ผมดูทั้งสองอันแล้วชอบมาก อยากจะแบ่งปัน ใครที่รู้สึกเศร้า หรือรู้สึกท้อแท้กับชีวิตลองหามาดูนะครับ Netflix ให้ดูฟรีได้หนึ่งเดือนครับ ทั้งสองเรื่องมี Subtitle ภาษาไทยแล้วครับ
-------------------------------------------------------------
วิกาลโภชนา Midnight Diner: Tokyo Stories
ตอนแรกที่ผมเปิดดู Midnight Diner: Tokyo Stories เพราะคิดว่ามันเป็นสารคดี ดูไปดูมามันไม่ใช่สารคดีนี่นา ดูไปดูมา นี่มัน Series ที่อบอุ่นหัวใจ ให้ความหวัง กับชีวิตนี่นา ดูไปดูมา จบสิบตอนซะแล้ว อยากให้ Netflix เอามาอีกนะ
แบบไม่สปอยล์อะไรเลย Midnight Diner: Tokyo Stories เป็นเรื่องของร้านอาหารในตรอกเล็กๆ ในเมืองโตเกียวที่เปิดระหว่าง เที่ยงคืนถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นที่พักใจและพักท้องของผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ละคนมีเรื่องราวชีวิตของตัวเองที่พาเราไปสัมผัสในช่วงเวลาเพียงยี่สิบกว่านาทีแต่ว่ากินใจ ถ้าใครชอบหนังเรื่อง Always Sunset On Third Street ทั้งสองภาค รับรองว่าจะต้องชอบ Series นี้มากๆ เหมือนกัน สำหรับผม Series นี้กระชับกว่าและกินใจมากกว่า อาจจะพอๆ กับตอนเราอ่านการ์ตูน อ่านทีไรรู้สึกว่าทำไมมันดราม่าขนาดนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็รับรู้ถึงความหวังไปด้วย
สิ่งที่ผมชอบมากใน Series เรื่องนี้คือมุมมองร่วมสมัยของผู้คนในร้านอาหารที่พยายามจะเข้าอกเข้าใจคนทุกคน เข้าใจว่าทุกคนต่างมีเรื่องราวของตัวเอง ต่างมีปัญหาของตัวเอง ทุกคนไม่เข้าไปแทรกแซงหรือตัดสิน แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าเราควรจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคมได้อย่างไร ใครชอบลองหามาดูครับ ได้ความตื้นตันใจจะร้องไห้ ความหวัง และความบันเทิงแบบถวิลหาอดีตไปพร้อมๆ กันเชียว Netflix มีซับไทยด้วยนะครับเรื่องนี้
-------------------------------------------------------------
I am not your guru คนเราเกิดมาเพื่อจะเป็นคนดี
ตอนแรกผมไม่คิดจะเปิดดูเลยด้วยซ้ำ สารคดีเกี่ยวกับการสัมมนาเปลี่ยนชีวิต “ออกเดทกับโชคชะตา” (Date with destiny) อะไรเนี้ย พอเปิดดูเท่านั้นแหละ ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า อินสุดขีด ร้องไห้หนักมาก (ฮ่า) เข้าใจเลยว่าเวลาคนเรามันไปสัมมนาอะไรบางอย่างที่มันดราม่ามากๆ ทำไมคนถึงร้องไห้ ขนาดนั่งที่บ้านยังร้องไห้เลย สารคดีเรื่องนี้ตามถ่ายการสัมมนาเปลี่ยนชีวิตที่จัดมาร่วมเจ็ดสิบกว่าครั้งของคุณ Tony Robbins ผู้ชายซึ่งมีภูมิหลังอันเลวร้าย ชีวิตบัดซบ ที่เขาเปลี่ยนมันให้เป็นพลัง หลายคนที่ไปสัมมนาเป็นคนที่สิ้นหวังมากๆ มีการพยายามฆ่าตัวตาย มีชีวิตอันเลวร้าย แต่เมื่อทุกคนได้ไปสัมมนา คุณ Tony ทำให้เกิดความหวัง พยายามทำให้เราเห็นว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิด เราไม่ได้สิ้นหวัง ชีวิตเราไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด เวลาเราประสบปัญหาเรามักจะเอาใจไปจดจ่อเฉพาะแต่ปัญหาข้างหน้าจนรู้สึกว่าชีวิตของเรามันช่างมืดหม่นเหลือเกิน แต่ถ้าเรามีสติ ใจเย็นๆ ค่อยๆ ถอยออกมาดูชีวิตในภาพใหญ่ เราจะเริ่มเห็นว่า ช่วงเวลาในการเผชิญปัญหาของเราในตอนนี้มันช่างสั้น เมื่อเทียบกับชีวิตของเราทั้งหมด หรือถึงแม้ว่าเราจะมีชีวิตบัดซบอย่างที่สุด มันก็ดีเสียอีก เพราะเราจะได้ใช้มันในการทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น (สำหรับผมรู้สึกตื่นเต้นกับการมองกลับด้านแบบนี้มาก เพราะส่วนใหญ่เรามักจะคิดเสมอว่า ทำไมมันทุกข์แบบนี้หนอ ทำไมมันเป็นแบบนี้หนอ แต่คุณ Tony กลับบอกว่า ดีสิ เพราะมันทำให้เราเป็นเราในวันนี้ เป็นคนที่แข็งแกร่ง ประเด็นสำคัญคือเราต้องไม่ไป Focus ในพลังด้านลบของมันแต่กลับด้านให้มันเป็นแรงผลักดันตัวเราต่างหาก)
เวลาเรามีปัญหา หรือเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันแย่ให้เราลองมองย้อนกลับไป นึกถึงช่วงเวลาที่ทำให้เรามีความสุข ช่วงเวลาที่เราเป็นอิสระ เช่นช่วงเวลาที่เราเป็นเด็ก ช่วงเวลาที่เราเล่น ช่วงเวลาที่เราเชื่อว่าโลกมันสดใส แล้วดึง พลังของช่วงเวลานั้นมาอยู่ในตัวเราในตอนนี้ มาย้ำเตือนตัวเราว่า ช่วงเวลาแห่งปัญหามันช่างเล็กกระจ้อยร่อย คุณ Tony บอกว่า เราจะรู้สึกดีกับตัวเองเมื่อเรารู้สึกว่าเราใช้ชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง แต่ใช้ชีวิตเพื่อแบ่งปัน เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อทำให้ทุกคนมีความสุขไปด้วยกัน ชีวิตที่มีความรักต่อผู้อื่น เมื่อเราทำอย่างนั้น เราจะรู้สึกดีกับตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีชีวิตอยู่บนความเห็นแก่ตัว เป็นตัวเราเองที่เราภูมิใจ ที่เราเกิดใหม่ ที่ผมเขียนเป็นความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ เมื่อได้ดูสารคดีนี้จบ ใครรู้สึกว่าชีวิตกำลังสิ้นหวัง ลองหามาดูครับ คุณจะรู้สึกว่าชีวิตมันมีความหวังมากทีเดียว
-----------------------------------------------------------
ใครกำลังเศร้าหวังว่าคงช่วยได้ไม่มากก็น้อยนะครับ ดูแล้วเป็นอย่างไร มีเรื่องอะไรแนะนำ แลกเปลี่ยนกันได้ครับ
Blog
http://maewnoon.com/
แนะนำสองเรื่องเพิ่มกำลังใจครับ วิกาลโภชนา Midnight Diner: Tokyo Stories กับ I am not your guru
-------------------------------------------------------------
วิกาลโภชนา Midnight Diner: Tokyo Stories
ตอนแรกที่ผมเปิดดู Midnight Diner: Tokyo Stories เพราะคิดว่ามันเป็นสารคดี ดูไปดูมามันไม่ใช่สารคดีนี่นา ดูไปดูมา นี่มัน Series ที่อบอุ่นหัวใจ ให้ความหวัง กับชีวิตนี่นา ดูไปดูมา จบสิบตอนซะแล้ว อยากให้ Netflix เอามาอีกนะ
แบบไม่สปอยล์อะไรเลย Midnight Diner: Tokyo Stories เป็นเรื่องของร้านอาหารในตรอกเล็กๆ ในเมืองโตเกียวที่เปิดระหว่าง เที่ยงคืนถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นที่พักใจและพักท้องของผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ละคนมีเรื่องราวชีวิตของตัวเองที่พาเราไปสัมผัสในช่วงเวลาเพียงยี่สิบกว่านาทีแต่ว่ากินใจ ถ้าใครชอบหนังเรื่อง Always Sunset On Third Street ทั้งสองภาค รับรองว่าจะต้องชอบ Series นี้มากๆ เหมือนกัน สำหรับผม Series นี้กระชับกว่าและกินใจมากกว่า อาจจะพอๆ กับตอนเราอ่านการ์ตูน อ่านทีไรรู้สึกว่าทำไมมันดราม่าขนาดนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็รับรู้ถึงความหวังไปด้วย
สิ่งที่ผมชอบมากใน Series เรื่องนี้คือมุมมองร่วมสมัยของผู้คนในร้านอาหารที่พยายามจะเข้าอกเข้าใจคนทุกคน เข้าใจว่าทุกคนต่างมีเรื่องราวของตัวเอง ต่างมีปัญหาของตัวเอง ทุกคนไม่เข้าไปแทรกแซงหรือตัดสิน แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าเราควรจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคมได้อย่างไร ใครชอบลองหามาดูครับ ได้ความตื้นตันใจจะร้องไห้ ความหวัง และความบันเทิงแบบถวิลหาอดีตไปพร้อมๆ กันเชียว Netflix มีซับไทยด้วยนะครับเรื่องนี้
-------------------------------------------------------------
I am not your guru คนเราเกิดมาเพื่อจะเป็นคนดี
ตอนแรกผมไม่คิดจะเปิดดูเลยด้วยซ้ำ สารคดีเกี่ยวกับการสัมมนาเปลี่ยนชีวิต “ออกเดทกับโชคชะตา” (Date with destiny) อะไรเนี้ย พอเปิดดูเท่านั้นแหละ ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า อินสุดขีด ร้องไห้หนักมาก (ฮ่า) เข้าใจเลยว่าเวลาคนเรามันไปสัมมนาอะไรบางอย่างที่มันดราม่ามากๆ ทำไมคนถึงร้องไห้ ขนาดนั่งที่บ้านยังร้องไห้เลย สารคดีเรื่องนี้ตามถ่ายการสัมมนาเปลี่ยนชีวิตที่จัดมาร่วมเจ็ดสิบกว่าครั้งของคุณ Tony Robbins ผู้ชายซึ่งมีภูมิหลังอันเลวร้าย ชีวิตบัดซบ ที่เขาเปลี่ยนมันให้เป็นพลัง หลายคนที่ไปสัมมนาเป็นคนที่สิ้นหวังมากๆ มีการพยายามฆ่าตัวตาย มีชีวิตอันเลวร้าย แต่เมื่อทุกคนได้ไปสัมมนา คุณ Tony ทำให้เกิดความหวัง พยายามทำให้เราเห็นว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิด เราไม่ได้สิ้นหวัง ชีวิตเราไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด เวลาเราประสบปัญหาเรามักจะเอาใจไปจดจ่อเฉพาะแต่ปัญหาข้างหน้าจนรู้สึกว่าชีวิตของเรามันช่างมืดหม่นเหลือเกิน แต่ถ้าเรามีสติ ใจเย็นๆ ค่อยๆ ถอยออกมาดูชีวิตในภาพใหญ่ เราจะเริ่มเห็นว่า ช่วงเวลาในการเผชิญปัญหาของเราในตอนนี้มันช่างสั้น เมื่อเทียบกับชีวิตของเราทั้งหมด หรือถึงแม้ว่าเราจะมีชีวิตบัดซบอย่างที่สุด มันก็ดีเสียอีก เพราะเราจะได้ใช้มันในการทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น (สำหรับผมรู้สึกตื่นเต้นกับการมองกลับด้านแบบนี้มาก เพราะส่วนใหญ่เรามักจะคิดเสมอว่า ทำไมมันทุกข์แบบนี้หนอ ทำไมมันเป็นแบบนี้หนอ แต่คุณ Tony กลับบอกว่า ดีสิ เพราะมันทำให้เราเป็นเราในวันนี้ เป็นคนที่แข็งแกร่ง ประเด็นสำคัญคือเราต้องไม่ไป Focus ในพลังด้านลบของมันแต่กลับด้านให้มันเป็นแรงผลักดันตัวเราต่างหาก)
เวลาเรามีปัญหา หรือเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันแย่ให้เราลองมองย้อนกลับไป นึกถึงช่วงเวลาที่ทำให้เรามีความสุข ช่วงเวลาที่เราเป็นอิสระ เช่นช่วงเวลาที่เราเป็นเด็ก ช่วงเวลาที่เราเล่น ช่วงเวลาที่เราเชื่อว่าโลกมันสดใส แล้วดึง พลังของช่วงเวลานั้นมาอยู่ในตัวเราในตอนนี้ มาย้ำเตือนตัวเราว่า ช่วงเวลาแห่งปัญหามันช่างเล็กกระจ้อยร่อย คุณ Tony บอกว่า เราจะรู้สึกดีกับตัวเองเมื่อเรารู้สึกว่าเราใช้ชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง แต่ใช้ชีวิตเพื่อแบ่งปัน เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อทำให้ทุกคนมีความสุขไปด้วยกัน ชีวิตที่มีความรักต่อผู้อื่น เมื่อเราทำอย่างนั้น เราจะรู้สึกดีกับตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีชีวิตอยู่บนความเห็นแก่ตัว เป็นตัวเราเองที่เราภูมิใจ ที่เราเกิดใหม่ ที่ผมเขียนเป็นความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ เมื่อได้ดูสารคดีนี้จบ ใครรู้สึกว่าชีวิตกำลังสิ้นหวัง ลองหามาดูครับ คุณจะรู้สึกว่าชีวิตมันมีความหวังมากทีเดียว
-----------------------------------------------------------
ใครกำลังเศร้าหวังว่าคงช่วยได้ไม่มากก็น้อยนะครับ ดูแล้วเป็นอย่างไร มีเรื่องอะไรแนะนำ แลกเปลี่ยนกันได้ครับ
Blog http://maewnoon.com/