"ใช้เงินเป็นแล้วจะรวย" มังกรแห่งฮ่องกง "ลีกาชิง" สอนเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ


-ลี กาชิง ( Lǐ Jiāchéng; อังกฤษ: Li Ka-shing) เป็นชาวจีน เมื่อเกิดสงครามในประเทศจีน ทำให้วัยเด็กของลีกาชิงต้องเร่ร่อน เป็นผู้อพยพจากประเทศจากจีน....มาสู่เกาะฮ่องกง

- เมื่ออายุ 15 ปี หัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตลงอีก ลีกาชิงต้องเลิกเรียนกลางคัน มาทำมาค้าขายหาเลี้ยงครอบครัว ด้วยความขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้
ลีกาชิง ออกขายนาฬิกา และ ดอกไม้ประดิษฐ์ เมื่อเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แต่ไม่นานนักด้วยความขยันและอดทน ทำให้ลีกาชิงได้เลื่อนเป็นผู้จัดการ

- เมื่ออายุประมาณ 25 ปี ลีกาชิงมองเห็นช่องทางในอนาคตต่อไป ทำให้ลีกาชิงลาออกจากบริษัทขายนาฬิกา สร้างกิจการของลีกาชิงเอง โดยตั้งบริษัทผลิตสินค้าพลาสติก สินค้าชนิดแรกของ ลีกาชิง ที่ออกสู่ตลาด คือ หวี และกล่องใส่สบู่จากการที่ บริษัทของลีกาชิงไม่มีทุนมากนัก เลยต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง ตั้งแต่ทำบัญชี ไปจนถึงการซ่อมเครื่องจักร ความจำเป็นทำให้ต้องประหยัดทุกอย่าง เพื่อดิ้นรนให้บริษัทอยู่รอด

- และสิ่งที่น่าศึกษาสำหรับความล้ำลึกในแวดวงการค้า ทำให้ลีกาชิง ก้าวต่อไปไม่หยุดยั้ง นั่นคือลีกาชิง ได้ติดตามข่าวสารและกระแสตลาดในประเทศและทั่วโลกอยู่เสมอ ทำให้ทราบว่าประเทศตะวันตกกำลังต้องการดอกไม้ประดิษฐ์มาก ๆ กำลังเติบโตและเหมาะแก่การลงทุน

- ลีกาชิง จึงรีบเดินทางไปยุโรป เพื่อศึกษาวิธีการผสมสีให้สินค้าดอกไม้ประดิษฐ์มีความสมจริงยิ่งขึ้น

- เมื่อกลับจากยุโรป ลีกาชิง ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัทใหม่ทั้งหมด และลงทุนจ้างช่างผู้เชี่ยวชาญเท่าที่จะหาได้ในขณะนั้น จากบริษัทพลาสติกธรรมดา กลายเป็นบริษัทผู้ส่งออกดอกไม้พลาสติกรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย

- ลีกาชิงเริ่มขยายความสนใจไปที่อสังหาริมทรัพย์ ลีกาชิงเริ่มกว้านซื้อที่ดินที่คาดว่าจะสามารถเก็งกำไรได้ในอนาคต ซึ่งในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมที่ผู้คนแห่ขายทรัพย์สินที่มีเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

ลีกาชิง กลับสวนกระแสที่ผู้คนตื่นตระหนกทั้งหลาย เพราะลีกาชิงเชื่อว่าเมื่อวิกฤตผ่านไปที่ดินต่าง ๆ ก็จะกลับมาบูมในตลาดเหมือนเดิม

- ลีกาชิงเริ่มตั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจัง ชื่อ “เจิงกง” ที่ต่อมาได้พัฒนา
เป็นเครือบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลาย ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

- จากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ สู่ภาคธุรกิจเต็มรูปแบบ
ธุรกิจก้าวกระโดดของ ลีกาชิง ได้ขยายไปยัง

ธุรกิจท่าเรือ
สื่อสารโทรคมนาคม
พลังงาน
อสังหาริมทรัพย์
ค้าปลีก ในกว่า 50 ประเทศ
เข้าเทกโอเวอร์กลุ่มบริษัทชื่อดังฮัทชิสันวัมเปา

- จุดนี้เองที่ทำให้ ลีกาชิง ขึ้นแท่นเป็นเจ้าของธุรกิจบริการตู้สินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสำนักงานอยู่ใน 90 ประเทศทั่วโลก มีพนักงานร่วมปฏิบัติงานถึง 2 แสนกว่าคน



กว่าชีวิตของเขาจะมาถึงจุดนี้ บอกได้เลยว่าไม่ง่าย แล้วเขามีวิธีหาเงิน และใช้มันอย่างไร มีเคล็ดลับของมหาเศรษฐีชื่อดังก้องโลกคนนี้ มาบอกกันค่ะ

เค้าแนะนำว่าไม่ว่าเราจะมีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ ขอให้แบ่งมันไว้ใช้ 5 ส่วน(ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน)คือ

1.  เงินทุนสำหรับการใช้ชีวิตค่าใช้จ่ายส่วนตัว
2.  เงินทุนสำหรับเอาไว้สร้างเพื่อน หรือ ความสัมพันธ์กับผู้อื่น
3.  เงินทุนสำหรับความรู้
4.  เงินทุนสำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศในวันหยุด
5.  เงินทุนสำหรับนำไปลงทุน

จากการแบ่งเงินทุนเป็น 5 ส่วนนั้นหลายๆคนอาจจะมองว่าต้องใช้เงินเยอะมากในการแบ่งออกเป็น 5 ส่วนนี้ให้ได้ อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่า “เงินเก็บทุกเดือนยังจะไม่มี” “จะใช้ทุกเดือนยังไม่พอ” “ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง” “เป็นไปไม่ได้เงินเดือนน้อยๆ อย่างเราจะไปต่างประเทศได้” และอื่นๆ ที่เป็นเหตุผลทางด้านการเงิน

แต่นี้คือคำแนะนำจากคนที่ไม่มีเงิน และกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินอย่างมาก “ทำไมเราถึงให้เหตุผลข้างต้น(ข้ออ้าง) มาบอกว่าเราจะทำไม่ได้”

ถ้าเรื่องนี้น่าสนใจลองมาศึกษาต่อดูในรายละเอียดที่ ลีกาชิง อธิบายไว้

แบบละเอียด

เค้าเริ่มต้นด้วยการบอกว่า สมมุติว่าคุณมีเงินเดือน RMB 2,000 (หรือประมาณ 1 หมื่นบาท) เค้าจะช่วยคุณแบ่งเงินนี้เป็น 5 ส่วน

1.  RMB $600 (3,000 บาท)
2.  RMB $400 (2,000 บาท)
3.  RMB $300 (1,500 บาท)
4.  RMB $200 (1,000 บาท)
5.  RMB $500 (2,500 บาท)
โดยแต่ละส่วนจะถูกแบ่งไปใช้ต่างกัน จากจำนวณเงินข้างต้น ตีเป็นเงินไทย 1 หมื่นบาทนั่น ถือว่าน้อยพอสมควรสำหรับเงินเดือนของคนยุคนี้ หรือถ้าเป็นในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพ 1 หมื่นอาจจะถึอว่าน้อยมากเลยก็ได้

ต่อมาเรามาดูกันว่าทำไมเค้าถึงแบ่งเงินเป็น 5 ส่วนนี้แล้วเค้าคิดยังไงถึงคิดว่าเงิน 5 ส่วนนี้มันพอดีและจำเป็นต้องมีทั้ง 5 ส่วน และเน้นย้ำว่าไม่ว่าจะมีเงินเดือนเท่าไหร่ก็ขอให้แบ่งเป็น 5 ส่วนเสมอ

1. เงินทุนสำหรับการใช้ชีวิตค่าใช้จ่ายส่วนตัว RMB $600 หรือ 3,000 บาท


เค้าบอกว่ามันง่ายมากๆเลยที่เราจะใช้จ่ายวันละ $20 หรือ 100 บาท สำหรับค่าอาหาร

เช้า : กินบะหมี่(มาม่านี้เอง) กับไข่ แล้วนม 1 แก้ว (มาม่า 10 บาท + ไข่ 5 บาท + นมขวดใหญ่ 20 บาท กินได้ 2 มื้อ = 35 บาท)
เที่ยง : อาหารว่างง่ายๆ กับ ผลไม้ (ขนมปัง 15 บาท + ผลไม้ 20 บาท)
เย็น : ทำกินเองพวก สลัด (สลัด 30 บาท อันนี้ไม่ต้องทำกินเอง ชื้อกินก็ได้)
ก่อนนอน : นม 1 แก้ว (ไม่ต้องชื้อ ขวดเมื่อเช้ายังกินไม่หมด)
ถึงจะดูน้อยไปหน่อยแต่ก็ครบ 5 หมู่ ราคาอาจจะถูกได้มากกว่านี้แต่อันนี้คำนวณแบบคราวๆ ( นี้มันอาหารลดน้ำหนักหรือยังไงเนี่ย) แต่ถ้าใครมีเงินเดือนเกิน 1 หมื่นถ้าแบ่งสัดส่วนตามนี้ก็อาจจะได้กินแพงกว่านี้ ดีกว่านี้อีกหน่อย

เค้าเสริมต่อว่าการกินแบบนี้ 2-3 ปีถ้าเรายังวัยรุ่นอยู่ก็ยังคงไม่มีปัญหาสุขภาพมาก ( เป็นการมองโลกในแง่ดีแต่ก็พอได้ )

แต่สำหรับท่านที่บอกว่า เห้ย 3000 บาทต่อเดือนจะพอได้ไงทั้งค่ากินค่าที่พัก ที่พัก 1000-1500 บาทต่อเดือนใน กรุงเทพนั้นยังมีอยู่เยอะ ก็จะเหลือเป็นค่ากินได้ วันละ 50 บาท ซึ่งถ้าวางแผนดีๆก็พออยู่ได้ หรือถ้าใครไม่เชื่ออีก ก็ขอให้ไปอ่านนี้ ผมมีอะไรเล่าให้ฟัง ….กับเงิน 800 บาทกินทั้งเดือน…… สำหรับคนที่ท้อแท้หาทางออกกับชีวิตไม่ได้

แน่นอนว่าต้องมีเสียงตามมาว่าทำไมต้องลำบากอะไรขนาดนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากประสบความสำเร็จ เราอยากจะก้าวกระโดดออกไปจากจุดที่ยื่นอยู่หรือเปล่า ถ้าอยาก ก็ลองทำตามคำแนะนำนี้ดูก็ได้

สำหรับเงินทุนส่วนแรกนั่นเชื่อว่าเป็นส่วนที่ยากที่สุดและถ้าคิดว่าทำข้อแรกได้ เชิญอ่านข้อต่อไป

2. เงินทุนสำหรับเอาไว้สร้างเพื่อน หรือ ความสัมพันธ์กับผู้อื่น RMB $400 หรือ 2000 บาท

ค่าใช้จ่ายนี้อาจจะรวมไปถึงค่าโทรศัพท์ประมาณ $100 หรือ 500 บาท และที่เหลือเราสามารถเลี้ยงข้าวเที่ยงเพื่อนเราได้ 2 มื้อ ต่อเดือน ในราคา $150 หรือ 750 บาท (ราคานี้ข้าวเย็นเลยก็ยังได้ แต่ถ้าเลี้ยงข้าวเที่ยงก็คงหรูพอสมควร)

………….คำถามต่อมาคือ……….แล้วใครละที่เราควรจะเลี้ยง…….???

เค้าบอกว่าจะต้องเป็นคนที่ มีความรู้มากกว่าเรา รวยกว่าเรา หรือ คนที่ช่วยงานเราในสายอาชีพ และเราต้องไม่ลืมที่จะทำแบบนี้ทุกๆเดือน

และหลังจากผ่านไป 1 ปี จะการันตีได้เลยว่าความสัมพันธ์ของคุณจะดีมากขึ้นและมีค่าสำหรับคุณ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง แรงจูงใจ หรือ คุณค่าของคุณจะได้การยอมรับอย่างชัดเจน นอกจากนี้คุณจะต้องเพิ่มภาพลักษณ์ของคุณด้วยการเป็นคนดีและใจกว้าง

ข้อนี้อาจจะดูทำยากซักนิดในการที่เราจะพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเอง ข้อนี้เงินจึงไม่ใช่ปัญหาหลัก ด้วยจำนวณ 2000 บาทต่อเดือน อาจจะแบ่งได้เป็น 4 มื้อเลยก็ว่าได้ มื้อละ 500 บาท


3. เงินทุนสำหรับความรู้ RMB $300 หรือ 1500 บาท

แต่ละเดือนเราต้องใช้เงินประมาณ 500 บาท เพื่อชื้อหนังสือดีๆซักเล่ม เพราะเราไม่มีเงินเยอะมาก ฉะนั้นเราจึงต้องตั้งใจอ่าน เรียนรู้กับมันให้ได้มากที่สุด ทั้งบทเรียนและยุทธศาสตร์ต่างๆที่ได้สอนในหนังสือ ( ในที่นี้น่าจะหมายถึง หนังสือเกี่ยวกับการขาย หรือการตลาด เรามาประยุกต์ใช้ได้ โดยอ่านหนังสือที่พัฒนาความรู้เกี่ยวกับ สายอาชีพของเรา )

หลังจากอ่านเรียบร้อยแล้วให้พยายามทำให้เป็นในรูปแบบของเราเอง

แล้วนำความรู้ที่อ่านมาไปแบ่งปันให้ผู้อื่น และยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ และเพื่มความสัมพันธ์ กับผู้อื่นอีกด้วย และนี้ก็ทำให้คุณประหยัดค่าเรียน หรือ คอร์สฝึกอบรมต่างๆในแต่ละเดือน ไปได้อีกด้วย

และอีก 1000 บาทเราก็สามารถไปงานอบรมหรืองานสัมมนา ที่เราสนใจและเพิ่มความรู้ให้เราได้

และถ้าเรามีเงินเดือนมากขึ้น ก็ต้องหาคอร์ส หรือที่เรียนที่ให้ความรู้ในระดับที่ยากขึ้น

เพราะมันไม่ใช่แค่ว่าคุณได้ความรู้ที่ดีขึ้นเท่านั่น แต่มันก็ทำให้คุณได้เจอกับเพื่อนใหม่ๆอีกด้วย (ตัวอย่างเช่นการเรียนต่อ ป. โท การหาคอร์สอบรมทางธุรกิจ และอื่นๆ)

จากคำแนะนำในส่วนที่สามนี้ จะสังเกตได้ว่า เรามีเงินเดือนแค่ 1 หมื่นบาทต่อเดือน เราก็ยังหาความรู้ได้ และลีกาชิงก็ยังให้ความสำคัญการการหาความรู้มากๆ ที่จะต้องแบ่งเงินส่วนนี้ออกมา

ในส่วนนี้เราสามารถเริ่มง่ายๆด้วยการออกไปเดินตามร้านหนังสือ หาหนังสือที่อยู่ในสายงานเราหรือ เรื่องที่เราสนใจมาอ่านเพื่อเพิ่มความรู้ได้

4. เงินทุนสำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศในวันหยุด RMB $200 หรือ 1000 บาท

เป็นการให้รางวัลกับตัวเองที่จะได้ไปเที่ยวต่างระเทศปีละครั้ง เพื่อสร้างประสบการณ์ต่างๆให้กับตัวเองเพียงไม่กี่ปีคุณก็จะได้เดินทางไปหลายๆประเทศ พร้อมกลับประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป และก็เป็นการไปแวะพักเพิ่มพลังให้กับตัวเอง เพื่อที่จะได้มีกำลังและความมุ่งมั่นในการทำงานต่อไป

อ่านมาถึงตรงนี้คงจะบอก เห้ย! 12,000 บาท (1,000 บาท x 12 เดือน) จะไปเที่ยวประเทศไหนได้ แนะนำให้ลองเข้าไปหาใน ppantip.com ครับเยอะแยะมากมาย ยกตัวอย่างเช่น รีวิว เที่ยว มาเลเซีย แบบประหยัด กับโปร AirAsiaGo 2,500 บาท งานนี้หมดไป 6 พันบาท เชื่อว่าในแถบเอเชียนี้สำหรับเงิน 12,000 บาท ถ้าวางแผนดีๆก็สามารถเที่ยวได้หลายที่ สมมุติว่าเราเที่ยว 5 ปี 5 ประเทศถึงตอนนั่นก็คงมีเงินมากว่านี้ก็เพิ่มเงินเก็บ เปลี่ยนไปเที่ยว ยุโรปแทนได้

5. เงินทุนสำหรับไปนำลงทุน RMB $500 หรือ 2500 บาท

เงินส่วนนี้เป็นเงินเก็บทุกเดือน เป็นเหมือนเงินทุนและเงินที่ใช้ในการเริ่มต้นกับธุรกิจเล็กๆ ธุรกิจเล็กๆเป็นธุรกิจที่ปลอดภัย ไปที่ร้านขายส่งแล้วหาสินค้ามาขาย ถึงแม้ว่าเราจะขาดทุนแต่ก็จะไม่มากนัก และเมื่อคุณเริ่มขายได้ ก็จะเริ่มมีกล้าและความมั่นใจในการขาย และก็จะได้ประสบการณ์ใหม่ๆในการจัดการกับธุรกิจขนาดเล็ก และเมื่อคุณขายมันได้มากขึ้น ก็จะต้องเริ่มการลงทุนในระยะยาว เพื่อความมั่นคงทางด้านการเงินในระยะยาว เพื่อที่ว่าไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะมีเงินเพียงพอและมีคุณภาพชีวิตที่จะไม่ลดลง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่