สิบนิ้วอันน้อยๆ ขอก้มกราบสวัสดีมิตรหมอแคนแฟนหมอลำ เพื่อนสนิทมิตรสหายที่มีสไตล์ชอบขึ้นไปเดินเล่นบนที่สูงเช่นเดียวกันกับข้าพเจ้า วันนี้จะพาทุกท่านขยับตูดอันสวยๆ ขึ้นไปสัมผัสความความสวยงามแห่งขุนเขาที่มีความเย็นขนาดที่ช่องฟิซตู้เย็นที่บ้านยังเรียกพี่และกระผมเห็นแล้วต้องอุทานออกมาว่า "เจ๊ดเข้ นี่กูไม่ได้ฝันไปใช่ไหมวะ" พร้อมเอามือน้อยๆตบหน้าตัวเอง 1 ที และที่นี่คือ ยอดเขาสันโหนกวัว เย้ยย ไม่ใช่ละ!!!! ยอดเขาสันหนอกวัว ณ อุทยานแห่งชาติเขาแหลม จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดใน จ.กาญจนบุรี ด้วยความสูง 1,767 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งก่อนที่เราจะไปถึงจุดสุดยอดนั้นต้องเดินเท้าจากจุดปล่อยตัวประมาณ 9 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 5-6 ชม. สำหรับคนที่ฟิตๆอย่างผมนะครับ ส่วนคนที่เริ่มแก่ตัวแล้วก็อาจจะใช้เวลานานกว่านั้นแล้วแต่อายุการใช้งานของแต่ละคนครับ ทริปนี้จริงๆแล้ววางแผนแค่ 3 วัน ก่อนหน้าที่จะมา เพื่อนบอกว้อนมากพาไปหน่อย เลยตัดสินใจเช็คข้อมูลการจองจากเพจของอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ปรากฏว่าเพิ่งจะเริ่มเปิดจองพอดี เมื่อรู้อย่างงี้แล้วจะช้าอยู่ใย ตัดสินใจโทรไปจองทันทีแต่โทรไม่ติดเพราะคนโทรเข้ามาเยอะ โทรตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยงค่อยติด
ขอตัดมาที่วันขึ้นเขากันเลยนะครับ เช้านี้มาโผล่ที่จุดชมวิวป้อมปี ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่จะมารับเราเพื่อไปยังจุดปล่อยตัวเดินป่า เมื่อคืนนี้ฝนตกหนักทั้งคืนจนเพื่อนบอกไม่เอาละ กูไม่ขึ้น ขึ้นไปเถอะเดี๋ยวกูไปนอนสังขละและเดี๋ยวจะกลับมารับตอนขากลับ ถรุ้ยยย แต่เมิงเป็นคนชวนกรูนะครับ(บ่นให้เพื่อน) แต่ผมจะขึ้นให้ได้เพราะคิดว่าได้มาแล้ว ทางเดียวที่จะไม่ขึ้นคือเจ้าหน้าที่อุทยานยกเลิกการเดินป่าเท้านั้น ผมบ่นให้เพื่อนไปชุดใหญ่ ทำไมทิ้งกันวะ อะไรทำนองนี้ จนมันยอมขึ้นเขาด้วยกันแต่โดยดี นอกจากเราแล้วยังมีกลุ่มที่มากับทัวร์จาก กทม. อีกประมาณ 20 คน และวันนี้เราจะต้องเดินขึ้นเขาพร้อมๆกัน ซึ่งเราก็มีกิจกรรมกระชับมิตรและเล่นเกมส์กันเล็กๆน้อยๆเป็นการแนะนำตัวเพื่อที่ทุกคนจะได้รู้จักกัน เพราะบางคนก็มาคนเดียวยังไม่รู้จักใครเลย ผมและเพื่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเดินป่าและหาไรกินเรียบร้อย คุณพี่เจ้าหน้าที่ก็มาพอดี พี่เจ้าหน้าที่ก็มาชี้แจงรายละเอียดในการเดินป่า ซึ่งปีนี้กลุ่มเราได้ขึ้นเป็นกลุ่มแรกของฤดูกาล 2016 ถือว่ามีความโชคดีเป็นอย่างมากที่จะได้เดินขึ้นเป็นกลุ่มแรก และนี่คือโฉมหน้าของผู้กล้าที่จะรวมเดินทางไปแตะขอบฟ้าพร้อมๆกัน
และเวลาประมาณ 9.40 น. ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อเข้าหน้าที่ได้กล่าวต้อนรับและชี้แจงรายละเอียดในการเดินป่าเรียบร้อยแล้ว ขึ้นตอนต่อไปเจ้าหน้าที่จะพาเราไปส่งที่จุดปล่อยตัวโดยขึ้นรถกระบะ ระหว่างทางที่ขึ้นไปยังจุดปล่อยตัวมีหมอกหนามากจนมองไม่เห็นทางข้างหน้าเพราะเมื่อคืนมีฝนตกหนักทั้งคืนประกอบกับเรากำลังไต่ระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆทำให้มีอากาศเย็นและหมอกหนามาก
แล้วเราก็มาถึงจุดปล่อยตัวครับ จากนี้เราต้องเดินเท้าอีกประมาณ 9 กิโลเมตร จึงจะถึงจุดหมายปลายทางของเรา ว่าแล้วจะรอช้ากันทำไมเริ่มเดินซิครับ
เมื่อเราเริ่มเดินมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้ อุปสรรคเริ่มมีมาให้เห็น นั่นก็คือ "ทาก" เยอะมากครับ เป็นเพราะฝนเพิ่งหยุดตกและก็มีปัญหาหลายอย่างทำให้การเดินของเราลำบากขึ้น เช่น พื้นลื่น หนามต่างๆที่อยู่ตามพื้น ใครที่จะมาแนะนำให้มีถุงกันทากมาด้วยจะดีมากๆเลย ถ้าหาไม่ได้ก็แนะนำถุงเท้านักฟุตบอลยาวๆเลยนะครับ ใช้ได้เหมือนกัน
ด้วยความที่ว่าเราขึ้นมาเป็นกลุ่มแรกของปี ทำให้ธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ ยังคงความสวยงามอยู่ ทำให้เห็นดอกไม้สวยๆ เห็ดสวยๆ ระหว่างทางที่เดิน ดูแล้วมันก็ทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด และเพื่อนร่วมเดินทางที่มีแต่ความฮา ความโก๊ะ ความเสียเส้นกันแทบทุกคน ทำให้การเดินป่าครั้งนี้ บรรยากาศมันสนุกสนานราวกับว่านอนดูตลกของพี่โน้ต อุดม ที่ห้องยังไงยังงั้นเลย
เราเดินมาได้สักครึ่งทางแล้ว เราควรถึงแก่เวลารับประทานอาหารกันแล้ว ทุกคนจะมีห่อแคลอรี่ของใครของมันคนละห่อ ซึ่งสั่งร้านอาหารที่จุดชมวิวป้อมปี่(จุดที่เจ้าหน้าที่มารับเรา) ทุกคนรีบควักห่อแคลอรี่ของตัวเองออกมา และรีบยัดแคลอรี่ของตัวเองที่พกมาเข้าไปในปากราวกับไม่ได้กินอะไรมาหลายสิบวัน ส่วนคุณพี่ตือ(พี่เจ้าหน้าที่อุทยานผู้นำทางเราไปสู่การแตะขอบฟ้า) พ่อเทพบุตรสุดหล่อของสิ่งมีชีวิตแถบนี้ก็ทำหน้าที่ติดป้ายเตือนที่พกติดตัวมาติดไว้เพื่อเตือนตามจุดต่างๆสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเดินป่า เช่น ห้ามส่งเสียงดัง รบกวนสัตว์ ฯลฯ
เมื่อเราพากันยัดแคลอรี่เข้าสู่ร่างกายกันเรียบร้อยก็พร้อมออกเดินทางกันต่อ การเดินทางเพื่อพิชิตยอดเขาสันหนอกวัวนั้น เป็นการเดินป่าระดับ 3 ซึ่งเป็นการเดินป่าที่ไม่ง่ายและก็ไม่ยากหากว่าใจเราพร้อม การเดินป่าระดับ 3 จะมีเส้นทางที่ชันบ้าง ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่มีร้านค้าระหว่างทาง ไม่มีไฟฟ้าครับ เราต้องเตรียมขึ้นไปเองทั้งหมด และที่โชคร้ายสุดๆของผมคือไม่มีสัญญานโทรศัพท์ของค่าย True ส่วน AIS และ Dtac นั้นพอมีบ้างเป็นบางจังหวะ ถ้าทางค่ายมาอ่านเจอผมรบกวนให้ไปติดตั้งให้เรียบร้อยด้วยครับ ผมได้รับความเดือดร้อนมาก เผื่อผมไปครั้งหน้าจะได้มี 4G เล่นกะเขาบ้าง
การเดินป่าที่นี่จะมีบางจุดที่มีความชันพอสมควร เรียกว่า "เนินหมาถอย" น่าจะมีความชันสักประมาณ 75-80 องศา ระยะทางประมาณเกือบๆ 1 กิโลเมตร ถ้าใครไม่เคยเดินป่ามาก่อนอาจจะมีถอดใจกันบ้าง แต่ถ้าใครใจถึงและมีความหิวกระหายในการเดินป่าก็น่าจะผ่านมันไปได้ไม่ยากครับ
เราเดินมาถึงจุดๆนึง ก็มีฝนตกลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว ทันใดนั้นทุกคนก็ควักเสื้อวิเศษกันออกมาจากกระเป๋า ราวกับรู้มาก่อนว่ามาเดินป่าครั้งนี้กูเจอฝนแน่นวล แต่มีสตรีบางท่านใส่เสื้อไม่เป็นแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเพราะเพื่อนร่วมทางของเราทุกคนมีน้ำใจ ต่างคนต่างพยายามใส่เสื้อกันฝนให้กันอย่างรวดเร็ว เดินไปได้สักพักฝนก็หยุดตก ฟ้าหลังฝน สวยงามเสมอ ครับ
และแล้วในที่สุดทีมงานแตะขอบฟ้าของเราก็มาถึงจุดกางเต๊นจนได้ เราใช้เวลามาถึงจุดนี้ประมาณ 5 ชม.กว่าๆ ถือว่าทำเวลากันได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ยังมีคนที่เร็วกว่าเราคือพี่น้ำจันทร์ สุดหล่อแห่งเพจคนหลงป่า ผู้ที่ซึ่งเป็นหัวโจกในการพาทีมงานออกมาแตะขอบฟ้าในครั้งนี้และยังมีลูกหาบที่มาถึงก่อนเราเดินล่วงหน้ามาก่อนเพื่อเตรียมกางเต๊นที่พักและลงงไปตักน้ำที่ลำธารมาให้เราไว้ใช้และประกอบอาหารในค่ำคืนนี้
เรามาถึงที่พักได้ไม่นานฝนก็ตกลงมาอีกรอบ มาถึงจุดๆนี้ผมภาวนาว่าขอให้ตกแปปเดียวนะ ถ้าตกทั้งคืนเหมือนเมื่อคืนนี้งานเข้าแน่นวล ฝนตกมันก็พิสูจณ์ใจคนเหมือนกันว่าจะยังแน่วแน่กับอุดมการณ์ต่อไปหรือจะถอดใจยอมแพ้ทริปหน้าจะไม่มีอีกแล้วอะไรทำนองนี้ บอกเลยว่าฝนทำไรผมไม่ได้หรอก ผมได้ตั้งจิตแน่วแน่ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางแล้วว่าจะขึ้นไปยืนบนจุดที่เขาว่าสูงที่สุดในเมืองกาญฯ นี้ให้ได้ สุดท้ายฝนก็หยุดตกราวกับว่ามีปาฏิหารอย่างไงอย่างงั้นเลยและคำว่า ฟ้าหลังฝน สวยงามเสมอ ก็มาอีกเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 วัน ฝนหยุดตกเราก็พากันขึ้นไปเดินชมวิวกันข้างบน มันก็สวยงาม ตามท้องเรื่องนั่นหละห๊ะ ท่านผู้ชม
ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งการดื่มด่ำกับการนอนท่ามกลางธรรมชาติ อากาศกำลังพอดี ไม่หนาวมาก เย็นๆ กำลังพอดีครับ อาหารเย็นในค่ำคืนนี้ได้รับเกียรติจากพี่หมูหวานและทีมงามช่วยกันหุงหาอาหารให้กับพวกเราได้รับประทานกัน ผมว่าพี่น่าจะไปรายการเชฟกระทะเหล็กนะ แบบว่าย้ายรายการมาทำในป่าเลย รับรองแชมป์แน่นวล
รับประทานอาหารกันเสร็จก็มีกิจกรรมกันนิดหน่อย ส่วนผมขอนอนเอาแรงไว้ออกไปแตะขอบฟ้าพรุ่งนี้เช้าละกัน
เช้านี้ผมตื่นลุกจากเต๊นออกมาหมอกขาวโพรนเต็มไปหมด มองไปแทบจะไม่เห็นอะไรเลย ทุกคนต่างรีบลุกขึ้นมาเพื่อจะไปชมพระอาทิตย์ แต่ตอนนี้คงยังไม่เห็นอะไรเพราะมีแต่หมอกเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการแตะขอบฟ้าของเรา เดี๋ยวแตะแม่งงท่ามกลางหมอกนี่แหละ ฟินไปอีกแบบ
ขออนุญาติลงรูปรัวๆครับ
การเดินป่าครั้งนี้นอกจากจะได้มาสัมผัสกับหมอกที่หนา ลมแรง ก็ยังมีดอกไม้สวยๆหลายชนิดให้เราได้ชมกันอีกด้วย
เมื่อเราได้พิชิตยอดเขาสันหนอกวัวและแตะขอบฟ้ากันแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับกันแล้ว ถึงแม้ว่าการมาพิชิตสันหนอกวัวครั้งนี้ของพวกเราจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นอีกบรรยากาสที่น่าประทับใจไม่แพ้กันครับ เพราะหมอกที่ล้อมรอบตัวเรามันทำให้รู้สึกว่า เราได้ยืนอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของหมอก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อกระทู้นั่นเองละครับ
การเดินครั้งนี้ของเราถึงแม้จะไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่เราก็ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ลำบากไปด้วยกัน เหนื่อยไปด้วยกัน ยิ้ม หัวเราะ มีความสุขไปด้วยกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน นั่นละครับเหนือสิ่งอื่นใดคือมิตรภาพที่ดีต่อกัน เพื่อน พี่ น้อง ใหม่ๆที่เกิดขึ้นมาในการเดินทางครั้งนี้ ทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ กลับมา และในฐานะที่เราเป็นนักท่องเที่ยว หลังจากที่เราได้ตักตวงความสุขกันเต็มที่แล้ว หน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เราจะต้องไม่ลืมเด็ดขาด นั่นก็คือการรักษาธรรมชาติและผืนป่า เพื่อธรรมชาติจะได้อยู่กับเราไปนานๆ และเพื่อคนที่ขึ้นมาเที่ยวหลังจากเราจะได้ชมธรรมชาติที่สวยงามเหมือนกันครับ
กระทู้นี้แค่อยากทำขึ้นเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ เพื่อที่เวลาผ่านไปจะได้ย้อนกลับมาอ่านและคิดถึงความสุขที่เราได้มีร่วมกัน เพื่อนๆที่เข้ามาอ่านก็อย่าได้เอาไปเปรียบเทียบกับกระทู้ที่มืออาชีพทำกันละกันครับ ขอให้ทุกคนที่เข้ามาได้มีความรู้ออกไป มีรอยยิ้มกลับออกไป แค่นั้น เจ้าของกระทู้ก็มีความสุขมากแล้วครับ
อ้อมกอดแห่งหมอก ที่ สันหนอกวัว (อุทยานแห่งชาติเขาแหลม สูงสุดในเมืองกาญฯ 1,767 เมตร )
ขอตัดมาที่วันขึ้นเขากันเลยนะครับ เช้านี้มาโผล่ที่จุดชมวิวป้อมปี ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่จะมารับเราเพื่อไปยังจุดปล่อยตัวเดินป่า เมื่อคืนนี้ฝนตกหนักทั้งคืนจนเพื่อนบอกไม่เอาละ กูไม่ขึ้น ขึ้นไปเถอะเดี๋ยวกูไปนอนสังขละและเดี๋ยวจะกลับมารับตอนขากลับ ถรุ้ยยย แต่เมิงเป็นคนชวนกรูนะครับ(บ่นให้เพื่อน) แต่ผมจะขึ้นให้ได้เพราะคิดว่าได้มาแล้ว ทางเดียวที่จะไม่ขึ้นคือเจ้าหน้าที่อุทยานยกเลิกการเดินป่าเท้านั้น ผมบ่นให้เพื่อนไปชุดใหญ่ ทำไมทิ้งกันวะ อะไรทำนองนี้ จนมันยอมขึ้นเขาด้วยกันแต่โดยดี นอกจากเราแล้วยังมีกลุ่มที่มากับทัวร์จาก กทม. อีกประมาณ 20 คน และวันนี้เราจะต้องเดินขึ้นเขาพร้อมๆกัน ซึ่งเราก็มีกิจกรรมกระชับมิตรและเล่นเกมส์กันเล็กๆน้อยๆเป็นการแนะนำตัวเพื่อที่ทุกคนจะได้รู้จักกัน เพราะบางคนก็มาคนเดียวยังไม่รู้จักใครเลย ผมและเพื่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเดินป่าและหาไรกินเรียบร้อย คุณพี่เจ้าหน้าที่ก็มาพอดี พี่เจ้าหน้าที่ก็มาชี้แจงรายละเอียดในการเดินป่า ซึ่งปีนี้กลุ่มเราได้ขึ้นเป็นกลุ่มแรกของฤดูกาล 2016 ถือว่ามีความโชคดีเป็นอย่างมากที่จะได้เดินขึ้นเป็นกลุ่มแรก และนี่คือโฉมหน้าของผู้กล้าที่จะรวมเดินทางไปแตะขอบฟ้าพร้อมๆกัน
และเวลาประมาณ 9.40 น. ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อเข้าหน้าที่ได้กล่าวต้อนรับและชี้แจงรายละเอียดในการเดินป่าเรียบร้อยแล้ว ขึ้นตอนต่อไปเจ้าหน้าที่จะพาเราไปส่งที่จุดปล่อยตัวโดยขึ้นรถกระบะ ระหว่างทางที่ขึ้นไปยังจุดปล่อยตัวมีหมอกหนามากจนมองไม่เห็นทางข้างหน้าเพราะเมื่อคืนมีฝนตกหนักทั้งคืนประกอบกับเรากำลังไต่ระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆทำให้มีอากาศเย็นและหมอกหนามาก
แล้วเราก็มาถึงจุดปล่อยตัวครับ จากนี้เราต้องเดินเท้าอีกประมาณ 9 กิโลเมตร จึงจะถึงจุดหมายปลายทางของเรา ว่าแล้วจะรอช้ากันทำไมเริ่มเดินซิครับ
เมื่อเราเริ่มเดินมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้ อุปสรรคเริ่มมีมาให้เห็น นั่นก็คือ "ทาก" เยอะมากครับ เป็นเพราะฝนเพิ่งหยุดตกและก็มีปัญหาหลายอย่างทำให้การเดินของเราลำบากขึ้น เช่น พื้นลื่น หนามต่างๆที่อยู่ตามพื้น ใครที่จะมาแนะนำให้มีถุงกันทากมาด้วยจะดีมากๆเลย ถ้าหาไม่ได้ก็แนะนำถุงเท้านักฟุตบอลยาวๆเลยนะครับ ใช้ได้เหมือนกัน
ด้วยความที่ว่าเราขึ้นมาเป็นกลุ่มแรกของปี ทำให้ธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ ยังคงความสวยงามอยู่ ทำให้เห็นดอกไม้สวยๆ เห็ดสวยๆ ระหว่างทางที่เดิน ดูแล้วมันก็ทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด และเพื่อนร่วมเดินทางที่มีแต่ความฮา ความโก๊ะ ความเสียเส้นกันแทบทุกคน ทำให้การเดินป่าครั้งนี้ บรรยากาศมันสนุกสนานราวกับว่านอนดูตลกของพี่โน้ต อุดม ที่ห้องยังไงยังงั้นเลย
เราเดินมาได้สักครึ่งทางแล้ว เราควรถึงแก่เวลารับประทานอาหารกันแล้ว ทุกคนจะมีห่อแคลอรี่ของใครของมันคนละห่อ ซึ่งสั่งร้านอาหารที่จุดชมวิวป้อมปี่(จุดที่เจ้าหน้าที่มารับเรา) ทุกคนรีบควักห่อแคลอรี่ของตัวเองออกมา และรีบยัดแคลอรี่ของตัวเองที่พกมาเข้าไปในปากราวกับไม่ได้กินอะไรมาหลายสิบวัน ส่วนคุณพี่ตือ(พี่เจ้าหน้าที่อุทยานผู้นำทางเราไปสู่การแตะขอบฟ้า) พ่อเทพบุตรสุดหล่อของสิ่งมีชีวิตแถบนี้ก็ทำหน้าที่ติดป้ายเตือนที่พกติดตัวมาติดไว้เพื่อเตือนตามจุดต่างๆสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเดินป่า เช่น ห้ามส่งเสียงดัง รบกวนสัตว์ ฯลฯ
เมื่อเราพากันยัดแคลอรี่เข้าสู่ร่างกายกันเรียบร้อยก็พร้อมออกเดินทางกันต่อ การเดินทางเพื่อพิชิตยอดเขาสันหนอกวัวนั้น เป็นการเดินป่าระดับ 3 ซึ่งเป็นการเดินป่าที่ไม่ง่ายและก็ไม่ยากหากว่าใจเราพร้อม การเดินป่าระดับ 3 จะมีเส้นทางที่ชันบ้าง ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่มีร้านค้าระหว่างทาง ไม่มีไฟฟ้าครับ เราต้องเตรียมขึ้นไปเองทั้งหมด และที่โชคร้ายสุดๆของผมคือไม่มีสัญญานโทรศัพท์ของค่าย True ส่วน AIS และ Dtac นั้นพอมีบ้างเป็นบางจังหวะ ถ้าทางค่ายมาอ่านเจอผมรบกวนให้ไปติดตั้งให้เรียบร้อยด้วยครับ ผมได้รับความเดือดร้อนมาก เผื่อผมไปครั้งหน้าจะได้มี 4G เล่นกะเขาบ้าง
การเดินป่าที่นี่จะมีบางจุดที่มีความชันพอสมควร เรียกว่า "เนินหมาถอย" น่าจะมีความชันสักประมาณ 75-80 องศา ระยะทางประมาณเกือบๆ 1 กิโลเมตร ถ้าใครไม่เคยเดินป่ามาก่อนอาจจะมีถอดใจกันบ้าง แต่ถ้าใครใจถึงและมีความหิวกระหายในการเดินป่าก็น่าจะผ่านมันไปได้ไม่ยากครับ
เราเดินมาถึงจุดๆนึง ก็มีฝนตกลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว ทันใดนั้นทุกคนก็ควักเสื้อวิเศษกันออกมาจากกระเป๋า ราวกับรู้มาก่อนว่ามาเดินป่าครั้งนี้กูเจอฝนแน่นวล แต่มีสตรีบางท่านใส่เสื้อไม่เป็นแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเพราะเพื่อนร่วมทางของเราทุกคนมีน้ำใจ ต่างคนต่างพยายามใส่เสื้อกันฝนให้กันอย่างรวดเร็ว เดินไปได้สักพักฝนก็หยุดตก ฟ้าหลังฝน สวยงามเสมอ ครับ
และแล้วในที่สุดทีมงานแตะขอบฟ้าของเราก็มาถึงจุดกางเต๊นจนได้ เราใช้เวลามาถึงจุดนี้ประมาณ 5 ชม.กว่าๆ ถือว่าทำเวลากันได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ยังมีคนที่เร็วกว่าเราคือพี่น้ำจันทร์ สุดหล่อแห่งเพจคนหลงป่า ผู้ที่ซึ่งเป็นหัวโจกในการพาทีมงานออกมาแตะขอบฟ้าในครั้งนี้และยังมีลูกหาบที่มาถึงก่อนเราเดินล่วงหน้ามาก่อนเพื่อเตรียมกางเต๊นที่พักและลงงไปตักน้ำที่ลำธารมาให้เราไว้ใช้และประกอบอาหารในค่ำคืนนี้
เรามาถึงที่พักได้ไม่นานฝนก็ตกลงมาอีกรอบ มาถึงจุดๆนี้ผมภาวนาว่าขอให้ตกแปปเดียวนะ ถ้าตกทั้งคืนเหมือนเมื่อคืนนี้งานเข้าแน่นวล ฝนตกมันก็พิสูจณ์ใจคนเหมือนกันว่าจะยังแน่วแน่กับอุดมการณ์ต่อไปหรือจะถอดใจยอมแพ้ทริปหน้าจะไม่มีอีกแล้วอะไรทำนองนี้ บอกเลยว่าฝนทำไรผมไม่ได้หรอก ผมได้ตั้งจิตแน่วแน่ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางแล้วว่าจะขึ้นไปยืนบนจุดที่เขาว่าสูงที่สุดในเมืองกาญฯ นี้ให้ได้ สุดท้ายฝนก็หยุดตกราวกับว่ามีปาฏิหารอย่างไงอย่างงั้นเลยและคำว่า ฟ้าหลังฝน สวยงามเสมอ ก็มาอีกเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 วัน ฝนหยุดตกเราก็พากันขึ้นไปเดินชมวิวกันข้างบน มันก็สวยงาม ตามท้องเรื่องนั่นหละห๊ะ ท่านผู้ชม
ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งการดื่มด่ำกับการนอนท่ามกลางธรรมชาติ อากาศกำลังพอดี ไม่หนาวมาก เย็นๆ กำลังพอดีครับ อาหารเย็นในค่ำคืนนี้ได้รับเกียรติจากพี่หมูหวานและทีมงามช่วยกันหุงหาอาหารให้กับพวกเราได้รับประทานกัน ผมว่าพี่น่าจะไปรายการเชฟกระทะเหล็กนะ แบบว่าย้ายรายการมาทำในป่าเลย รับรองแชมป์แน่นวล
รับประทานอาหารกันเสร็จก็มีกิจกรรมกันนิดหน่อย ส่วนผมขอนอนเอาแรงไว้ออกไปแตะขอบฟ้าพรุ่งนี้เช้าละกัน
เช้านี้ผมตื่นลุกจากเต๊นออกมาหมอกขาวโพรนเต็มไปหมด มองไปแทบจะไม่เห็นอะไรเลย ทุกคนต่างรีบลุกขึ้นมาเพื่อจะไปชมพระอาทิตย์ แต่ตอนนี้คงยังไม่เห็นอะไรเพราะมีแต่หมอกเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการแตะขอบฟ้าของเรา เดี๋ยวแตะแม่งงท่ามกลางหมอกนี่แหละ ฟินไปอีกแบบ
ขออนุญาติลงรูปรัวๆครับ
การเดินป่าครั้งนี้นอกจากจะได้มาสัมผัสกับหมอกที่หนา ลมแรง ก็ยังมีดอกไม้สวยๆหลายชนิดให้เราได้ชมกันอีกด้วย
เมื่อเราได้พิชิตยอดเขาสันหนอกวัวและแตะขอบฟ้ากันแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับกันแล้ว ถึงแม้ว่าการมาพิชิตสันหนอกวัวครั้งนี้ของพวกเราจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นอีกบรรยากาสที่น่าประทับใจไม่แพ้กันครับ เพราะหมอกที่ล้อมรอบตัวเรามันทำให้รู้สึกว่า เราได้ยืนอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของหมอก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อกระทู้นั่นเองละครับ
การเดินครั้งนี้ของเราถึงแม้จะไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่เราก็ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ลำบากไปด้วยกัน เหนื่อยไปด้วยกัน ยิ้ม หัวเราะ มีความสุขไปด้วยกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน นั่นละครับเหนือสิ่งอื่นใดคือมิตรภาพที่ดีต่อกัน เพื่อน พี่ น้อง ใหม่ๆที่เกิดขึ้นมาในการเดินทางครั้งนี้ ทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ กลับมา และในฐานะที่เราเป็นนักท่องเที่ยว หลังจากที่เราได้ตักตวงความสุขกันเต็มที่แล้ว หน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เราจะต้องไม่ลืมเด็ดขาด นั่นก็คือการรักษาธรรมชาติและผืนป่า เพื่อธรรมชาติจะได้อยู่กับเราไปนานๆ และเพื่อคนที่ขึ้นมาเที่ยวหลังจากเราจะได้ชมธรรมชาติที่สวยงามเหมือนกันครับ
กระทู้นี้แค่อยากทำขึ้นเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ เพื่อที่เวลาผ่านไปจะได้ย้อนกลับมาอ่านและคิดถึงความสุขที่เราได้มีร่วมกัน เพื่อนๆที่เข้ามาอ่านก็อย่าได้เอาไปเปรียบเทียบกับกระทู้ที่มืออาชีพทำกันละกันครับ ขอให้ทุกคนที่เข้ามาได้มีความรู้ออกไป มีรอยยิ้มกลับออกไป แค่นั้น เจ้าของกระทู้ก็มีความสุขมากแล้วครับ