่ด่านเลยรับเงินแล้วแตะบัตรให้ครับ ถ้าคนมาเลย์คงไล่ให้ไปทำบัตร 555 เขาต้อนรับนักท่องเที่ยวมากๆ
สะพานปีนัง1 วิวสวยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(สำหรับสะพานปีนัง2 ขากลับผมแวะมาอีกครั้งครับ จะมาเล่าอีกทีครับ ยาวมากกกสะพาน2นี่)
พอข้ามสะพานแล้วก็เข้ามุ่งสู่Georgetownครับ ที่นี่มีเลนจักรยานอีกฝั่งของถนนแล้วก็มีเลนมอเตอร์ไซค์ด้วยครับ ถึงGeorgetownก็หลงทางกันอยู่เกือบชั่วโมงครับ วนไปวนมา 555 ได้เห็นสภาพรถติดแล้วก็เริ่มต้องหยุดสูดควันรถมาเลย์นานๆ มึนมากครับ มาตรฐานไอเสียบ้านเขาคงต่ำกว่าเรามาก แสบจมูกจนเวียนหัว
ที่นี่ดูขี่ไม่เร็วมากครับ ถ้าเทียบกับAlor Setar แต่ก็เร็วอยู่ที่ถ้าเทียบกับเมืองไทย คือคนที่ปีนังนี่ขับ60-70ถนนสองเลนในเมืองครับ
เข้ามาในซอยย่านworld heritageครับ รถแน่น จักรยานเยอะครับ ถ้าปั่นจักรยานจะสะดวกกว่ามากๆครับ มีให้เช่าราคาไม่แพง
พอหาโรงแรมไม่เจอ เน็ตก็ไม่มีเพราะยังไม่ได้ซื้อSIMมาเลย์ เลยลองถามคนขับรถตู้นักท่องเที่ยวครับ เขาก็ใจดีมากครับ โทรถามเพื่อนเขาแล้วเขียนแผนที่ให้อย่างละเอียดชนิดที่ว่า ถ้าหลงอีกนี่คงปัญญาอ่อนละครับ เลยขอบคุณเขาเลยไปตามทางจนเจอครับ ปีนังเป็นเมืองที่หลงทางง่ายมาก เพราะเป็นone-wayเกือบทั้งเมืองครับ จะไปอีกส่วนของเมืองต้องวนไกล ถ้าวนเผิด เลี้ยวผิดก็เลยไปไกลง่ายๆเลยครับ แถมคนที่นี่ก็ขับรถขี่รถกันเร็วมาก วันแรกยังไม่ชินครับ ความเป๊ะของการขับมมีสุงครับ ไม่ปาดไม่แทรก ไม่ย้อนศรกัน แต่โคตรรเร้วเลยครับ 555
ตกเย็นเกือบค่ำก็ถึงที่พักพอดี เข้าพักแล้วออกไปหาของกินในเมืองครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
KFCมาเลย์ เซ็ตข้าวกับไก่ทอด ราคาเงินไทยตอนนั้นประมาณ80บาทครับ เยอะมากก
เป็นอันจบการเล่าเรื่องวันแรกในมาเลเซียครับ ไว้มาเล่าต่อครับ
ขี่มอเตอร์ไซค์110cc กรุงเทพ-ชุมพร-หาดใหญ่-ปีนัง-จอฮอร์-สิงคโปร์-กัวลาลัมเปอร์-กัวลาตาฮาน-คาเมร่อนไฮแลนด์ ไปกลับ 4400km
เป็นการเดินทางที่ไม่คิดว่าจะทำได้ในงบคนละ13000บาท เป็นเวลา13วัน ใช้เวลาในมาเลเซีย8วัน ผมขี่ แฟนซ้อน ขี่ไปเรื่อยๆด้วยความเร็วยืนพื้น90-100kmhครับ เครื่องมีแรงแค่นั้น รถที่ใช้ก็Honda Zoomer-X เครื่องเล็ก แต่ช่วงล่างใช้ได้สำหรับการวิ่งทางไกล ท่านั่งก็ค่อนข้างเมื่อย แต่จอดพักเติมน้ำมันทุกๆ140กว่าโลก็ช่วยได้เยอะอยุ่ครับ 55
สำหรับการล่องใต้ไปถึงมาเลเซีย ขาไปใช้เวลาสองวันครับ วันแรกผมยาวจากกรุงเทพฯไปชุมพร ระยะทางเกือบๆ500km วิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย80kmh ใช้เวลา8ชั่วโมง รวมจอดพักเติมน้ำมัน จอดถ่ายรูประหว่างที่ขี่อ้อมเข้าเส้นถนนนาเกลือครับ 4012-4028 จอดกินข้าวครับ
โดยเฉลี่ยHonda Zoomerวิ่งที่100kmh ใช้น้ำมันประมาณ40kmต่อลิตร บวกลบขึ้นอยู่กับสภาพความลาดชันของทางด้วยครับ ถัง4ลิตรก็วิ่งได้ประมาณ150โล ต้องเติมน้ำมันครั้งนึงครับ ระหว่างทางถนนหมายเลข4ช่วงนี้มีการทำทางใหม่ตลอดเส้นทางเลยครับ มีทางเบี่ยงเรื่อยๆ เลยต้องชะลอหรือแซงไม่ได้อยู่บ่อย (รถบรรทุกเยอะมาก การแซงอันตรายมาก เลยตามดีกว่า)
วันที่สองก็วิ่งยาว ชุมพรไปหาดใหญ่ 540km ยาวกว่าปกติเพราะผมอ้อมไปทะเลสาบสงขลา เจอน้ำท่วมที่ลดไปเยอะแล้ว 555
แล้วก็ได้ไปแวะดูกังหันลมหัวไทร จะกลายเป็นทุ่งกันหันลมยาวตลอดแนวชายฝั่งในอนาคตครับ
วันที่สามก็เที่ยวสงขลา ชมเมืองเก่า เข้าสวนสัตว์สงขลาครับ ที่นี่ใกล้ชิดสัตว์มากๆ ส่วนใหญ่ไม่มีการกั้นกรง หลายชนิดให้อาหารได้ จับได้ครับ ไฮไลท์อย่างนึงที่นี่คือให้อาหารเสือครับ คนให้อาหารจะให้แบบหลอกล้อเหมือนเล่นกับแมวเลยครับ (ใครบอกหนีเสือให้ขึ้นต้นไม้นี่ ตายนะครับ มันปีนได้เหมือนแมวเลย 555)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันที่สี่ก็เริ่มออกเดินทางไปมาเลเซียครับ ขี่จากหาดใหญ่ไปด่านชายแดนปาดังเบซาร์ ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ถึงด่านแล้วสิ่งที่ต้องเตรียมในการนำรถออกนอกราชอาณาจักรมีแค่สี่อย่างเท่านั้นครับ คือ
-เล่มทะเบียนตัวจริง
-ใบแปลทะเบียนที่ออกโดยกรมการขนส่ง ออกที่ไหนก็ได้ครับ เป็นภาษาอังกฤษ)
-ใบICP (International circulation permit) ซึ่งออกโดยกรมการขนส่งของมาเลย์(JPJ)ครับ ราคา 600บาท ใช้รถในมาเลเซียได้1เดือน
-ใบประกันภัยรถชั้นสาม(เป็นภาคบังคับ เหมือนพรบบ้านเรา) สำหรับมอเตอร์ไซค์เล็ก ราคา700บาทครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประกันและICPสามารถทำได้ที่เอเย่นที่ขายประกันอยู่ก่อนทางเข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองครับ ถ้าไม่อยากรอนาน ทำไปล่วงหน้าได้เลยครับ เดี๋ยวนี้มีหลายเจ้าที่รับทำล่วงหน้าผ่านline ผ่านfacebookได้เลยครับ
ไปถึงด่านไทยก็กรอกใบขาวdepartureกับarrival ปั๊มพาสปอร์ตก็ออกจากไทยได้เลยครับ ด่านไทยจะไม่สะดวกอยู่หน่อยที่ต้องจอดมอไซค์ไว้ก่อนป้อม แล้วเดินไปเข้าคิวครับ
เมื่อผ่านด่านไปออกแล้ว ก็ขี่ผ่านเขตแดนไทยไปยังด่านมาเลเซียได้เลยครับ สำหรับด่านมาเลเซีย จะสะดวกมากๆสำหรับมอเตอร์ไซค์ครับ คือสามารถขี่เข้าไปที่ช่องเฉพาะของมอเตอร์ไซค์ได้เลย แล้วยื่นพาสปอร์ตทั้งๆที่นั่งอยู่บนรถครับ ด่านมาเลย์ง่ายมากครับ ไม่ต้องกรอกอะไรเลย ไมต้องขอvisa ไม่มีการถามอะไร ยื่นพาสปอร์ต สแตมป์แล้วพิมพ์ลายนิ้วมือตรงเครื่องแสกนก็ผ่านไปเลยครับ สะดวกรวดเร็วมาก ไม่มีการขอดูเอกสารรถหรือประกันด้วย แต่ต้องมีไว้เผื่อเกิดอุบัติเหตุหรือตำรวจเรียกดูครับ ไม่มีนี่อาจจะซวยได้
จากนั้นก็เข้าสู่ประเทศมาเลเซียครับ ข้ามแดนแล้วปรับเวลาบวก1ชั่วโมงครับ แล้วแวะเติมน้ำมันครั้งแรกครับ น้ำมันที่นี่ถูกมากๆ เบนซินออกเทน95 ราคาแค่ลิตรละ15-16บาทเท่านั้นเองครับ สำหรับตอนที่จขกทไป ค่าเงินอยู่ที่ 1ริงกิตมาเลเซียเท่ากับ8บาทครับ จะซื้ออะไรก็คุณ8เอา ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ดูถูกกว่าบ้านเราไปหมดเลยครับ มีไม่กี่อย่างที่แพงกว่า
สำหรับการเติมน้ำมันในมาเลเซีย ไม่มีคนเติมให้นะครับ เวลาเข้าปั๊ม ขี่รถเข้าไปจองหัวจ่ายก่อนเลยครับ จอดไว้แล้วเดินไปที่เคาเตอร์ของปั๊มแล้วบอกเขาว่าจะเติมน้ำมันอะไร ช่องที่เท่าไรครับ แล้วเดินกลับไปเติมครับ แรกๆไม่คุ้นเลยครับ ปกติในไทยเติม100บาท เต็มถัง ที่นี่ จัดไป70บาท ล้นถังเลยครับ เหลือก็แขวนหัวเติมกลับไป ช่างมันครับ 555 น้ำมันไทยแพง มานี่คุ้มสุดๆแล้ว เหลือนิดหน่อยไม่เป็นไร
นอกจากเบนซินออกเทน95แล้ว ที่นี่มี97ด้วยครับ แล้วก็ออกเทน100ก็มีครับ แต่หายากหน่อย มีโอกาสได้เติมครั้งเดียวเท่านั้น แรงมากๆครับ ลิตรละ25บาทเท่านั้น
เมื่อออกจากปั๊มPetronasเมืองปาดังแล้ว ก็ขี่ไปตามถนนหมายเลข7 ไปถึงร้านอาหารTok Mek กินข้าวเที่ยงครับ สำหรับข้าวแกงในมาเลย์นั้น ต้องบริการตัวเองครับ มีคนตักข้าวให้ แล้วเราเอาจานข้าวไปตักแกง ตักไก่ ตักไข่ เนื้ออะไรเอาเองครับ จากนั้นก็หยิบน้ำแล้วไปจ่ายเงินที่เคาร์เตอร์ครับ (ผมหยิบน้ำหวาน ที่นี่เรียก ไซรุปครับ ภาษามาลายูทับศัพท์ภาษาอังกฤษเยอะมาก) อาหารมาเลย์จะรถชาติเบาบางครับ แต่กลิ่นมาเต็ม เครื่องแกงแรงครับ น้ำหวานก็ไม่ค่อยหวานครับ คงผสมน้อยมาก 555 แต่ถูกครับ ข้าวแกงกินอิ่ม ราคาแค่32บาท น้ำแก้ว8บาทครับ
ออกจากร้าน ขี่ไปตามหมายเลข7ไปถึงAlor Setar แล้วขึ้นทางด่วนE1ครับ E1แล้วก็วิ่งยาวบนถนนที่น่าจะเรียกว่าเป็นมอเตอร์เวย์เลยครับ ทางด่วนบ้านเขาดีมากๆ ให้มอเตอร์ไซค์ใช้ได้ฟรีด้วยครับ สะดวกสบายมากๆ แต่ที่นี่ผมขี่100ต้องวิ่งไหล่ทาง คนมาเลย์ขับรถกันเร็วมากก เลนซ้ายคือ100-120 รถบรรทุกก็เกินร้อยครับ เลนขวาก็ซัก130-150ได้มั้งครับ แต่คนที่นี่ไม่แซงซ้ายกันเลยครับ ไม่ค่อยเห็น เห็นน้อยมากๆ ช้าชิดขวาก็น้อยครับ น่าจะเพราะคนที่นี่ขับเร็วมากๆ ช้าชิดขวาจะเละเอาง่ายๆ วันนั้นก็วิ่งบนE1จากAlor SetarไปจนถึงPenangระยะร้อยกว่ากิโลในเวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆครับ ทางสะดวกมากๆ บนทางด่วนก็มีจุดหลบฝนสำหรับมอไซค์อยุ่เรื่อยๆครับ มีจุดพักทุก30-40โลครับที่มีปั๊มน้ำมัน
ถนนแบบนี้แหละ วิ่งกันเกิน100ทุกคัน!! มอไซค์ชาวบ้านช้าๆก็ไม่เคยเจอครับ แตะ100ทุกคัน
เส้นชะลอความเร็วสีขาวถี่ๆแบบบ้านเราไม่มีครับ ที่นี่เป็นเส้นหนาๆสีเหลือง เจอคือเบรกนะครับ ไม่เบรกคือกระเทือนแรงมาก มันออกจะหนาๆครับ
เลนมอเตอร์ไซค์บนทางหลวงระหว่างเมือง
ทางเข้าexpressway
ถ้ามีสะพาน มีที่ร่ม จะมีที่หลบฝนสำหรับมอเตอร์ไซค์อยู่เรื่อยๆครับ เพราะตามกฏแล้ว ห้ามจอดบนทางด่วน ยกเว้นรถเสียครับ ที่นี่บนทางด่วน ขับขี่กันระเบียบดีมากๆครับ ยกเว้นเรื่องความเร็ว เลนซ้ายคือเกิน100ไปเยอะแน่ๆครับ ผมวิ่ง100 ต้องขี่ไหล่ทาง 100ถือว่าช้าสำหรับทางด่วนมาเลเซียครับ
เข้าเกาะปีนัง ไปตามป้ายสะพานครับ
ถึงปีนัง จุดหมายของเราในวันนี้ ก็ข้ามสะพานจากฝั่งButterworthไปยังเกาะปีนังครับ ได้จองที่พักไว้ในGeorgetown สำหรับสะพานปีนัง1 ความยาว12กิโลเมตร ค่าใช้สะพานของมอเตอร์ไซค์เพียงแค่13บาทเท่านั้นครับ มาถึงแล้วงงมาก เพราะเหมือนว่าสะพานปีนังต้องใช้บัตรผ่านแบบเติมเงินครับ แต่ผมไม่มี คนที่ด่านเลยรับเงินแล้วแตะบัตรให้ครับ ถ้าคนมาเลย์คงไล่ให้ไปทำบัตร 555 เขาต้อนรับนักท่องเที่ยวมากๆ
สะพานปีนัง1 วิวสวยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอข้ามสะพานแล้วก็เข้ามุ่งสู่Georgetownครับ ที่นี่มีเลนจักรยานอีกฝั่งของถนนแล้วก็มีเลนมอเตอร์ไซค์ด้วยครับ ถึงGeorgetownก็หลงทางกันอยู่เกือบชั่วโมงครับ วนไปวนมา 555 ได้เห็นสภาพรถติดแล้วก็เริ่มต้องหยุดสูดควันรถมาเลย์นานๆ มึนมากครับ มาตรฐานไอเสียบ้านเขาคงต่ำกว่าเรามาก แสบจมูกจนเวียนหัว
ที่นี่ดูขี่ไม่เร็วมากครับ ถ้าเทียบกับAlor Setar แต่ก็เร็วอยู่ที่ถ้าเทียบกับเมืองไทย คือคนที่ปีนังนี่ขับ60-70ถนนสองเลนในเมืองครับ
เข้ามาในซอยย่านworld heritageครับ รถแน่น จักรยานเยอะครับ ถ้าปั่นจักรยานจะสะดวกกว่ามากๆครับ มีให้เช่าราคาไม่แพง
พอหาโรงแรมไม่เจอ เน็ตก็ไม่มีเพราะยังไม่ได้ซื้อSIMมาเลย์ เลยลองถามคนขับรถตู้นักท่องเที่ยวครับ เขาก็ใจดีมากครับ โทรถามเพื่อนเขาแล้วเขียนแผนที่ให้อย่างละเอียดชนิดที่ว่า ถ้าหลงอีกนี่คงปัญญาอ่อนละครับ เลยขอบคุณเขาเลยไปตามทางจนเจอครับ ปีนังเป็นเมืองที่หลงทางง่ายมาก เพราะเป็นone-wayเกือบทั้งเมืองครับ จะไปอีกส่วนของเมืองต้องวนไกล ถ้าวนเผิด เลี้ยวผิดก็เลยไปไกลง่ายๆเลยครับ แถมคนที่นี่ก็ขับรถขี่รถกันเร็วมาก วันแรกยังไม่ชินครับ ความเป๊ะของการขับมมีสุงครับ ไม่ปาดไม่แทรก ไม่ย้อนศรกัน แต่โคตรรเร้วเลยครับ 555
ตกเย็นเกือบค่ำก็ถึงที่พักพอดี เข้าพักแล้วออกไปหาของกินในเมืองครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เป็นอันจบการเล่าเรื่องวันแรกในมาเลเซียครับ ไว้มาเล่าต่อครับ