ปกติเวลาเราจะลงทุน เราก็จะซื้อหุ้น หรือซื้อทอง
เวลาเราซื้อทองเรากดซื้อในเน็ต โดยทองก็ยังเก็บไว้กับร้านได้ เราก็จะซื้อตอนที่ทองราคาถูก ๆ แล้วขายทองออกไปตอนที่ราคาแพง ๆ
แนวคิดเรื่องการค้าขายทองนี้ ก็น่าลองเอามาใช้กับข้าวเปลือกบ้าง โดยให้รัฐบาลเปิดให้โรงสีที่สนอกสนใจ มาลงทะเบียนเป็นธนาคารข้าวเปลือกแห่งประเทศไทย ให้มีธนาคารข้าวเปลือกได้ไม่เกินอำเภอละ 1 ธนาคาร หรือถ้าในกรุงเทพฯ ก็ให้มีได้เขตละ 1 ธนาคาร พื้นที่ใดไม่มีโรงสีที่สนใจ ก็ให้เอกชนรายอื่นมาเป็นได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงสี แต่ต้องมีระบบขนส่งข้าวเปลือก และระบบการเก็บรักษา การเคลื่อนย้ายอย่างดี ให้รัฐบาลทำเรื่องนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้มีผลกระทบในระยะสั้นมากนัก ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนต่าง ๆ ได้มีโอกาสปรับตัว โดยเป้าหมายสูงสุดของธนาคารข้าวเปลือกคือ ให้มีการเชื่อมโยงทุกธนาคารเข้าหากันเป็นเครือข่าย (เหมือน ๆ กับธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ฯลฯ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ) ซึ่งตอนแรกอาจจะเชื่อมโยงกันอย่างหลวม ๆ แต่ต้องพัฒนาให้เข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม โรงสีที่มีความจำนงจะเป็นธนาคารข้าวเปลือก ไม่จำเป็นต้องละทิ้งความเป็นโรงสีของตน ยังสามารถดำเนินการธุรกิจโรงสีของตนเองต่อไปได้ แต่ถ้ามีโรงสีอื่นในเขตอำเภอเดียวกันมีความจำนงจะเป็นธนาคารข้าวเปลือกอย่างเต็มตัว ก็ควรได้รับสิทธิ์เป็นธนาคารก่อน
ทีนี้ ถ้าเขตใดหรืออำเภอใดมีธนาคารข้าวเปลือกแล้ว ประชาชนที่อาศัยอยู่เขตนั้นสามารถซื้อหุ้นข้าวเปลือกได้ เหมือนกับที่เราซื้อหุ้นทั่ว ๆ ไป เหมือนกับที่เราซื้อทองคำ นั่นคือ ราคาที่เราซื้อจะเป็นไปตามราคากลางที่ประกาศออกมา เช่น ถ้าช่วงนี้ราคาข้าวตันละ 6,000 บาท ประชาชนที่มาซื้อหุ้นข้าวเปลือกก็จะต้องซื้อในราคานี้ บวกกับค่าเก็บรักษาด้วย การซื้อหุ้นข้าวเปลือกนี้ ก็ซื้อผ่านอินเทอร์เน็ตได้ พอซื้อแล้วเราก็ได้หุ้นมา เช่นเราได้หุ้นมา 3 ตัน (ซื้อมา 18,000 บาท) เราก็เก็บไว้ เราไม่ต้องไปแบกเอาข้าวเปลือกที่ธนาคารข้าวก็ได้ (เหมือนซื้อทองคำ) ทีนี้ พอผ่านไป 5 เดือน ราคาข้าวขึ้นเป็นตันละ 10,000 บาท เราก็ขายหุ้นข้าวเปลือกไป (ก็คือทั้งซื้อทั้งขายนี้ เราไม่ได้ไปแบกไปขนข้าวเปลือกจริง ๆ ข้าวเปลือกทั้งหลายยังอยู่ในระบบธนาคารข้าวเปลือกนั้นแล)
ด้วยระบบดังกล่าว (ระบบธนาคารข้าวเปลือก และหุ้นข้าวเปลือก) จะทำให้มีเงินไหลเข้าไปในระบบการซื้อขายข้าว จะมีผู้ซื้อเพิ่มขึ้นจากระบบเดิมที่มีแต่โรงสีเป็นผู้รับซื้อข้าวเปลือก ก็จะมีคนทั่ว ๆ ไป อาจจะเป็นพนักงานออฟฟิศ พนักงานบัญชี คุณครู ตำรวจ ฯลฯ เป็นผู้ซื้อข้าวเปลือกด้วย ก็จะทำให้ตลาดข้าวเปลือกมีผู้ซื้อมากขึ้น (แต่ก่อนคนซื้อข้าวเปลือกมีแต่โรงสี ส่วนคนอื่น ๆ จะซื้อข้าวสาร) เมื่อใดที่ข้าวเปลือกราคาต่ำ ก็จะมีคนเข้าไปซื้อหุ้นข้าวเปลือกมากมายเพื่อเก็งกำไร ทำให้ความต้องการในการซื้อเพิ่มขึ้น ราคาข้าวก็จะสูงขึ้น รัฐบาลก็ไม่ต้องเอาเงินภาษีไปซื้อข้าวเพื่อช่วยชาวนาแล้ว เพราะคนที่มีฐานะพอสมควรถึงฐานะดีในประเทศนี้ ได้ออกเงินกันคนละเล็กคนละน้อย (บางคนซื้อหุ้น 2 ตัน บางคนซื้อ 5 ตัน บางคนซื้อ 50 ตัน เป็นต้น) เพื่อช่วยพยุงราคาข้าวไว้แล้ว
เป้าหมายของระบบนี้ ไม่ได้ต้องการจะให้ชาวนาร่ำรวยจากการทำนา แต่ก็ป้องกันไม่ให้ราคาข้าวต่ำเกินไปจนน่าเกลียดแบบตอนนี้ เรามุ่งหมายที่จะให้ชาวนาดำรงชีวิตอยู่ได้ พอมีพอกิน ส่งลูกหลานเรียนจบปริญญาสูง ๆ ได้ จะได้ไม่ต้องมาลำบากเป็นชาวนาเหมือนพ่อแม่ปู่ย่าตายาย
ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้จริง ถ้าตอนนี้มีหุ้นข้าวเปลือก ถ้าเป็นคุณ คุณจะซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่
1. ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้จริง ถ้าตอนนี้มีหุ้นข้าวเปลือก ถ้าเป็นคุณ คุณจะซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่
คุณลืมตอบคำถามที่ * จำเป็นต้องตอบ
ถ้าผมเป็นรัฐบาลตอนนี้ ผมจะทำให้เกิด "หุ้นข้าวเปลือก" และ "ธนาคารข้าวเปลือกแห่งประเทศไทย"
เวลาเราซื้อทองเรากดซื้อในเน็ต โดยทองก็ยังเก็บไว้กับร้านได้ เราก็จะซื้อตอนที่ทองราคาถูก ๆ แล้วขายทองออกไปตอนที่ราคาแพง ๆ
แนวคิดเรื่องการค้าขายทองนี้ ก็น่าลองเอามาใช้กับข้าวเปลือกบ้าง โดยให้รัฐบาลเปิดให้โรงสีที่สนอกสนใจ มาลงทะเบียนเป็นธนาคารข้าวเปลือกแห่งประเทศไทย ให้มีธนาคารข้าวเปลือกได้ไม่เกินอำเภอละ 1 ธนาคาร หรือถ้าในกรุงเทพฯ ก็ให้มีได้เขตละ 1 ธนาคาร พื้นที่ใดไม่มีโรงสีที่สนใจ ก็ให้เอกชนรายอื่นมาเป็นได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงสี แต่ต้องมีระบบขนส่งข้าวเปลือก และระบบการเก็บรักษา การเคลื่อนย้ายอย่างดี ให้รัฐบาลทำเรื่องนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้มีผลกระทบในระยะสั้นมากนัก ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนต่าง ๆ ได้มีโอกาสปรับตัว โดยเป้าหมายสูงสุดของธนาคารข้าวเปลือกคือ ให้มีการเชื่อมโยงทุกธนาคารเข้าหากันเป็นเครือข่าย (เหมือน ๆ กับธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ฯลฯ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ) ซึ่งตอนแรกอาจจะเชื่อมโยงกันอย่างหลวม ๆ แต่ต้องพัฒนาให้เข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม โรงสีที่มีความจำนงจะเป็นธนาคารข้าวเปลือก ไม่จำเป็นต้องละทิ้งความเป็นโรงสีของตน ยังสามารถดำเนินการธุรกิจโรงสีของตนเองต่อไปได้ แต่ถ้ามีโรงสีอื่นในเขตอำเภอเดียวกันมีความจำนงจะเป็นธนาคารข้าวเปลือกอย่างเต็มตัว ก็ควรได้รับสิทธิ์เป็นธนาคารก่อน
ทีนี้ ถ้าเขตใดหรืออำเภอใดมีธนาคารข้าวเปลือกแล้ว ประชาชนที่อาศัยอยู่เขตนั้นสามารถซื้อหุ้นข้าวเปลือกได้ เหมือนกับที่เราซื้อหุ้นทั่ว ๆ ไป เหมือนกับที่เราซื้อทองคำ นั่นคือ ราคาที่เราซื้อจะเป็นไปตามราคากลางที่ประกาศออกมา เช่น ถ้าช่วงนี้ราคาข้าวตันละ 6,000 บาท ประชาชนที่มาซื้อหุ้นข้าวเปลือกก็จะต้องซื้อในราคานี้ บวกกับค่าเก็บรักษาด้วย การซื้อหุ้นข้าวเปลือกนี้ ก็ซื้อผ่านอินเทอร์เน็ตได้ พอซื้อแล้วเราก็ได้หุ้นมา เช่นเราได้หุ้นมา 3 ตัน (ซื้อมา 18,000 บาท) เราก็เก็บไว้ เราไม่ต้องไปแบกเอาข้าวเปลือกที่ธนาคารข้าวก็ได้ (เหมือนซื้อทองคำ) ทีนี้ พอผ่านไป 5 เดือน ราคาข้าวขึ้นเป็นตันละ 10,000 บาท เราก็ขายหุ้นข้าวเปลือกไป (ก็คือทั้งซื้อทั้งขายนี้ เราไม่ได้ไปแบกไปขนข้าวเปลือกจริง ๆ ข้าวเปลือกทั้งหลายยังอยู่ในระบบธนาคารข้าวเปลือกนั้นแล)
ด้วยระบบดังกล่าว (ระบบธนาคารข้าวเปลือก และหุ้นข้าวเปลือก) จะทำให้มีเงินไหลเข้าไปในระบบการซื้อขายข้าว จะมีผู้ซื้อเพิ่มขึ้นจากระบบเดิมที่มีแต่โรงสีเป็นผู้รับซื้อข้าวเปลือก ก็จะมีคนทั่ว ๆ ไป อาจจะเป็นพนักงานออฟฟิศ พนักงานบัญชี คุณครู ตำรวจ ฯลฯ เป็นผู้ซื้อข้าวเปลือกด้วย ก็จะทำให้ตลาดข้าวเปลือกมีผู้ซื้อมากขึ้น (แต่ก่อนคนซื้อข้าวเปลือกมีแต่โรงสี ส่วนคนอื่น ๆ จะซื้อข้าวสาร) เมื่อใดที่ข้าวเปลือกราคาต่ำ ก็จะมีคนเข้าไปซื้อหุ้นข้าวเปลือกมากมายเพื่อเก็งกำไร ทำให้ความต้องการในการซื้อเพิ่มขึ้น ราคาข้าวก็จะสูงขึ้น รัฐบาลก็ไม่ต้องเอาเงินภาษีไปซื้อข้าวเพื่อช่วยชาวนาแล้ว เพราะคนที่มีฐานะพอสมควรถึงฐานะดีในประเทศนี้ ได้ออกเงินกันคนละเล็กคนละน้อย (บางคนซื้อหุ้น 2 ตัน บางคนซื้อ 5 ตัน บางคนซื้อ 50 ตัน เป็นต้น) เพื่อช่วยพยุงราคาข้าวไว้แล้ว
เป้าหมายของระบบนี้ ไม่ได้ต้องการจะให้ชาวนาร่ำรวยจากการทำนา แต่ก็ป้องกันไม่ให้ราคาข้าวต่ำเกินไปจนน่าเกลียดแบบตอนนี้ เรามุ่งหมายที่จะให้ชาวนาดำรงชีวิตอยู่ได้ พอมีพอกิน ส่งลูกหลานเรียนจบปริญญาสูง ๆ ได้ จะได้ไม่ต้องมาลำบากเป็นชาวนาเหมือนพ่อแม่ปู่ย่าตายาย
ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้จริง ถ้าตอนนี้มีหุ้นข้าวเปลือก ถ้าเป็นคุณ คุณจะซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่