กว่าจะมาเป็น "ข้าว" เรามาดูต้นทุนการ"ทำนา" และ "ชาวนา"ผู้แบกรับความเสี่ยงจากการลงทุน

updated: 31 ต.ค. 2559 เวลา 20:30:34 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

จากปัญหาราคาข้าวตกต่ำลงอย่างรุนแรงในสถานการณ์นี้...มักจะเกิดคำถามที่หลายคนถามแล้วคุยเล่าตามมาว่าทำไมชาวนาไทยถึงยากจนทั้งที่ข้าวเป็นสินค้าส่งออกระดับโลกของประเทศมาเนิ่นนานรวมทั้งคนไทยเองก็บริโภคข้าวเป็นอาหารหลักในประเทศ



แต่ปัญหาที่ทำให้ชาวนาไทยยังยากจนมีหนี้สินยังคงมีมาหลายทศวรรษ

คำตอบไม่ใช่เพียงสถานการณ์ "ราคาข้าว" ในตลาดโลกเท่านั้น แต่เมื่อมองย้อนในประเทศไทยเองเราจะเห็นโครงสร้างปัญหานี้จนยากจะสางปมหาจุดแก้


สถิติประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลก - ข้อมูล ก.ย.2559


ปัญหาตั้งแต่การผลิตการลงทุนทำนา รายได้ การขายผลผลิต การบริโภค หนี้สิน ปัญหาไม่มีที่ดิน การลงทุนทางเครื่องจักร ค่าจ้างแรงงาน ค่าซื้อเมล็ดพันธุ์ (จากที่เคยเก็บเมล็ดพันธุ์ได้เอง) ค่าจ้างรถไถนา แรงงานหว่านข้าว ต้นทุน ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช เป็นต้น ซึ่งทุกอย่างนำมาสู่ "หนี้สิน"

** "ความเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกระแสความเปลี่ยนแปลงของระบบผลิต และระบบการค้าอาหารโลก ที่แผ่ขยายไปทั่วทุกภูมิภาคไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย การขยายตัวของทุนขนาดใหญ่ที่สร้างผลกำไร จากการควบคุมกลไกระบบการผลิต การแปรรูป การกระจายผลผลิต และการตลาด มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อนโยบายภาคการเกษตร ที่ผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นครัวโลก"

ประเด็นสำคัญที่น่าพิจารณา คือชาวนาไทย อยู่ในฟันเฟืองตำแหน่งใดของระบบการผลิตและการค้าอาหารโลกที่เป็นอยู่ หากทุนขนาดใหญ่ ทั้งทุนระดับชาติ และทุนข้ามชาติ คือผู้ที่สร้างผลกำไร เพราะเป็นผู้ควบคุมกลไกระบบการผลิต ทั้งปริมาณ และราคาปัจจัยการผลิต ควบคุมอุตสาหกรรมการแปรรูปข้าว และการส่งออกข้าวสู่ตลาดโฃก

ในขณะที่ชาวนาที่เป็นผู้ผลิตข้าว แบกรับความเสี่ยงจากการลงทุนการผลิต จากภัยธรรมชาติ โรคและแมลงระบาด ระบบนิเวศ และผืนดินที่เสื่อมความอุดมสมบูรณ์ลง แต่ไม่สามารถสร้างผลกำไรจากการผลิตได้ เพราะทำการผลิตภายใต้ระบบการค้าการลงทุน แต่ไม่สามารถควบคุมปริมาณและราคาของปัจจัยการผลิต ดังที่ต้องซื้อทั้งเมล็ดพันธุ์ เช่าที่น่า จ่ายค่าปุ๋ยเคมี่ ค่าสารเคมีการเกษตร ค่าจ้าง เครื่องจักรกล ค่าจ้างแรงงาน และสุดท้ายต้องตกเป็นเบี้ยล่างยอมจำนนให้โรงสีเป็นผู้กำหนดราคาผลผลิตข้าวที่มาจากการลงทุนและความเสี่ยงของตนเอง

ภายใต้ระบบการค้าข้าวที่เป็นอยู่ชาวนาจึงเป็นเพียงฟันเฟืองผู้ใช้แรงงานในภาคการผลิตที่เป็นผู้แบกรับความเสี่ยงจากการลงทุนเพื่อป้อนวัตถุดิบข้าวให้กับอุตสาหกรรมโรงสีและอุตสาหกรรมการค้าข้าวระดับโลกเท่านั้นดังที่มีคำกล่าวที่ว่า ชาวนาจะยังไม่ตาย และจะไม่หายไปจากสังคมไทย เพราะชาวนายังจำเป็นสำหรับการผลิตอาหารและการค้าข้าวระดับโลก ในฐานะผู้ใช้แรงงาน และผู้แบกรับความเสี่ยงจากการลงทุน (**ที่มา หนังสือชาวนาชีวิตปริ่มน้ำ โดย กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน)

เมื่อมาดูต้นทุนการทำนา ในจำนวนค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนด้านนี้ "ค่าเช่าที่ดิน" เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุด และข้าวนับวันมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นในแต่ละปี

จากการประมวลพบว่า ต้นทุนทำนาต่อไร่ เฉลี่ยมีตั้งแต่อยู่ที่ 6,000-8,000 บาท ต่อไร่
(หากไม่มีต้นทุนค่าเช่าที่นาก็จะลดลงไปได้อีก)

เรามาดูต้นทุนการทำนาต่อรอบการผลิตว่า จะทำนาแต่ละทีมีปัจจัยการผลิตอะไรบ้างอย่างน้อยๆก็ 13 ปัจจัยนี้

1.ค่าเช่าที่ดิน
2.ค่าไถดะ (ครั้งที่1)
3.ค่าไถพรวน (ครั้งที่2)
4.ค่าเมล็ดพันธุ์
5.ค่าหว่านเมล็ด/ค่าจ้างปลูก
6.ค่าปุ๋ย
7.ค่าสารกำจัดศัตรูพืช
8.ค่าจ้างใส่ปุ๋ย
9.ค่าจ้างฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืช
10.ค่าจ้างตัดข้าวดีด(ข้าวที่จัดอยู่ในหมวดวัชพืช)
11.ค่าเก็บเกี่ยว(รวมค่าขนส่งข้าวไปขาย)
12.ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง
13.ค่าขนผลผลิตไปขาย



รายงานและเรียบเรียงโดยประชาชาติฯออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1477902058
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
1.ค่าเช่าที่ดิน  - ชาวนาไม่มีที่ดิน
2.ค่าไถดะ (ครั้งที่1) - ชาวนาไถเองไม่ได้
3.ค่าไถพรวน (ครั้งที่2) - ชาวนาไถเองไม่ได้
4.ค่าเมล็ดพันธุ์ - ชาวนาปลูกเมล็ดพันธ์เองไม่ได้
5.ค่าหว่านเมล็ด/ค่าจ้างปลูก - ชาวนาหว่านเองไม่ได้ ปลูกเองไม่ได้
6.ค่าปุ๋ย - ชาวนาหมักปุ๋ยเองไม่ได้
7.ค่าสารกำจัดศัตรูพืช - ชาวนาผลิตสารปราบศัตรูพืชเองไม่ได้
8.ค่าจ้างใส่ปุ๋ย - ชาวนาใส่ปุ๋ยเองไม่ได้
9.ค่าจ้างฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืช - ชาวนาพ่นสารกำจัดศัตรูพืชเองไม่ได้
10.ค่าจ้างตัดข้าวดีด(ข้าวที่จัดอยู่ในหมวดวัชพืช) - ชาวนาตัดข้าวดีดเองไม่ได้
11.ค่าเก็บเกี่ยว(รวมค่าขนส่งข้าวไปขาย) - ชาวนาเก็บเกี่ยวเองไม่ได้
12.ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง - ชาวนาผลิตเชื้อเพลิงเองไม่ได้
13.ค่าขนผลผลิตไปขาย - ชาวนาขนผลผลิตไปขายเองไม่ได้

คำถาม ชาวนาทำอะไรเองได้บ้าง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่