....คำเตือน เนื้อหาข้างล่างนี้มีข้อความสปอยหนังเรื่อง blue velvet และ muholland dr.
ต้องขอออกตัวก่อนว่าจขกท.ไม่เคยเขียนบทความวิเคราะห์วิจารณ์หนังมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก
และก็ขอยืนยันอีกว่าทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวที่เขียนตามความรู้สึก ไม่ได้อ้างอิงจากทฤษฏีหนังแน่นๆแบบคนอื่นเขา
http://www.imdb.com/name/nm0000186/
เรื่องของเรื่องคือรู้จัก ดาวิด ลินซ์ มานานแต่ไม่เคยได้มีโอกาสดูหนังของแกสักที ดูอย่างมากก็แค่เทรลเลอร์
ทั้ง twin peaks,lost highway,muholland dr.,blue velvet,eraser head หรือ dune
แต่ขนาดดูแค่เทรลเลอร์ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในตัวลินซ์ มันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน
หนังของแกจะเหมือนกับอยู่ในฝันร้าย ตัวละครแปลกๆ การกระทำเพี้ยนๆ หลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้ใช้ตรรกะของคนทั่วไป
เริ่มแรกผมลองดู muholland dr.ก่อน ดูไปจนถึงฉากชายสองคนคุยกันในร้านเรื่องความฝัน
ตอนนั้นก็คิดนะว่ามาล่ะๆไอ้บรรยากาศแบบนี้ สักพักก็กลายเป็นคิด หืมมมมม!!เอายังงี้จริงเหรอลินซ์ มันคืออะไรฟะ
หรือจะฉากนักฆ่าปืนลั่นไปโดนห้องข้างๆผมนี่หลุดฮาก๊ากออกมาเลย อย่างที่บอกไปมันเหมือนอยู่ในฝันร้ายเพี้ยนๆ
พอดูจบก็พอจะเก็ตอะไรบางอย่าง พอมาหาอ่านรีวิววิเคราะห์หนังเรื่องนี้ต่อก็เข้าใจหลายอย่างมากขึ้น
การดูหนังเรื่องนี้จบมันทำให้ผมเกิดมุมมองต่อลินซ์ขึ้นมาว่า
ไอ้ความติสความเพี้ยนบรรยากาศแปลกๆไม่เหมือนใครในหนังของแกเนี่ยมันเป็นธรรมชาติของลินซ์จริงๆ
สิ่งเหล่านั้นมันคือสิ่งที่เขาคิดว่าหนังมันควรจะมี มีแล้วดี มากกว่าชั้นจะพยายามติสให้มันเข้าใจยากๆ
ลินซ์ไม่ได้พยายามฝืนตัวเองเพื่อทำหนังติสๆเอาใจกลุ่มแฟนคลับ ลินซ์พยายามสื่อสารประเด็นต่างๆให้คนดูด้วยวิธีของเขา
วิธีที่เขาคิดว่ามันน่าสนใจและคิดว่าคนอื่นจะเข้าใจ
ผมเคยอ่านบทความเกี่ยวกับลินซ์มาอีกนิดหน่อย
มีคนบอกว่าเขาชอบใส่สัญลักษณ์ไว้ในหนัง ผมเห็นด้วยว่าเขาชอบใส่อะไรที่มันมีความหมายแฝงจริง
แต่ไม่ใช่สัญลักษณ์แบบที่นักวิจารณ์หลายคนบอก เช่นนักวิจารณ์หลายคนชอบเอาสีมาตีความหมายว่าสีนี้สื่อถึงอย่างนั้น
ไฟสื่อถึง... แมลงสื่อถึง... ฯลฯ ซึ่งมันเป็นความหมายในเชิงสากล แต่มันจะเหมือนกับว่าแมลงในหนังทุกเรื่องสื่อถึงความชั่วร้ายซะหมด
หรือสีแดงในหนังแต่ละเรื่องสื่อความหมายแบบเดียวกันหมด คือจริงๆก็มีนักเล่าเรื่องมากมายที่ใช้การสื่อแบบนี้นะ
แต่อย่างกรณีของลินซ์ผมคิดว่าไม่ใช่แบบนี้
ผมคิดว่าลินซ์และนักเล่าเรื่องอีกหลายคนใช้สัญลักษณ์แบบที่อ้างอิงกับชีวิตส่วนตัวของตัวเองมากกว่า
ดังนั้นการตีความสัษลักษณ์ในหนังของลินซ์ ไม่อาจจะใช้การสื่อความหมายแบบสากลได้
หลายอย่างคนดูอาจจะไม่มีทางตีความออกด้วยซ้ำ เหมือนมุกตลกเฉพาะตัวที่คนเก๊ทได้น้อย
มันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคุณจะดูหนังของลินซ์แล้วไม่เข้าใจที่มาที่ไปหรือสิ่งที่เขาอยากสื่อได้ชัดเจน
เพราะคนเราเกิดเติบโตและมีประสบการณ์ชีวิตมาต่างกัน นั่นก็แปลว่าเรามีเรื่องที่เรามองได้ต่างกัน
อีกเรื่องคือเป็นการลงลายละเอียด ตัวอย่างเช่นสมมติว่าเราจะเขียนบทหนังมาสักเรื่อง
เรามีแรงบันดาลใจและเขียนโครงเรื่องคราวๆไว้มีเส้นเรื่องหรือข้อความที่อยากสื่อชัดเจน
แต่พอจะต้องเขียนบทละเอียดเพื่อใช้ในการทำงานจริงๆ เราต้องกำหนดแม้กระทั่งฉาก คอสตูม สีสัน มุมกล้อง
ซึ่งรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้มันเป็นอารมณ์ครีเอทเล็กๆน้อยๆให้เข้ากับตีมเรื่อง คอยสนับสนุนเนื้อเรื่อง
แต่มันไม่ใช่เนื้อหาหลักที่คนเล่าเรื่องต้องการสื่อ
ดังนั้นเวลาผมดูหนังของลินซ์ ผมจะดูและคิดด้วยทรรศนะคติแบบนี้
Blue Velvet (1986) ความชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ในทุกสิ่ง
ต้องขอออกตัวก่อนว่าจขกท.ไม่เคยเขียนบทความวิเคราะห์วิจารณ์หนังมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก
และก็ขอยืนยันอีกว่าทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวที่เขียนตามความรู้สึก ไม่ได้อ้างอิงจากทฤษฏีหนังแน่นๆแบบคนอื่นเขา
http://www.imdb.com/name/nm0000186/
เรื่องของเรื่องคือรู้จัก ดาวิด ลินซ์ มานานแต่ไม่เคยได้มีโอกาสดูหนังของแกสักที ดูอย่างมากก็แค่เทรลเลอร์
ทั้ง twin peaks,lost highway,muholland dr.,blue velvet,eraser head หรือ dune
แต่ขนาดดูแค่เทรลเลอร์ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในตัวลินซ์ มันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน
หนังของแกจะเหมือนกับอยู่ในฝันร้าย ตัวละครแปลกๆ การกระทำเพี้ยนๆ หลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้ใช้ตรรกะของคนทั่วไป
เริ่มแรกผมลองดู muholland dr.ก่อน ดูไปจนถึงฉากชายสองคนคุยกันในร้านเรื่องความฝัน
ตอนนั้นก็คิดนะว่ามาล่ะๆไอ้บรรยากาศแบบนี้ สักพักก็กลายเป็นคิด หืมมมมม!!เอายังงี้จริงเหรอลินซ์ มันคืออะไรฟะ
หรือจะฉากนักฆ่าปืนลั่นไปโดนห้องข้างๆผมนี่หลุดฮาก๊ากออกมาเลย อย่างที่บอกไปมันเหมือนอยู่ในฝันร้ายเพี้ยนๆ
พอดูจบก็พอจะเก็ตอะไรบางอย่าง พอมาหาอ่านรีวิววิเคราะห์หนังเรื่องนี้ต่อก็เข้าใจหลายอย่างมากขึ้น
การดูหนังเรื่องนี้จบมันทำให้ผมเกิดมุมมองต่อลินซ์ขึ้นมาว่า
ไอ้ความติสความเพี้ยนบรรยากาศแปลกๆไม่เหมือนใครในหนังของแกเนี่ยมันเป็นธรรมชาติของลินซ์จริงๆ
สิ่งเหล่านั้นมันคือสิ่งที่เขาคิดว่าหนังมันควรจะมี มีแล้วดี มากกว่าชั้นจะพยายามติสให้มันเข้าใจยากๆ
ลินซ์ไม่ได้พยายามฝืนตัวเองเพื่อทำหนังติสๆเอาใจกลุ่มแฟนคลับ ลินซ์พยายามสื่อสารประเด็นต่างๆให้คนดูด้วยวิธีของเขา
วิธีที่เขาคิดว่ามันน่าสนใจและคิดว่าคนอื่นจะเข้าใจ
ผมเคยอ่านบทความเกี่ยวกับลินซ์มาอีกนิดหน่อย
มีคนบอกว่าเขาชอบใส่สัญลักษณ์ไว้ในหนัง ผมเห็นด้วยว่าเขาชอบใส่อะไรที่มันมีความหมายแฝงจริง
แต่ไม่ใช่สัญลักษณ์แบบที่นักวิจารณ์หลายคนบอก เช่นนักวิจารณ์หลายคนชอบเอาสีมาตีความหมายว่าสีนี้สื่อถึงอย่างนั้น
ไฟสื่อถึง... แมลงสื่อถึง... ฯลฯ ซึ่งมันเป็นความหมายในเชิงสากล แต่มันจะเหมือนกับว่าแมลงในหนังทุกเรื่องสื่อถึงความชั่วร้ายซะหมด
หรือสีแดงในหนังแต่ละเรื่องสื่อความหมายแบบเดียวกันหมด คือจริงๆก็มีนักเล่าเรื่องมากมายที่ใช้การสื่อแบบนี้นะ
แต่อย่างกรณีของลินซ์ผมคิดว่าไม่ใช่แบบนี้
ผมคิดว่าลินซ์และนักเล่าเรื่องอีกหลายคนใช้สัญลักษณ์แบบที่อ้างอิงกับชีวิตส่วนตัวของตัวเองมากกว่า
ดังนั้นการตีความสัษลักษณ์ในหนังของลินซ์ ไม่อาจจะใช้การสื่อความหมายแบบสากลได้
หลายอย่างคนดูอาจจะไม่มีทางตีความออกด้วยซ้ำ เหมือนมุกตลกเฉพาะตัวที่คนเก๊ทได้น้อย
มันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคุณจะดูหนังของลินซ์แล้วไม่เข้าใจที่มาที่ไปหรือสิ่งที่เขาอยากสื่อได้ชัดเจน
เพราะคนเราเกิดเติบโตและมีประสบการณ์ชีวิตมาต่างกัน นั่นก็แปลว่าเรามีเรื่องที่เรามองได้ต่างกัน
อีกเรื่องคือเป็นการลงลายละเอียด ตัวอย่างเช่นสมมติว่าเราจะเขียนบทหนังมาสักเรื่อง
เรามีแรงบันดาลใจและเขียนโครงเรื่องคราวๆไว้มีเส้นเรื่องหรือข้อความที่อยากสื่อชัดเจน
แต่พอจะต้องเขียนบทละเอียดเพื่อใช้ในการทำงานจริงๆ เราต้องกำหนดแม้กระทั่งฉาก คอสตูม สีสัน มุมกล้อง
ซึ่งรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้มันเป็นอารมณ์ครีเอทเล็กๆน้อยๆให้เข้ากับตีมเรื่อง คอยสนับสนุนเนื้อเรื่อง
แต่มันไม่ใช่เนื้อหาหลักที่คนเล่าเรื่องต้องการสื่อ
ดังนั้นเวลาผมดูหนังของลินซ์ ผมจะดูและคิดด้วยทรรศนะคติแบบนี้