ในระยะเวลา 70 ปี นับจากวันที่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อ พ.ศ.2489 พระองค์ท่านทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรชาวไทย อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ทรงนำประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตการณ์ปัญหาต่างๆ ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถ พระองค์เสด็จยังพื้นที่ป่า ทุรกันดาร เสด็จในที่ที่ยากลำบาก ทรงออกเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ห่างไกล เพียงเพื่อให้ประชาชนของท่านนั้นกินดีอยู่ดี แต่การที่พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายทรงงานหนัก จึงก่อให้เกิด ปัญหากับสุขภาพพระองค์ท่านขึ้นโดยไม่คาดคิด
“ในหลวงทรงมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัยเต้นผิดปกติ หากจำกันได้ ในหลวงเคยต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2538 ครั้งนั้นพสกนิกรทั้งแผ่นดินแทบไม่เป็นอันทำอะไร ใครๆก็รู้ว่าโรคหัวใจไม่ใช่โรคล้อกันเล่นๆได้ ทั้งสมัยนั้นการผ่าตัดหัวใจก็เสี่ยงพอดู แต่ทุกอย่างก็เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่ทราบกันหรือไม่ว่าสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกตินี้ มาจากอะไร ?”
เนื่องจากสะเมิงอยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่และพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศก่อนและหลังที่ในหลวงเสด็จเพื่อพระราชทานปริญญาแก่บัณฑิตของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในทุกปลายปีช่วงฤดูหนาว นั้น พระองค์ท่านก็จะเสด็จเยี่ยมพสกนิกรในพื้นที่ชนบทป่าเขาทุกปี สะเมิงก็เป็นพื้นที่เป้าหมายที่พระองค์ทรงเสด็จอยู่บ่อยครั้ง
ราวปี 2530 ในหลวงเสด็จฯ ไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ทรงพบว่าชาวบ้านจำนวนมากเป็นโรคคอพอก ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกราบทูลว่า มีการเอาเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประจำ แต่ชาวบ้านไม่ยอมใช้ เพราะไม่รู้จักก็กลัวจะเป็นอันตราย
ในหลวงจึงมีรับสั่ง ให้นำเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประชาชนด้วยพระหัตถ์
ชาวบ้านได้รับเกลือพระราชทาน จึงยอมเชื่อว่า เกลือชนิดนี้กินได้ จนแพร่หลายต่อๆ มา ปัจจุบันไม่มีคนป่วยโรคคอพอกที่สะเมิงแล้ว นอกจากนี้ยัง เสด็จฯ ขึ้น-ลงสะเมิงอีกหลายครั้ง เพื่อติดตามแก้ปัญหาเรื่องน้ำและถนน จนชาวบ้านทำกินกันได้เป็นปกติสุข มีรายได้เลี้ยงชีพได้พอเพียง
หากกลับเป็นพระองค์เอง ที่ทรงมีอาการพระประชวร!! ในหลวงทรงได้รับเชื้อ “ไมโครพลาสม่า” จากการเสด็จฯ ไปที่สะเมิงนี้เอง อันเป็นสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน แม้คณะแพทย์จะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนกระทั่งต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่เมื่อปี 2538 ดังเล่ามาแล้ว
ในหลวงเคยมีพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า…”ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่า ซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต”
อ่านเรื่องราวเหล่านี้ของพระองค์ท่านแล้ว นึกสะท้อนอยู่ในใจว่า ชาตินี้จะมีใครทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน พระองค์หวังเพียงว่า ประชาชนต้องมีกินมีใช้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อ่านเรื่องราวเหล่านี้แล้วอย่าลืมแชร์ต่อ ให้คนที่ยังไม่รู้ได้รู้ด้วยนะครับ ว่าพระองค์รักประชาชนเพียงใด
ด้วยรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงรักประชาชนและราษฏรดุจลูกของพระองค์ น้อมรับความเมตตาที่ประองค์มีต่อประชาชนอย่างซาบซึ้งใจยิ่ง
เรื่องจริงที่ปชช.ยังไม่รู้!! “ในหลวง ร.๙” ทรงรักพวกเรา มากกว่าชีวิตพระองค์เอง อ่านแล้วน้ำตาไหลไม่หยุด
เนื่องจากสะเมิงอยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่และพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศก่อนและหลังที่ในหลวงเสด็จเพื่อพระราชทานปริญญาแก่บัณฑิตของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในทุกปลายปีช่วงฤดูหนาว นั้น พระองค์ท่านก็จะเสด็จเยี่ยมพสกนิกรในพื้นที่ชนบทป่าเขาทุกปี สะเมิงก็เป็นพื้นที่เป้าหมายที่พระองค์ทรงเสด็จอยู่บ่อยครั้ง
ในหลวงจึงมีรับสั่ง ให้นำเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประชาชนด้วยพระหัตถ์
ชาวบ้านได้รับเกลือพระราชทาน จึงยอมเชื่อว่า เกลือชนิดนี้กินได้ จนแพร่หลายต่อๆ มา ปัจจุบันไม่มีคนป่วยโรคคอพอกที่สะเมิงแล้ว นอกจากนี้ยัง เสด็จฯ ขึ้น-ลงสะเมิงอีกหลายครั้ง เพื่อติดตามแก้ปัญหาเรื่องน้ำและถนน จนชาวบ้านทำกินกันได้เป็นปกติสุข มีรายได้เลี้ยงชีพได้พอเพียง
หากกลับเป็นพระองค์เอง ที่ทรงมีอาการพระประชวร!! ในหลวงทรงได้รับเชื้อ “ไมโครพลาสม่า” จากการเสด็จฯ ไปที่สะเมิงนี้เอง อันเป็นสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน แม้คณะแพทย์จะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนกระทั่งต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่เมื่อปี 2538 ดังเล่ามาแล้ว
อ่านเรื่องราวเหล่านี้ของพระองค์ท่านแล้ว นึกสะท้อนอยู่ในใจว่า ชาตินี้จะมีใครทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน พระองค์หวังเพียงว่า ประชาชนต้องมีกินมีใช้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อ่านเรื่องราวเหล่านี้แล้วอย่าลืมแชร์ต่อ ให้คนที่ยังไม่รู้ได้รู้ด้วยนะครับ ว่าพระองค์รักประชาชนเพียงใด