คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
บทความจาก http://themomentum.co/momentum-opinion-japan-rice
โดย : คำผกา
เวลาเราพูดเรื่องชาวนา และข้าว
คนไทยมักเปรียบเทียบข้าวไทย ชาวนาไทย กับข้าวญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นเสมอ
เรามักอ่านเรื่องราวของข้าวโคชิฮิการิอันแสนแพงของญี่ปุ่นด้วยความทึ่ง
“ดูสิ ทำไมชาวนาญี่ปุ่นถึงขายข้าวได้ราคาแพงจัง”
“ประเทศญี่ปุ่นดีจังเลย ชาวนาเขาร่ำรวยมาก ไม่ยากจนเหมือนชาวนาไทย”
“ข้าวเขาคุณภาพดีจัง ชาวนาเขามีความรู้ แพ็กเกจจิ้งข้าวก็สวย เกษตรกรบ้านเราน่าเอาเยี่ยงอย่าง”
ฯลฯ
Photo: KYODO Kyodo, Reuters/profile
อะไรทำให้ข้าวญี่ปุ่นเป็นเช่นนั้น?
กลุ่มสหกรณ์ชาวนา ฐานเสียง และอำนาจการต่อรอง
นับตั้งแต่ญี่ปุ่นปลดแอกตัวเองออกมาจากระบบศักดินา ด้วยกฎหมายการปฏิรูปที่ดินในปี 1946 ที่ทำให้ที่ดินหลุดออกมาจากมือตระกูลเจ้าที่ดิน ขุนนาง สู่มือของชาวนาสามัญชน พร้อมๆ กับการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง กำเนิดของพรรคการเมือง การรวมกลุ่มของชาวนาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่สองได้พัฒนาขึ้นมาเป็นกลุ่มสหกรณ์ชาวนาที่รู้จักกันในนามของ JA หรือ Japanese Agricultural Coopertives
กลุ่ม JA ปัจจุบัน บริหารสหกรณ์ 694 แห่งทั่วประเทศ มีสมาชิกอย่างเป็นทางการ 4.6 ล้านคน และสมาชิกเครือข่ายรวมแล้ว 5.4 ล้านคน บริหารสหกรณ์ระดับ เทศบาล และจังหวัดทั่วประเทศ มีธนาคารเครดิตยูเนียน และธุรกิจประกันเป็นของตนเอง และจำนวนสมาชิกของ JA คือฐานเสียงสำคัญของพรรค LDP มาตั้งแต่ปี 1955
JA คือกลุ่มสหกรณ์การเกษตรระดับชาติที่มีอำนาจในการต่อรอง ล็อบบี้ นโยบายของรัฐได้ทุกยุค เนื่องจากกุมเสียงที่เป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายของอนาคตพรรคการเมืองได้ จึงไม่ต้องแปลกใจที่รัฐบาลญี่ปุ่นมีการอุดหนุนเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา ทั้งการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าข้าวสูงถึง 777% การควบคุมผลผลิตข้าว เพื่อรักษาระดับราคาข้าวให้แพงไว้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการจ่ายเงินชดเชยสำหรับเกษตรกรที่งดปลูกข้าว เพื่อป้องกันข้าวล้นตลาด
เพราะฉะนั้นราคาข้าวอันสูงลิ่วในญี่ปุ่นจึงมาจากพลังการล็อบบี้ทางการเมืองของกลุ่มสหกรณ์ชาวนาในฐานะหัวคะแนนของ ส.ส. และความพยายามยึดกุมอำนาจในการบริหารกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ผ่านการกุมคะแนนเสียงเลือกตั้งของกลุ่มสหกรณ์นั่นเอง หาใช่เกิดจากความดีความอันเหลือเชื่อใดๆ ไม่
Photo: Toru Hanai, Reuters/profile
‘ข้าว’ พลังวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และชาตินิยม
ไม่เพียงแต่พลังทางการเมือง ยังมีพลังทางวัฒนธรรมด้วย
ขอยกตัวอย่าง บทสัมภาษณ์ Tetsuhiro Yamaguchi เจ้าของร้านอาหารชื่อ Kokoromai (Heart of Rice) จากบทความ ‘You are what you eat: Can a country as modern as Japan cling onto a culture as ancient as rice’ ของ The Economist (http://www.economist.com/node/15108648)
บทความนี้พูดถึงประวัติศาสตร์ ‘ข้าว’ ในสังคมญี่ปุ่น และพูดถึงภาวะ ‘ขาลง’ ของชาวนา และข้าวในญี่ปุ่น แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีคนแบบ Tetsuhiro Yamaguchi ที่พยายามอย่างสุดความสามารถในการยื้อ ‘ชีวิต’ ของข้าวญี่ปุ่นเอาไว้
ยามากุจิ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่เชื่อว่า จิตวิญญาณของข้าวคือส่วนหนึ่งแห่งดีเอ็นเอของความเป็นญี่ปุ่น และปรารถนาให้การกินข้าวนั้นละเมียดละไมไม่ต่างจากการชิมไวน์
ยามากุจิทำให้ประสบการณ์การกิน ‘ข้าว’ ในร้านอาหารของเขาเป็นประหนึ่งสุนทรียะแห่งนาฏศิลป์ ด้วยการตกแต่งร้านด้วยโทนแสงค่อนข้างมืด มีข้าวหุงสุกในหม้อดินวางเรียง และรายล้อมด้วยจานซาชิมิที่ทำจากดินเผา เขาค่อยๆ เปิดฝาหม้อข้าวให้ไอร้อนพวยพุ่งออกมา ข้าวสวยในหม้อเรียงเมล็ดอวบสีขาวกระจ่างงามราวกับไข่มุกเนื้อดี
“ข้าวเหมือนแบ็กดรอปบนเวทีโรงละคร เวทีนี้ต้องการดาราและตัวละคร ตรงนั้นแหละที่ซาชิมิจะปรากฏตัว”
ยามากุจิไม่ใช่คนเดียวที่พรมบทกวีลงบนเมล็ดข้าว คนญี่ปุ่นจำนวนมากเปรียบเทียบสีขาวบริสุทธิ์ของเมล็ดข้าวกับจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นแท้ และความขาวบริสุทธิ์นี้ไม่พึงจะถูกแปดเปื้อนด้วยหยดของโชยุแม้แต่หยดเดียว
การกินข้าวกับปลาสะท้อนความสัมพันธ์ของข้าวกับน้ำในท้องทุ่ง คือแนวคิดว่าด้วยความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวแห่งธรรมชาติที่คนญี่ปุ่นเห็นว่าสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด และมีสุภาษิตญี่ปุ่นที่บอกว่า
“รวงข้าวที่หนักเท่าไร ก็ยิ่งค้อมลงต่ำมากเท่านั้น”
ยามากุจิจะไม่มีวันเสิร์ฟข้าวของประเทศอื่นในร้านเขาเลย ทำไม?
“กายร่างแห่งความเป็นญี่ปุ่นถูกสร้างมาด้วยข้าวญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นควรกินแต่ข้าวญี่ปุ่นเท่านั้น”
สีขาวของข้าว – จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของญี่ปุ่น
ข้าว – เลือดเนื้อแห่งความเป็นญี่ปุ่น
น้ำ ปลา ข้าว ท้องนา ธรรมชาติที่สอดประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียว ซึ่งเป็นหลักปรัชญาวิถีชีวิตญี่ปุ่น
รวงข้าวที่ค้อมหนักถ่อมตัว คือนิสัยใจคอของคนญี่ปุ่น
ข้าวต่างชาติ คือสิ่งแปลกปลอม
กลิ่นอายแห่งความเป็น ‘ชาตินิยม’ อย่างหนักหน่วง ผ่านวัฒนธรรมการบริโภคข้าวญี่ปุ่นเช่นนี้มีมาแต่โบราณกาลหรือไม่?
ในเทพปกรณัมแบบญี่ปุ่นเล่าว่า ข้าวนั้นถูกประทานมาจากสรวงสวรรค์ผ่านเทพีแห่งดวงอาทิตย์ ที่มอบให้กับลูกของเธอที่ลงมาปกครองญี่ปุ่น แต่ความจริงคือ ข้าวถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่นผ่านจีนและเกาหลีเมื่อสี่ร้อยปีก่อนคริสตกาล – ทุกวันนี้คนญี่ปุ่นยังไม่ค่อยอยากรับความจริงว่า ข้าวของญี่ปุ่นนั้นรับผ่านมาทางเกาหลี
แต่ข้าวไม่เคยเป็นอาหารหลักของคนญี่ปุ่นจนถึงสมัยเอโดะ เพราะด้วยข้อจำกัดของระบบชลประทานการทำนาข้าวนั้นเป็นไปได้อย่างจำกัด ข้าวคือความหรูหรา ถูกเสิร์ฟในชามสูงค่าสำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น ส่วนคนญี่ปุ่นทั่วๆ ไปกินธัญพืชหลายชนิด ปะปนกันไปตามประสาคนยาก
กล่าวให้ถึงที่สุด คนญี่ปุ่นกินข้าวเป็นอาหารหลักเมื่อล่วงเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 แล้วด้วยซ้ำ
ข้าวไปพัวพันกับลัทธิชาตินิยมได้อย่างไร?
ในช่วงสงคราม ความขาวของข้าวญี่ปุ่นถูกนำไปเชื่อมโยงกับความบริสุทธิ์ของชนชาติญี่ปุ่น และข้าวต่างชาติคือ ความด่างพร้อย นอกจากนี้ข้าวอันขาวสะอาดของญี่ปุ่นยังถูกจัดลงกล่องข้าว พร้อมวางลูกบ๊วยสีแดงไว้ตรงกลางเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ เพื่อส่งไปให้ทหาร โดยเชื่อว่าการกินข้าวญี่ปุ่นจะทำให้ทหารญี่ปุ่นนำชัยชนะกลับมา
ข้าวจึงเป็น ‘หัวใจ’ ของความเป็นญี่ปุ่นในแง่มุมทางวัฒนธรรม เป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นจิตวิญญาณ และเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นชาติ แม้ปัจจุบันการบริโภคข้าวของคนญี่ปุ่นจะเหลือเพียงปีละ 61 กก. ต่อคนต่อปี ในขณะที่ช่วง 1960s บริโภคคนละ 118 กก. ต่อคนต่อปี
Photo: Toshiyuki Aizawa, Reuters/profile
ภาวะ ‘ขาลง’ ของชาวนาญี่ปุ่น
การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ TPP หรือการเจรจาการค้าเสรีหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถดำเนินนโยบายปกป้องสินค้าการเกษตรและการอุดหนุนเกษตรกรได้เช่นเดิม หากต้องเปิดสู่ตลาดเสรีและการแข่งขัน การตั้งกำแพงภาษีแบบเดิมทำไม่ได้ ต่อไปนี้ญี่ปุ่นต้องทำใจว่าจะมีข้าวสายพันธุ์ญี่ปุ่นจากแคลิฟอร์เนีย และออสเตรเลียเข้ามาขายในญี่ปุ่นด้วย
ชินโซะ อาเบะ ประกาศจะยกเลิกการอุดหนุนและปกป้องภาคการเกษตรทั้งหมดภายในปี 2019
ชีวิตของคนญี่ปุ่นหลังการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ TPP นี่อาจเป็นครั้งแรกที่คนญี่ปุ่นต้องกินข้าวที่นำเข้าจากต่างประเทศ
และน่าจะเป็นฝันร้ายของคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นแบบยามากุจิที่จินตนาการไม่ได้เลยว่า ข้าวต่างชาติที่แสนจะแปลกปลอมจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อ ลมหายใจ และจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นได้อย่างไร
การกินข้าว ‘ต่างชาติ’ ไม่ต่างอะไรจากการถูกทำให้กลายพันธุ์ ดีเอ็นเอถูกบิดเบือน และเสี่ยงต่อการสูญสลายหายไปในที่สุด
แง่มุมทางวัฒนธรรมและสำนึก ‘ชาตินิยม’ ต่อเรื่องข้าวนี้เองที่ทำให้การยกเลิกกำแพงภาษี และการยกเลิกนโยบายการอุดหนุนชาวนาอาจจะไม่ราบรื่นอย่างที่รัฐบาลของอาเบะต้องการ
ไม่แต่เพียงเกษตรกรเท่านั้นที่ปฏิเสธ Free Trade แต่ผลโพลส่วนใหญ่ออกมาว่า คนญี่ปุ่นแม้ต้องแบกรับภาระทางภาษีในการอุดหนุนชาวนา แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ
ข้าวจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่พืชเศรษฐกิจ การเมือง แต่ยังเป็นสนามประลองกำลังทางวัฒนธรรม
การปกป้องเกษตรกรญี่ปุ่นและนโยบายอุดหนุนการเกษตรทั้งหมด แม้จะเป็นเรื่องการล็อบบี้กันทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ กับนักการเมือง แต่พลังที่อยู่เหนือ ‘การเมือง’ กลับเป็นพลังทาง ‘วัฒนธรรม’ และจินตนาการเกี่ยวกับข้าว รวมถึงอัตลักษณ์แห่งความเป็นชาติญี่ปุ่น ที่ทำให้ผู้บริโภคในประเทศเต็มใจที่จะจ่ายแพงกว่า
และหลับหูหลับตาสะกดจิตตัวเองว่า ข้าวญี่ปุ่นที่ปลูกในญี่ปุ่นคือข้าวที่ดีที่สุดในโลก
อ้างอิง:
- http://www.japantimes.co.jp/life/2016/01/29/food/the-future-of-rice-farming-in-japan/#.WBhCMy2LTIU
- https://en.wikipedia.org/wiki/Japan_Agricultural_Cooperatives
- http://www.economist.com/node/15108648
- https://asiapacificpolicy.wordpress.com/2015/02/05/the-problem-with-japanese-rice-policy/
แปะ โดย Rito nounen
โดย : คำผกา
เวลาเราพูดเรื่องชาวนา และข้าว
คนไทยมักเปรียบเทียบข้าวไทย ชาวนาไทย กับข้าวญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นเสมอ
เรามักอ่านเรื่องราวของข้าวโคชิฮิการิอันแสนแพงของญี่ปุ่นด้วยความทึ่ง
“ดูสิ ทำไมชาวนาญี่ปุ่นถึงขายข้าวได้ราคาแพงจัง”
“ประเทศญี่ปุ่นดีจังเลย ชาวนาเขาร่ำรวยมาก ไม่ยากจนเหมือนชาวนาไทย”
“ข้าวเขาคุณภาพดีจัง ชาวนาเขามีความรู้ แพ็กเกจจิ้งข้าวก็สวย เกษตรกรบ้านเราน่าเอาเยี่ยงอย่าง”
ฯลฯ
Photo: KYODO Kyodo, Reuters/profile
อะไรทำให้ข้าวญี่ปุ่นเป็นเช่นนั้น?
กลุ่มสหกรณ์ชาวนา ฐานเสียง และอำนาจการต่อรอง
นับตั้งแต่ญี่ปุ่นปลดแอกตัวเองออกมาจากระบบศักดินา ด้วยกฎหมายการปฏิรูปที่ดินในปี 1946 ที่ทำให้ที่ดินหลุดออกมาจากมือตระกูลเจ้าที่ดิน ขุนนาง สู่มือของชาวนาสามัญชน พร้อมๆ กับการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง กำเนิดของพรรคการเมือง การรวมกลุ่มของชาวนาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่สองได้พัฒนาขึ้นมาเป็นกลุ่มสหกรณ์ชาวนาที่รู้จักกันในนามของ JA หรือ Japanese Agricultural Coopertives
กลุ่ม JA ปัจจุบัน บริหารสหกรณ์ 694 แห่งทั่วประเทศ มีสมาชิกอย่างเป็นทางการ 4.6 ล้านคน และสมาชิกเครือข่ายรวมแล้ว 5.4 ล้านคน บริหารสหกรณ์ระดับ เทศบาล และจังหวัดทั่วประเทศ มีธนาคารเครดิตยูเนียน และธุรกิจประกันเป็นของตนเอง และจำนวนสมาชิกของ JA คือฐานเสียงสำคัญของพรรค LDP มาตั้งแต่ปี 1955
JA คือกลุ่มสหกรณ์การเกษตรระดับชาติที่มีอำนาจในการต่อรอง ล็อบบี้ นโยบายของรัฐได้ทุกยุค เนื่องจากกุมเสียงที่เป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายของอนาคตพรรคการเมืองได้ จึงไม่ต้องแปลกใจที่รัฐบาลญี่ปุ่นมีการอุดหนุนเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา ทั้งการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าข้าวสูงถึง 777% การควบคุมผลผลิตข้าว เพื่อรักษาระดับราคาข้าวให้แพงไว้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการจ่ายเงินชดเชยสำหรับเกษตรกรที่งดปลูกข้าว เพื่อป้องกันข้าวล้นตลาด
เพราะฉะนั้นราคาข้าวอันสูงลิ่วในญี่ปุ่นจึงมาจากพลังการล็อบบี้ทางการเมืองของกลุ่มสหกรณ์ชาวนาในฐานะหัวคะแนนของ ส.ส. และความพยายามยึดกุมอำนาจในการบริหารกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ผ่านการกุมคะแนนเสียงเลือกตั้งของกลุ่มสหกรณ์นั่นเอง หาใช่เกิดจากความดีความอันเหลือเชื่อใดๆ ไม่
Photo: Toru Hanai, Reuters/profile
‘ข้าว’ พลังวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และชาตินิยม
ไม่เพียงแต่พลังทางการเมือง ยังมีพลังทางวัฒนธรรมด้วย
ขอยกตัวอย่าง บทสัมภาษณ์ Tetsuhiro Yamaguchi เจ้าของร้านอาหารชื่อ Kokoromai (Heart of Rice) จากบทความ ‘You are what you eat: Can a country as modern as Japan cling onto a culture as ancient as rice’ ของ The Economist (http://www.economist.com/node/15108648)
บทความนี้พูดถึงประวัติศาสตร์ ‘ข้าว’ ในสังคมญี่ปุ่น และพูดถึงภาวะ ‘ขาลง’ ของชาวนา และข้าวในญี่ปุ่น แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีคนแบบ Tetsuhiro Yamaguchi ที่พยายามอย่างสุดความสามารถในการยื้อ ‘ชีวิต’ ของข้าวญี่ปุ่นเอาไว้
ยามากุจิ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่เชื่อว่า จิตวิญญาณของข้าวคือส่วนหนึ่งแห่งดีเอ็นเอของความเป็นญี่ปุ่น และปรารถนาให้การกินข้าวนั้นละเมียดละไมไม่ต่างจากการชิมไวน์
ยามากุจิทำให้ประสบการณ์การกิน ‘ข้าว’ ในร้านอาหารของเขาเป็นประหนึ่งสุนทรียะแห่งนาฏศิลป์ ด้วยการตกแต่งร้านด้วยโทนแสงค่อนข้างมืด มีข้าวหุงสุกในหม้อดินวางเรียง และรายล้อมด้วยจานซาชิมิที่ทำจากดินเผา เขาค่อยๆ เปิดฝาหม้อข้าวให้ไอร้อนพวยพุ่งออกมา ข้าวสวยในหม้อเรียงเมล็ดอวบสีขาวกระจ่างงามราวกับไข่มุกเนื้อดี
“ข้าวเหมือนแบ็กดรอปบนเวทีโรงละคร เวทีนี้ต้องการดาราและตัวละคร ตรงนั้นแหละที่ซาชิมิจะปรากฏตัว”
ยามากุจิไม่ใช่คนเดียวที่พรมบทกวีลงบนเมล็ดข้าว คนญี่ปุ่นจำนวนมากเปรียบเทียบสีขาวบริสุทธิ์ของเมล็ดข้าวกับจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นแท้ และความขาวบริสุทธิ์นี้ไม่พึงจะถูกแปดเปื้อนด้วยหยดของโชยุแม้แต่หยดเดียว
การกินข้าวกับปลาสะท้อนความสัมพันธ์ของข้าวกับน้ำในท้องทุ่ง คือแนวคิดว่าด้วยความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวแห่งธรรมชาติที่คนญี่ปุ่นเห็นว่าสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด และมีสุภาษิตญี่ปุ่นที่บอกว่า
“รวงข้าวที่หนักเท่าไร ก็ยิ่งค้อมลงต่ำมากเท่านั้น”
ยามากุจิจะไม่มีวันเสิร์ฟข้าวของประเทศอื่นในร้านเขาเลย ทำไม?
“กายร่างแห่งความเป็นญี่ปุ่นถูกสร้างมาด้วยข้าวญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นควรกินแต่ข้าวญี่ปุ่นเท่านั้น”
สีขาวของข้าว – จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของญี่ปุ่น
ข้าว – เลือดเนื้อแห่งความเป็นญี่ปุ่น
น้ำ ปลา ข้าว ท้องนา ธรรมชาติที่สอดประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียว ซึ่งเป็นหลักปรัชญาวิถีชีวิตญี่ปุ่น
รวงข้าวที่ค้อมหนักถ่อมตัว คือนิสัยใจคอของคนญี่ปุ่น
ข้าวต่างชาติ คือสิ่งแปลกปลอม
กลิ่นอายแห่งความเป็น ‘ชาตินิยม’ อย่างหนักหน่วง ผ่านวัฒนธรรมการบริโภคข้าวญี่ปุ่นเช่นนี้มีมาแต่โบราณกาลหรือไม่?
ในเทพปกรณัมแบบญี่ปุ่นเล่าว่า ข้าวนั้นถูกประทานมาจากสรวงสวรรค์ผ่านเทพีแห่งดวงอาทิตย์ ที่มอบให้กับลูกของเธอที่ลงมาปกครองญี่ปุ่น แต่ความจริงคือ ข้าวถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่นผ่านจีนและเกาหลีเมื่อสี่ร้อยปีก่อนคริสตกาล – ทุกวันนี้คนญี่ปุ่นยังไม่ค่อยอยากรับความจริงว่า ข้าวของญี่ปุ่นนั้นรับผ่านมาทางเกาหลี
แต่ข้าวไม่เคยเป็นอาหารหลักของคนญี่ปุ่นจนถึงสมัยเอโดะ เพราะด้วยข้อจำกัดของระบบชลประทานการทำนาข้าวนั้นเป็นไปได้อย่างจำกัด ข้าวคือความหรูหรา ถูกเสิร์ฟในชามสูงค่าสำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น ส่วนคนญี่ปุ่นทั่วๆ ไปกินธัญพืชหลายชนิด ปะปนกันไปตามประสาคนยาก
กล่าวให้ถึงที่สุด คนญี่ปุ่นกินข้าวเป็นอาหารหลักเมื่อล่วงเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 แล้วด้วยซ้ำ
ข้าวไปพัวพันกับลัทธิชาตินิยมได้อย่างไร?
ในช่วงสงคราม ความขาวของข้าวญี่ปุ่นถูกนำไปเชื่อมโยงกับความบริสุทธิ์ของชนชาติญี่ปุ่น และข้าวต่างชาติคือ ความด่างพร้อย นอกจากนี้ข้าวอันขาวสะอาดของญี่ปุ่นยังถูกจัดลงกล่องข้าว พร้อมวางลูกบ๊วยสีแดงไว้ตรงกลางเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ เพื่อส่งไปให้ทหาร โดยเชื่อว่าการกินข้าวญี่ปุ่นจะทำให้ทหารญี่ปุ่นนำชัยชนะกลับมา
ข้าวจึงเป็น ‘หัวใจ’ ของความเป็นญี่ปุ่นในแง่มุมทางวัฒนธรรม เป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นจิตวิญญาณ และเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นชาติ แม้ปัจจุบันการบริโภคข้าวของคนญี่ปุ่นจะเหลือเพียงปีละ 61 กก. ต่อคนต่อปี ในขณะที่ช่วง 1960s บริโภคคนละ 118 กก. ต่อคนต่อปี
Photo: Toshiyuki Aizawa, Reuters/profile
ภาวะ ‘ขาลง’ ของชาวนาญี่ปุ่น
การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ TPP หรือการเจรจาการค้าเสรีหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถดำเนินนโยบายปกป้องสินค้าการเกษตรและการอุดหนุนเกษตรกรได้เช่นเดิม หากต้องเปิดสู่ตลาดเสรีและการแข่งขัน การตั้งกำแพงภาษีแบบเดิมทำไม่ได้ ต่อไปนี้ญี่ปุ่นต้องทำใจว่าจะมีข้าวสายพันธุ์ญี่ปุ่นจากแคลิฟอร์เนีย และออสเตรเลียเข้ามาขายในญี่ปุ่นด้วย
ชินโซะ อาเบะ ประกาศจะยกเลิกการอุดหนุนและปกป้องภาคการเกษตรทั้งหมดภายในปี 2019
ชีวิตของคนญี่ปุ่นหลังการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ TPP นี่อาจเป็นครั้งแรกที่คนญี่ปุ่นต้องกินข้าวที่นำเข้าจากต่างประเทศ
และน่าจะเป็นฝันร้ายของคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นแบบยามากุจิที่จินตนาการไม่ได้เลยว่า ข้าวต่างชาติที่แสนจะแปลกปลอมจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อ ลมหายใจ และจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นได้อย่างไร
การกินข้าว ‘ต่างชาติ’ ไม่ต่างอะไรจากการถูกทำให้กลายพันธุ์ ดีเอ็นเอถูกบิดเบือน และเสี่ยงต่อการสูญสลายหายไปในที่สุด
แง่มุมทางวัฒนธรรมและสำนึก ‘ชาตินิยม’ ต่อเรื่องข้าวนี้เองที่ทำให้การยกเลิกกำแพงภาษี และการยกเลิกนโยบายการอุดหนุนชาวนาอาจจะไม่ราบรื่นอย่างที่รัฐบาลของอาเบะต้องการ
ไม่แต่เพียงเกษตรกรเท่านั้นที่ปฏิเสธ Free Trade แต่ผลโพลส่วนใหญ่ออกมาว่า คนญี่ปุ่นแม้ต้องแบกรับภาระทางภาษีในการอุดหนุนชาวนา แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ
ข้าวจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่พืชเศรษฐกิจ การเมือง แต่ยังเป็นสนามประลองกำลังทางวัฒนธรรม
การปกป้องเกษตรกรญี่ปุ่นและนโยบายอุดหนุนการเกษตรทั้งหมด แม้จะเป็นเรื่องการล็อบบี้กันทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ กับนักการเมือง แต่พลังที่อยู่เหนือ ‘การเมือง’ กลับเป็นพลังทาง ‘วัฒนธรรม’ และจินตนาการเกี่ยวกับข้าว รวมถึงอัตลักษณ์แห่งความเป็นชาติญี่ปุ่น ที่ทำให้ผู้บริโภคในประเทศเต็มใจที่จะจ่ายแพงกว่า
และหลับหูหลับตาสะกดจิตตัวเองว่า ข้าวญี่ปุ่นที่ปลูกในญี่ปุ่นคือข้าวที่ดีที่สุดในโลก
อ้างอิง:
- http://www.japantimes.co.jp/life/2016/01/29/food/the-future-of-rice-farming-in-japan/#.WBhCMy2LTIU
- https://en.wikipedia.org/wiki/Japan_Agricultural_Cooperatives
- http://www.economist.com/node/15108648
- https://asiapacificpolicy.wordpress.com/2015/02/05/the-problem-with-japanese-rice-policy/
แปะ โดย Rito nounen
แสดงความคิดเห็น
* * * * * ริโอะ ลูกชาวนา ตอน 2 * * * * *
ที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับการตากข้าว และ มีบางความเห็นบอกว่า ชาวนาทางภาคอีสานไม่ตากข้าวเนื่องจากไม่มีพื้นที่ตาก ครั้นจะตากตามพื้นดิน ดินก็มีความชื้น จึงไม่ค่อยจะตากข้าวกัน
สมัยก่อนแถวบ้านริโอะ ชาวนาต้องตากข้าวค่ะ ไม่มีชาวนาคนไหนไม่ตากข้าว เนื่องจากหากไม่ตาก ข้าวดิบที่มีความชื้นในตัวสูง หากโดนความชื้นในสภาพแวดล้อมเพิ่มนิดหน่อย ข้าวก็จะงอกรากเก็บไว้ไม่ได้จะเน่าเสียหาย
การทำนาในอดีตต้องใช้ภูมิปัญญาในการแก้ไขปัญหาแทบทุกอย่าง (ดังนั้นถ้าใครดูถูกชาวนาว่าไม่มีความรู้ ไม่รู้จักแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง นั่งรอให้แต่คนอื่นช่วยเหลือนี่ ริโอะจะเกลียดความคิดเห็นแบบนี้มาก) ฟังดูเหมือนริโอะเป็นคนแก่ยุคโบราณเนอะ ก็บอกแล้วริโอะเป็นลูกชาวนา ริโอะจึงคลุกคลีอยู่กับไร่กับนามาตั้งแต่เกิด ไม่จำเป็นว่าต้องคนอายุเยอะเท่านั้นจึงจะรู้ดี
ฤดูกาลเก็บเกี่ยว เป็นเวลาที่เราจะได้เห็นรอยยิ้มของชาวนา เพราะใกล้ถึงเวลาแห่งความสุข ไหนข้าวในนาจะสุกปลั่งออกรวงเหลืองอร่ามไปทั้งท้องทุ่งรอการเก็บเกี่ยว ชาวนาจะประเมินไว้แล้วว่าปีนี้เค้าจะได้ข้าวกี่เกวียน (ตัน) อีกไม่นานก็จะขายข้าวได้เงินได้ทองมาเก็บมาใช้ ไหนอากาศก็กำลังเย็นสบายๆในเวลาทำงานตอนกลางวัน เพราะเป็นช่วงฤดูหนาว ทำให้ทำงานได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตกเย็นมาอากาศหนาวก็นอนห่มผ้าอุ่นทำให้หลับสบาย สุขภาพแข็งแรง เก็บแรงไว้ทำงานในตอนกลางวันอีกต่อไป ไหนจะใกล้ปีใหม่ ซึ่งเป็นเวลาที่จะได้พบปะลูกหลานญาติพี่น้องที่จากบ้านไปไกล ได้หวนคืนถิ่น เพื่อมา “ตุ้มโฮม” กัน .... อ้าว เพ้อไปไกลเลย
การทำนาของชาวนาภาคอีสานในอดีตนั้น ใช้แรงงานคนแรงงานสัตว์ โดยเฉพาะ “ควาย” ดังนั้นชาวนาจึงผูกพันธ์อยู่กับควายมาก เสมือนเป็นผู้มีพระคุณต่อกันเลยทีเดียว นับตั้งแต่เริ่มต้น ไถ คราด จนกระทั่งขนข้าวขึ้นยุ้งฉางก็ยังไม่พ้น “ควาย” แม้กระทั่ง “ขี้ควาย”
ชาวนาใช้ “เคียว” ในการเกี่ยวข้าว เมื่อเกี่ยวข้าวได้กำหนึ่ง ก็นำมากองรวมกันทำเป็นฟ่อน ตากไว้ในแปลงนานั่นเอง โดยเหยียบตอฟางให้ล้มทับไขว้กัน ทำเป็นพื้นฟางรองรวงข้าว เพื่อแยกรวงข้าวออกจากดินและกันความชื้นของผิวดิน กะปริมาณให้ได้หนึ่งมัดความยาวตอก แยกเป็นฟ่อนๆไว้ เรียงกันเป็นแถว
เมื่อเกี่ยวข้าวในแปลงนี้เสร็จ ปล่อยฟ่อนข้าวที่ตากบนตอฟางไว้ 2-3 วัน ในระหว่างที่ไปเกี่ยวแปลงอื่น ชาวนาก็ย้อนกลับมาพลิกฟ่อนข้าวแปลงที่ตากเอาไว้ไปพร้อมกัน เมื่อเกี่ยวข้าวแปลงสุดท้ายเสร็จ ก็กลับมามัดฟ่อนข้าวแปลงที่ตากเอาไว้ตั้งแต่แปลงแรก ไล่ไปเรื่อยๆ แปลงที่ 1 2 3 … จนแปลงสุดท้าย ก็เท่ากับเป็นการตากข้าวไปในระหว่างการเกี่ยวข้าวด้วย
การทำลานฟาดข้าวและตากข้าวนั้น ชาวนาจะเลือกพื้นที่แห้งและโล่ง ตัดต้นไม้เล็กๆ ดายหญ้าออก ทำเป็นลานสี่เหลี่ยม ขนาดของลานฟาดข้าว ขึ้นอยู่กับปริมาณมัดฟ่อนข้าวในนา ใครมีข้าวเยอะก็ทำลานกว้างๆ หรืออาจจะทำลานเล็กๆแต่หลายๆลาน กระจายกันให้อยู่ใกล้แปลงนามากที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องขนฟ่อนข้าวขึ้นลานเป็นระยะทางไกลให้เปลืองแรง ก็แล้วแต่ใครสะดวก แต่ที่สำคัญที่สุดต้องคำนึงถึงปริมาณ “ขี้ควาย” ที่จะใช้ทำลานด้วย
หลังจากดายหญ้าได้ขนาดของลานที่ต้องการแล้ว ชาวนาก็เอา “ขี้ควาย” ที่เพิ่งถ่ายออกมาใหม่ๆ (ไม่เกิน 1 วัน) มากอง เว้นระยะห่างระหว่างกองซักประมาณ 3 – 4 เมตร กระจายให้ทั่วลาน จากนั้นก็ตักน้ำมาเทราดกองขี้ควายแล้วใช้เท้าย่ำให้เละ และ เหนียวให้ได้ที่ แล้วเกลี่ยราดออกไปให้เป็นรัศมีวงกลม ให้เชื่อมติดต่อกันในแต่ละกอง เมื่อเกลี่ยขี้ควายทั่วลานแล้ว ก็ปล่อยตากแดดทิ้งไว้ให้แห้งสนิทซัก 2-3 วัน ชาวนาก็จะได้ลานฟาดข้าวและตากข้าว ที่เหมือนกับลานซีเมนต์เลยทีเดียว แต่เป็นลานซีเมนต์ขี้ควาย ...
เมื่อได้ลานแล้ว ก็ขนฟ่อนข้าวที่อยู่ในแปลงนาขึ้นมากองรวมไว้ที่ลานจนหมด จัดระเบียบกองฟ่อนข้าวให้มีพื้นที่สำหรับฟาดเอาเมล็ดข้าวออกจากรวง และง่ายต่อการหยิบจับ จากนั้นก็หาขอนไม้ขนาดใหญ่มาวางไว้กลางลาน เพื่อใช้เป็นไม้รองสำหรับฟาดฟ่อนข้าวให้เมล็ดหลุดออกจากรวง อุปกรณ์ที่ใช้จับฟ่อนข้าวสำหรับฟาดเรียกว่า “ต่อง”
“ต่อง” เป็นท่อนไม้ขนาดจับเหมาะมือ 2 ท่อน เจาะรูที่ปลายท่อนไว้ สำหรับใช้หนังสัตว์หรือเชือกเหนียวๆ ที่มีความยาวประมาณ 30 เซ็นติเมตร นำมาโยงเข้าด้วยกันสำหรับคล้องฟ่อนข้าวตรงรอยมัดแล้วบิดไขว้ เพื่อจับยึดฟ่อนข้าวให้แน่นก่อนจะยกขึ้นฟาดกับขอนไม้ให้เมล็ดข้าวหลุดออกจากรวง (ทางภาคกลางใช้ควายหรือคน ย่ำไปบนรวงข้าว เรียกว่าการ “นวดข้าว)
การตีข้าวหรือการฟาดข้าวนั้น เป็นกิจกรรมของผู้ใหญ่ ที่พวกเด็กๆบ้านนาตัวมอมแมมอย่างริโอะกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ จะชอบมาก เพราะส่วนมากชาวนามักจะชวนเพื่อนมาลงแขกฟาดข้าวในเวลากลางคืน ยิ่งบางคืนเดือนหงายเต็มดวง แสงสว่างนวลของพระจันทร์จะสว่างมาก ชาวนาไม่ต้องจุดตะเดียงแก็สให้สิ้นเปลือง พวกเราเด็กๆก็จะลงไปวุ่นวาย เล่นซ่อนแอบกันบ้าง เล่นวิ่งไล่จับกันบ้าง เล่นบีนกองข้าวบ้าง มิวายที่จะถูกผู้ใหญ่ดุยังไงก็ไม่ฟัง เพราะคนเยอะเราก็ไม่ต้องมานั่งกลัว “ผี” อีกต่อไป
ชาวนานิยมลงแขกฟาดข้าว เพราะต้องการเร่งเวลาให้เสร็จนาโดยเร็ว เนื่องจากกลัวฝนหลงฤดูที่มักจะมาก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่เล็กน้อย ถ้าข้าวในลานโดนฝนหลงฤดูก็จะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง ส่วนใหญ่การลงแขกฟาดข้าว มักจะลงแขกกันไม่เกิน 2 วัน จากนั้นก็จะต่อด้วยการลงแขกขนข้าวขึ้นยุ้งฉางเลย
คาราวานเกวียนขนข้าวขึ้นยุ้งฉางนับสิบๆหลัง เคลื่อนขบวนออกจากลานข้าว เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ขยุกขยักโยกเยก เรียงรายตามกันออกมา นับเป็นศิลปกรรมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความรักสามัคคีกลมเกลียวกันของเพื่อนพ้องชาวนา ที่หาดูไม่ได้แล้วในปัจจุบัน การยืนเรียงแถวต่อกันถือถังตักข้าวจากเกวียนขึ้นเทในยุ้ง จนเม็ดข้าวสุดท้ายไม่เหลือติดก้นกระโสบเกวียน ก็หาดูไม่ได้อีกเช่นกัน ....
โปรดติดตามอ่าน ริโอะ ลูกชาวนา ตอนที่ 3 ค่ะ
ขอบคุณเจ้าของภาพจากเน็ต