หาเงินเดือนละแสนว่ายากแล้วเก็บเงินเดือนละแสนยิ่งยากกว่า
สวัสดีครับ ต้องเกริ่นก่อน ได้เห็นกระทู้ถามถึงคนมีรายได้หลักแสนเค้าทำยังไง
ทำอะไร และเริ่มยังไง มันอดคิดไม่ได้ ว่าเมื่อก่อนผมก็เคยคิดจะตั้งกระทู้ถามแบบนี้ในพันทิปเหมือนกัน
แต่สุดท้ายก็ได้แค่คิด วันนี้ได้มาเจอคนถามคำถามนี้ เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว
เผื่อไว้เป็นแนวทาง ต้องบอกก่อนว่า สิ่งที่จะแชร์ต่อไปนี้
คือประสบการณ์จากตัวผมเอง อะไรที่เขียนขึ้น เกิดจากความคิดส่วนตัวผมนะครับ
อาจไม่ได้ถูกต้องแต่ก็ถือว่าเป็นแนวทางละกัน
โดยผมขอแบ่งเป็นข้อๆนะครับ
1.เริ่มจาก0จะทำได้ยังไง
2.เดือนละแสนครั้งแรก/ไลฟ์สไตล์
3.หาได้เท่าไรไม่สำคัญเท่าเหลือเก็บเท่าไร
4.ใช้เงินทำงาน
เริ่มกันเลยเนาะ
1.เริ่มจาก0จะทำได้ยังไง
ผมทุกวันนี้ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองเริ่มจาก0หรือเปล่า
คงต้องย้อนความไปสมัยตอนเด็กๆ
ผมอยุ่กับพ่อสองคนตั้งแต่เด็ก พ่อผมเป็นเจ้าของธุรกิจ
ธุรกิจของพ่อมีต้นทุนแค่2อย่างคือ รถกระบะและแรงงาน
คือมีรถคันนึงไปรับของเค้ามาส่ง
จะเรียกว่าเป็นคนส่งของก็ได้
ส่งทุกวันครับ กำไรคิดเป็นกิโลได้เลย
เฉลี่ยกิโลละ50สตางค์
เคยพีคสุดตอนปี37-38กำไรเดือนนึงเป็นแสน
ก็คิดดูละกันว่าพ่อผมต้องแบกหามกี่กิโลถึงจะได้เงิน
ขนาดนั้น พ่อผมไม่มีลูกน้องด้วยทำคนเดียวเลย
แต่หลังจากปี40ก็ เศรษฐกิจแย่ก็ตกต่ำ
เหลือเดือนละหมื่นสองหมื่น
บ้านโดนยึด รถโดนยึด เอาเงินไปซื้อ
มอไซค์พ่วงข้างเอาไว้ส่งของแทนกระบะ
และเช่าบ้านอยู่ มาตอนหลังถึงเก็บเงินซื้อรถกระบะมือสอง
ได้มาคนนึง และก็ยังคงส่งของเหมือนเดิม
พ่ออยากให้ผมตั้งใจเรียนจบมาจะได้มีงานทำดีๆ
ไม่ต้องลำบากมาทำงานหนักแบบพ่อ
แต่คำบอกของพ่อดันขัดกับสิ่งที่พ่อให้ผมทำ
พ่ออยากให้ทำงานบริษัทแต่สอนการค้าขาย
ผมขายของมาตั้งแต่8ขวบ
ทำมาตั้งแต่ขายบะหมี่ขายไอติมขายอาหาร
รับจ้างในโรงเรียน อะไรได้เงินเราก็ทำ
ตอนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องรวยจนหรอก
แค่จะหาเงินมาใช้ซื้อของที่อยากได้เท่านั้นเอง
ทั้งของเล่น เกมส์ อะไรที่เด็กๆอยากได้
เพราะในเวลานั้นพ่อเป็นหนี้นอกระบบเยอะมาก
เจอพวกหมวกกันน็อคมาเก็บเงินรายวันจากพ่อ
ทุกวันหลายเจ้าด้วย ช่วงนั้นเรายังเด็กแต่ก็รุ้สึกได้ว่า
มันลำบากมาก สมบัติที่มีของพ่อก็มีแค่พ่วงข้าง
กับลูกค้าที่ส่งของให้กันมาหลายปี
ความอยากของเด็กๆมันทำให้เราพยายามค้าขาย
หาเงินใช้เล็กๆน้อยๆ ขายโน่น ขายนี่ รับจ้างวาดภาพ
จดรายงาน ซักถุงเท้า(ตอนนั้นเรียนโรงเรียนประจำ)
เริ่มมองเห็นอะไรใหมครับ?
พอเห็นต้นทุนผมรึยัง?
ไม่ใช่เงินครับ
แต่มันคือความกล้าที่จะค้าขาย
ต่อๆๆ และพ่อมักจะตั้งของรางวัลให้ผมทุกปี
ถ้าเรียนได้ไม่เกินที่3 พ่อจะให้รางวัลเสมอ
ถึงบางปีจะไม่ให้ก็เถอะ มันเลยส่งผลให้ผม เป็นเด็ก
หน้ามึนที่เรียนเก่ง เรียนๆๆๆๆๆๆ
ตั้งหน้าตั้งตาเรียนจน ปวช. ก็ไปต่อ ป.ตรี
กู้เรียนสิครับ แต่ก็นะ เส้นทางมันไม่ได้กำหนดไว้
ให้ผมเรียนจบ แค่ส่งมาให้ผมได้สัมผัสเท่านั้น
ปีหนึ่งเทอมปลาย ดันมีเพื่อนมาชวนทำธุรกิจขายตรง
ตอนนั้นเริ่มอยากรวยกับเขาแล้วจริงๆ
ก็ลุยสิครับ ทำๆๆๆๆๆ
ไม่มีเงินทำไง ก็ขายของหากำไร
ทำๆๆๆ เรื่องเรียนก็ทิ้งเลยครับ
ไม่เข้าเรียนเลยทั้งเทอม แต่มาเข้าสอบทีเดียว
ยิ่งปีสามนี่ไม่เข้าเรียนไม่เข้าสอบเลย
ก็วันสอบมันดันตรงกับวันที่ผมต้องไปต่างประเทศ
(รางวัลจากธุรกิจขายตรง)นะสิ
หลายคนหาว่าผมบ้าที่เลือกไปต่างประเทศ
แทนที่จะเลือกสอบ
แต่จนมาทุกวันนี้ ผมก็ไม่เคยคิดเปลี่ยนใจนะ
ถึงตอนนี้จะเลิกทำไปนานแล้วก็เถอะ
ผมทำได้สองปีก็ต้องเลิก
เพราะเกรด0.00มา3เทอมติด
มันวิกฤติแล้ว
พ่อให้เลิกทำธุรกิจขายตรง
เกรดเฉลี่ยใกล้จะตกจนไม่ผ่านมาตรฐาน
คือใครเกรดเฉลี่ยต่ำกว่า1.75เค้าจะรีไทน์
ดีที่เกรดตอนปี1และปีสองทำไว้สูงเลยพอดึงเอาไว้บ้าง
แต่อย่างว่ามันไม่ทันแล้ว
แนวความคิดผมเปลี่ยนไปแล้ว
ผมไม่คิดจะเรียนแล้ว
ธุรกิจส่วนตัวเท่านั้นที่ผมสนใจตอนนั้น
สุดท้ายก็ไม่เรียนครับแต่ก็ไม่ได้บอกพ่อ
ทำมาหากินแถวมหาลัยนั่นแหละ
ตั้งแต่เป็นเด็กเสริฟ เปิดร้านขายขนม
แต่ก็ไปไม่รอดหมดข้ออ้างเมื่อตอนปีสี่
เกรดเฉลี่ยตกต่ำกว่า1.75จนได้
จดหมายจากมหาลัยตรงสู่มือพ่อผมทันที
พ่อบอกไม่เรียนก็กลับบ้าน
ก็ต้องตามนั้น ยอมกลับบ้าน
บอกเลยช่วงนั้นสงสารพ่อมาก
มีแต่ลูกค้าถามลูกชายเรียนจบแล้วหรอ
พ่อก็จะตอบว่า " มันไม่ยอมเรียน "
ช่วงนี้เป็นช่วงที่บอบช้ำมากๆ
มีแต่คำพูดในทางลบมาเพียบ
ทั้งคนรู้จักทั้งญาติ และผู้ใหญ่
ใครเรียนไม่จบจะรู้ดี ยิ่งเรียนไม่จบตอนปีสี่
มันสุดๆแล้ว เรียนก็เก่ง แต่ดันไม่เรียน
มิงจะเอาอะไรมาทำกิน
สารพัดคำดูถูก
แต่นี่แหละต้นทุนอีกอย่างของผม
ยิ่งคนดูถูกมาเท่าไร
เราเถียงไปก็เท่านั้น
เรามีหน้าที่แค่ทำให้เค้ารุ้ว่าเค้า
คิดผิด มันเป็นแรงถีบชั้นดีเลยทีเดียว
2.รายได้หลักแสนครั้งแรกกับไลฟ์สไตล์
พูดซะเท่เลย รายได้หลักแสนกับไลฟ์สไตล์
ดูแล้วเท่ แต่ความจริงมันไม่เท่เลย
เป็นหนึ่งในบทเรียนชั้นดีของผมเลย
ก็อย่างที่บอกครับ ผมเคยคิดจะตั้งกระทู้
ประมาณถามถึงไลฟ์สไตล์คนรายได้หลักแสน
แบบว่า อยู่ข้างบนนั้นเป็นยังไงบ้าง
เดือนละแสนวันละสามพันกว่าบาท
สุดยอดเลย แค่นี้คงพอเพียงแล้ว
แต่ความเป็นจริงมันเป็นยังไง
มาดูกัน(ย้ำอีกครั้งครับ ประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ)
ในเมื่อเรียนไม่จบ ไม่ยอมเรียน
ก็ต้องทำงาน แต่อย่างว่า ผมไม่มีความคิด
ที่จะทำงานบริษัทหรือเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่แล้ว
อาจจะเป็นเพราะมันไม่ใช่ทางของผม
แต่ถึงจุดนั้นจะทำไรหล่ะ
มันไม่มีทางไป อยู่บ้านขอเงินพ่อใช้ก็ไม่ใช่เรื่อง
สุดท้ายก็ได้สัมผัสชีวิตมนุษย์เงินเดือนครั้งแรก
ด้วยวุฒิ ปวช. ได้เงินเดือนประมาณหมื่นกว่าบาท
ทำได้ปีนึงย้ายไปๆมาๆสามสี่ที่
ที่ทำก็เพื่อหวังจะเก็บเงินก้อนมาลงทุน
แต่ก็ยังคิดไม่ออกจะทำอะไร
ของบางอย่างอยู่ใกล้ตัวมองไม่เห็น
จนที่ทำงานสุดท้าย
มีพี่ที่ทำงานมาคุยด้วย
เค้าบอกว่า พ่อมิงก็มีธุรกิจส่วนตัว
ทำไมไม่ไปทำวะ
ปิ๊ง!!เลยครับ
แต่อย่างว่าแหละ มันเป็นเส้นทางของงานหนัก
งานแบกหาม แต่ประจวบเหมาะ
มีคนในธุรกิจเดียวกับพ่อผม
เค้าเซ้งสายงานต่อ
เค้าเซ้งแสนนึง
ผมบอกเลยทำงานมาปีกว่าแล้วแต่อย่าถามเรื่องเงินเก็บเลย
ไม่มีหรอกครับ ใช้โน่นใช้นี่หมด
มันมีอะไรให้ซื้อทุกครั้งเวลาที่เงินอยู่กับตัว
ไม่มีเงินทำไง ก็ไปเจรจาสิครับ
สายงานนี้มีกำไรต่อวันประมาณ500บาท
เดือนละหมื่นห้า
ก็โอเครนะ ผมไม่ได้มองที่กำไรปัจจุบัน
แต่ผมมองว่าผมสามารถขยายมันขึ้นไปได้
ผมขอผ่อนกับเค้าโดยบอกจะจ่ายให้เดือนละหมื่น
เป็นเวลา1ปี ซึ่งเค้าก็ตกลง เพราะตัวเค้าเอง
ทำมาหลายปีแล้ว ที่เลิกเพราะยกของไม่ไหว
ขาไม่มีแรง เดินไม่ได้ ต้องให้ลูกชายเค้ามาช่วยส่งแทน
แต่ลูกชายเค้าก็มีงานต้องทำเลยตัดสินใจ
ขายกิจการ และผมก็ได้รับช่วงต่อมาทันที
พ่อผมมีรถกระบะเก่าๆคันหนึ่งซื้อมา
จากไซด์งานก่อสร้างที่เค้าเลิกใช้
ราคา30,000บาท
เก่ามากแต่ยังขับได้
เอาไว้สำรองเวลารถหลักของพ่อเสีย
ผมก็เลยขอมาใช้งาน
และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของผม
พ่อไม่ค่อยเห็นด้วยที่ผมลาออก
แต่ก็ค้านผมไม่ไหว เราทะเลาะกันแรงพอสมควร
สุดท้ายผมก็ได้รถนั้นมาและออกจากบ้านมา
ไม่รวยไม่กลับ ตอนนั้นพ่อกับผมคุยกัน
ไม่ค่อยเข้าใจ และผมก็เป็นคนหัวรั้น
ผมมาเช่าร้านสังกะสีริมทาง
มีเงินติดตัวมาประมาณ2พัน
และรถกะบะหนึ่งคน
หน้าร้านมีไว้เพื่อขายของ
และนอน ใช้ผ้าแสลมคลุมรอบร้าน
ห้องน้ำไม่มีครับ แต่เลยไปหน่อยมีปั๊มน้ำมัน
ก็ใช้ที่นั้นแหละเป็นห้องน้ำ
ช่วงนั้นเป็นอะไรที่ลำบากมากๆ
เบ็ดเสร็จหักค่าใช้จ่ายแล้ว
เหลือเก็บร้อยสองร้อยต่อวัน
แต่ผมก็ลุยต่อๆๆ
ต้นทุนอีกอย่างของผมคือ
ผมตัวใหญ่ หุ่นเหมาะกับการใช้แรงงานมากๆ
และก็เหมือนกับว่าเจอของที่ถูกกัน
ประมาณปีนึง
ผมขยายลูกค้าด้วยความที่ยังไฟแรง
พละกำลังมันเหลือ
ผมขยายลูกค้าหาสายเพิ่ม
จนได้ยอดส่งของประมาณ5-6ตันต่อวัน
ก็ย้ายจากนอนร้านไปเช่าบ้านอยู่
ทำคนเดียวลุยคนเดียว
แบกๆๆหามๆๆส่งๆๆบ้าพลังสุดๆ
ตั้งแต่ตีสามถึงสี่ทุ่ม
ไม่มีวันหยุด
จันทร์ถึงอาทิตย์
วันหยุดปีใหม่
วันหยุดราชการ
ไม่มีเลยสักวัน หยุดไม่ได้
ลูกค้าต้องใช้ของทุกวัน หยุดส่งเค้าเปลี่ยนเจ้าทันที
แบกส่งๆวนไปแบบนี้ทุกวันๆ
แลกกับรายได้ที่ทะลุแสน
แตะแสนครั้งแรกตอนอายุ22
แจ่มใหมครับ ไลฟ์สไตล์รายได้หลักแสนของผม
ใครอยากได้บ้าง
คิดเล่นๆลองหากระสอบข้าว
มาแบกเดินไปเดินกลับ
นับน้ำหนักให้ได้5ตันและแบกกลางแดด
กลางฝนหน้าหนาวก็ใส่ถุงมือหนาๆมาแบกต่อ
ตั้งแต่ตี3ถึงสี่ทุ่ม
นั้นแหละครับ
แรงกายล้วนๆเพื่อแลกเงินแสนมา
ประเด็นก็คือ ผมหาเงินได้เป็นแสน
แต่!!!!!
ผมไม่มีเงินเหลือ
ยังไม่พอ ผมยังเป็นหนี้โรงงานที่ผมไปรับของจากเขา
เกิดอะไรขึ้น ผมมาถึงเดือนละแสนแล้ว
กำไรต่อวันผม3-4พันบาท
เพราะความที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องเงิน
ได้เงินมาจากความเหนื่อย
ก็ไปเที่ยวเลิกงานตีสามไปเที่ยวกลางคืน
เลิกเที่ยวตีสองกลับมาทำงานต่อ
บางวันไม่ได้นอนติดต่อกันสองวัน
สำมเรเทเมา เพราะเข้าใจว่า
ตัวเองมีรายได้เดือนละแสน
มันติดอยู่ในหัวไงครับ
วันนี้ได้สามสี่พันใช้ไปสักพันคงไม่เป็นไร
อาทิตย์นี้ได้สองหมื่นหายไปสักห้าพันไม่เป็นไร
เพราะคิดแบบนี้ไง
ติดพนันด้วยช่วงนั้น
ลืมรายจ่ายยิบย่อย
รายจ่ายที่มองไม่เห็น
รายจ่ายที่คาดไม่ถึง
สารพัดรายจ่าย สุดท้ายติดลบ
และลบหลายๆแสนด้วย
ติดหนี้จนโงหัวแทบไม่ขึ้น
ไลฟ์สไตล์เดือนละแสน
มันโหดร้ายเหลือเกิน
และนี่คือบทเรียนสำคัญ
"การเป็นหนี้มันทรมานจนอยากตาย"
ทุกวันนี้บอกเลย ผมไม่เคยเสียใจที่เป็นหนี้ในวันนั้น
เพราะมันทำให้ผมจำและกลัวการเป็นหนี้มาจนวันนี้
หนี้ไม่กี่แสนมันอาจไม่เยอะกับบางคน
แต่กับเด็กอายุ22
มันบีบหัวใจมาก ตอนนั้นมันมืดไปหมด
นอนแล้วไม่อยากตื่น
ถึงได้เริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายขึ้นมา
กำไรเดือนละเป็นแสน
แต่สุดท้ายคำนวนแล้วหักทุกค่าใช้จ่าย
ผมมีเงินเหลือให้ใช้จริงๆแค่ไม่กี่พัน
(ผมให้เงินพ่อวันละ500ทุกวันตอนนั้นเพราะ
คิดว่าได้มากแสนให้พ่อหมื่นห้าคงไม่เป็นไร)
ทางโรงงานบอกว่าถ้าจะติดเพิ่มจะไม่ให้ของมาส่งแล้ว
ถ้าจะซื้อของต้องจ่ายเงินสดเท่านั้น
ยังดีที่เค้ายังใจดี ไม่หักธุรกิจผมลง
เพราะถ้าเค้าไม่ปล่อยของให้
ผมไม่มีของขาย คงเจ๊งไม่เป็นท่า
แต่ห้ามซื้อเงินเชื่อ และหนี้เก่าก็ต้องใช้คืนด้วย
ช่วงเวลานี้พอดีที่ผมได้เจอแฟน
แฟนผมเป็นผู้ใหญ่กว่าผม
เค้าเข้ามาในช่วงที่ผมมืดแปดด้าน
นี่คือคำตอบว่าเริ่มจาก0มันก็ยังดีกว่าการที่ต้อง
เริ่มจากติดลบมากมายมหาศาล
เริ่มจาก0เราทำเพื่อเพิ่มจาก0ไป1ไป2
แต่ถ้าเริ่มจากลบสิ่งที่คุณต้องทำคือ
เดินทางไปเริ่มที่0
ผมกัดฟันและเริ่มต้นใหม่
งานหนักเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือหนี้
ใช้เวลาประมาณ1ปี ปลดหนี้ทั้งหมดลง
ทั้งหนี้จากโรงงาน
หนี้พนัน
หนี้จากที่ไปซื้อของเงินผ่อนเค้ามา
ยกความดีความชอบให้แฟนผมเลย
เพราะเธอมีหน้าที่เก็บเงิน
ผมและแฟนจัดระเบียบงานใหม่
จัดระเบียบเงินใหม่ ปลดหนี้หมด
ลดลูกค้าลง แต่คัดลูกค้าขึ้น
พูดแล้วดูง่ายแต่ช่วงเวลา2ปีกับงานแบกหาม
เป้าหมายเพื่อปลดหนี้
มันไม่ใช่อะไรที่หมูๆเลย
เดี๋ยวมาต่อครับ^^
รายได้หลักแสน สบายดีใหม(แชร์ครับ)
สวัสดีครับ ต้องเกริ่นก่อน ได้เห็นกระทู้ถามถึงคนมีรายได้หลักแสนเค้าทำยังไง
ทำอะไร และเริ่มยังไง มันอดคิดไม่ได้ ว่าเมื่อก่อนผมก็เคยคิดจะตั้งกระทู้ถามแบบนี้ในพันทิปเหมือนกัน
แต่สุดท้ายก็ได้แค่คิด วันนี้ได้มาเจอคนถามคำถามนี้ เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว
เผื่อไว้เป็นแนวทาง ต้องบอกก่อนว่า สิ่งที่จะแชร์ต่อไปนี้
คือประสบการณ์จากตัวผมเอง อะไรที่เขียนขึ้น เกิดจากความคิดส่วนตัวผมนะครับ
อาจไม่ได้ถูกต้องแต่ก็ถือว่าเป็นแนวทางละกัน
โดยผมขอแบ่งเป็นข้อๆนะครับ
1.เริ่มจาก0จะทำได้ยังไง
2.เดือนละแสนครั้งแรก/ไลฟ์สไตล์
3.หาได้เท่าไรไม่สำคัญเท่าเหลือเก็บเท่าไร
4.ใช้เงินทำงาน
เริ่มกันเลยเนาะ
1.เริ่มจาก0จะทำได้ยังไง
ผมทุกวันนี้ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองเริ่มจาก0หรือเปล่า
คงต้องย้อนความไปสมัยตอนเด็กๆ
ผมอยุ่กับพ่อสองคนตั้งแต่เด็ก พ่อผมเป็นเจ้าของธุรกิจ
ธุรกิจของพ่อมีต้นทุนแค่2อย่างคือ รถกระบะและแรงงาน
คือมีรถคันนึงไปรับของเค้ามาส่ง
จะเรียกว่าเป็นคนส่งของก็ได้
ส่งทุกวันครับ กำไรคิดเป็นกิโลได้เลย
เฉลี่ยกิโลละ50สตางค์
เคยพีคสุดตอนปี37-38กำไรเดือนนึงเป็นแสน
ก็คิดดูละกันว่าพ่อผมต้องแบกหามกี่กิโลถึงจะได้เงิน
ขนาดนั้น พ่อผมไม่มีลูกน้องด้วยทำคนเดียวเลย
แต่หลังจากปี40ก็ เศรษฐกิจแย่ก็ตกต่ำ
เหลือเดือนละหมื่นสองหมื่น
บ้านโดนยึด รถโดนยึด เอาเงินไปซื้อ
มอไซค์พ่วงข้างเอาไว้ส่งของแทนกระบะ
และเช่าบ้านอยู่ มาตอนหลังถึงเก็บเงินซื้อรถกระบะมือสอง
ได้มาคนนึง และก็ยังคงส่งของเหมือนเดิม
พ่ออยากให้ผมตั้งใจเรียนจบมาจะได้มีงานทำดีๆ
ไม่ต้องลำบากมาทำงานหนักแบบพ่อ
แต่คำบอกของพ่อดันขัดกับสิ่งที่พ่อให้ผมทำ
พ่ออยากให้ทำงานบริษัทแต่สอนการค้าขาย
ผมขายของมาตั้งแต่8ขวบ
ทำมาตั้งแต่ขายบะหมี่ขายไอติมขายอาหาร
รับจ้างในโรงเรียน อะไรได้เงินเราก็ทำ
ตอนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องรวยจนหรอก
แค่จะหาเงินมาใช้ซื้อของที่อยากได้เท่านั้นเอง
ทั้งของเล่น เกมส์ อะไรที่เด็กๆอยากได้
เพราะในเวลานั้นพ่อเป็นหนี้นอกระบบเยอะมาก
เจอพวกหมวกกันน็อคมาเก็บเงินรายวันจากพ่อ
ทุกวันหลายเจ้าด้วย ช่วงนั้นเรายังเด็กแต่ก็รุ้สึกได้ว่า
มันลำบากมาก สมบัติที่มีของพ่อก็มีแค่พ่วงข้าง
กับลูกค้าที่ส่งของให้กันมาหลายปี
ความอยากของเด็กๆมันทำให้เราพยายามค้าขาย
หาเงินใช้เล็กๆน้อยๆ ขายโน่น ขายนี่ รับจ้างวาดภาพ
จดรายงาน ซักถุงเท้า(ตอนนั้นเรียนโรงเรียนประจำ)
เริ่มมองเห็นอะไรใหมครับ?
พอเห็นต้นทุนผมรึยัง?
ไม่ใช่เงินครับ
แต่มันคือความกล้าที่จะค้าขาย
ต่อๆๆ และพ่อมักจะตั้งของรางวัลให้ผมทุกปี
ถ้าเรียนได้ไม่เกินที่3 พ่อจะให้รางวัลเสมอ
ถึงบางปีจะไม่ให้ก็เถอะ มันเลยส่งผลให้ผม เป็นเด็ก
หน้ามึนที่เรียนเก่ง เรียนๆๆๆๆๆๆ
ตั้งหน้าตั้งตาเรียนจน ปวช. ก็ไปต่อ ป.ตรี
กู้เรียนสิครับ แต่ก็นะ เส้นทางมันไม่ได้กำหนดไว้
ให้ผมเรียนจบ แค่ส่งมาให้ผมได้สัมผัสเท่านั้น
ปีหนึ่งเทอมปลาย ดันมีเพื่อนมาชวนทำธุรกิจขายตรง
ตอนนั้นเริ่มอยากรวยกับเขาแล้วจริงๆ
ก็ลุยสิครับ ทำๆๆๆๆๆ
ไม่มีเงินทำไง ก็ขายของหากำไร
ทำๆๆๆ เรื่องเรียนก็ทิ้งเลยครับ
ไม่เข้าเรียนเลยทั้งเทอม แต่มาเข้าสอบทีเดียว
ยิ่งปีสามนี่ไม่เข้าเรียนไม่เข้าสอบเลย
ก็วันสอบมันดันตรงกับวันที่ผมต้องไปต่างประเทศ
(รางวัลจากธุรกิจขายตรง)นะสิ
หลายคนหาว่าผมบ้าที่เลือกไปต่างประเทศ
แทนที่จะเลือกสอบ
แต่จนมาทุกวันนี้ ผมก็ไม่เคยคิดเปลี่ยนใจนะ
ถึงตอนนี้จะเลิกทำไปนานแล้วก็เถอะ
ผมทำได้สองปีก็ต้องเลิก
เพราะเกรด0.00มา3เทอมติด
มันวิกฤติแล้ว
พ่อให้เลิกทำธุรกิจขายตรง
เกรดเฉลี่ยใกล้จะตกจนไม่ผ่านมาตรฐาน
คือใครเกรดเฉลี่ยต่ำกว่า1.75เค้าจะรีไทน์
ดีที่เกรดตอนปี1และปีสองทำไว้สูงเลยพอดึงเอาไว้บ้าง
แต่อย่างว่ามันไม่ทันแล้ว
แนวความคิดผมเปลี่ยนไปแล้ว
ผมไม่คิดจะเรียนแล้ว
ธุรกิจส่วนตัวเท่านั้นที่ผมสนใจตอนนั้น
สุดท้ายก็ไม่เรียนครับแต่ก็ไม่ได้บอกพ่อ
ทำมาหากินแถวมหาลัยนั่นแหละ
ตั้งแต่เป็นเด็กเสริฟ เปิดร้านขายขนม
แต่ก็ไปไม่รอดหมดข้ออ้างเมื่อตอนปีสี่
เกรดเฉลี่ยตกต่ำกว่า1.75จนได้
จดหมายจากมหาลัยตรงสู่มือพ่อผมทันที
พ่อบอกไม่เรียนก็กลับบ้าน
ก็ต้องตามนั้น ยอมกลับบ้าน
บอกเลยช่วงนั้นสงสารพ่อมาก
มีแต่ลูกค้าถามลูกชายเรียนจบแล้วหรอ
พ่อก็จะตอบว่า " มันไม่ยอมเรียน "
ช่วงนี้เป็นช่วงที่บอบช้ำมากๆ
มีแต่คำพูดในทางลบมาเพียบ
ทั้งคนรู้จักทั้งญาติ และผู้ใหญ่
ใครเรียนไม่จบจะรู้ดี ยิ่งเรียนไม่จบตอนปีสี่
มันสุดๆแล้ว เรียนก็เก่ง แต่ดันไม่เรียน
มิงจะเอาอะไรมาทำกิน
สารพัดคำดูถูก
แต่นี่แหละต้นทุนอีกอย่างของผม
ยิ่งคนดูถูกมาเท่าไร
เราเถียงไปก็เท่านั้น
เรามีหน้าที่แค่ทำให้เค้ารุ้ว่าเค้า
คิดผิด มันเป็นแรงถีบชั้นดีเลยทีเดียว
2.รายได้หลักแสนครั้งแรกกับไลฟ์สไตล์
พูดซะเท่เลย รายได้หลักแสนกับไลฟ์สไตล์
ดูแล้วเท่ แต่ความจริงมันไม่เท่เลย
เป็นหนึ่งในบทเรียนชั้นดีของผมเลย
ก็อย่างที่บอกครับ ผมเคยคิดจะตั้งกระทู้
ประมาณถามถึงไลฟ์สไตล์คนรายได้หลักแสน
แบบว่า อยู่ข้างบนนั้นเป็นยังไงบ้าง
เดือนละแสนวันละสามพันกว่าบาท
สุดยอดเลย แค่นี้คงพอเพียงแล้ว
แต่ความเป็นจริงมันเป็นยังไง
มาดูกัน(ย้ำอีกครั้งครับ ประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ)
ในเมื่อเรียนไม่จบ ไม่ยอมเรียน
ก็ต้องทำงาน แต่อย่างว่า ผมไม่มีความคิด
ที่จะทำงานบริษัทหรือเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่แล้ว
อาจจะเป็นเพราะมันไม่ใช่ทางของผม
แต่ถึงจุดนั้นจะทำไรหล่ะ
มันไม่มีทางไป อยู่บ้านขอเงินพ่อใช้ก็ไม่ใช่เรื่อง
สุดท้ายก็ได้สัมผัสชีวิตมนุษย์เงินเดือนครั้งแรก
ด้วยวุฒิ ปวช. ได้เงินเดือนประมาณหมื่นกว่าบาท
ทำได้ปีนึงย้ายไปๆมาๆสามสี่ที่
ที่ทำก็เพื่อหวังจะเก็บเงินก้อนมาลงทุน
แต่ก็ยังคิดไม่ออกจะทำอะไร
ของบางอย่างอยู่ใกล้ตัวมองไม่เห็น
จนที่ทำงานสุดท้าย
มีพี่ที่ทำงานมาคุยด้วย
เค้าบอกว่า พ่อมิงก็มีธุรกิจส่วนตัว
ทำไมไม่ไปทำวะ
ปิ๊ง!!เลยครับ
แต่อย่างว่าแหละ มันเป็นเส้นทางของงานหนัก
งานแบกหาม แต่ประจวบเหมาะ
มีคนในธุรกิจเดียวกับพ่อผม
เค้าเซ้งสายงานต่อ
เค้าเซ้งแสนนึง
ผมบอกเลยทำงานมาปีกว่าแล้วแต่อย่าถามเรื่องเงินเก็บเลย
ไม่มีหรอกครับ ใช้โน่นใช้นี่หมด
มันมีอะไรให้ซื้อทุกครั้งเวลาที่เงินอยู่กับตัว
ไม่มีเงินทำไง ก็ไปเจรจาสิครับ
สายงานนี้มีกำไรต่อวันประมาณ500บาท
เดือนละหมื่นห้า
ก็โอเครนะ ผมไม่ได้มองที่กำไรปัจจุบัน
แต่ผมมองว่าผมสามารถขยายมันขึ้นไปได้
ผมขอผ่อนกับเค้าโดยบอกจะจ่ายให้เดือนละหมื่น
เป็นเวลา1ปี ซึ่งเค้าก็ตกลง เพราะตัวเค้าเอง
ทำมาหลายปีแล้ว ที่เลิกเพราะยกของไม่ไหว
ขาไม่มีแรง เดินไม่ได้ ต้องให้ลูกชายเค้ามาช่วยส่งแทน
แต่ลูกชายเค้าก็มีงานต้องทำเลยตัดสินใจ
ขายกิจการ และผมก็ได้รับช่วงต่อมาทันที
พ่อผมมีรถกระบะเก่าๆคันหนึ่งซื้อมา
จากไซด์งานก่อสร้างที่เค้าเลิกใช้
ราคา30,000บาท
เก่ามากแต่ยังขับได้
เอาไว้สำรองเวลารถหลักของพ่อเสีย
ผมก็เลยขอมาใช้งาน
และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของผม
พ่อไม่ค่อยเห็นด้วยที่ผมลาออก
แต่ก็ค้านผมไม่ไหว เราทะเลาะกันแรงพอสมควร
สุดท้ายผมก็ได้รถนั้นมาและออกจากบ้านมา
ไม่รวยไม่กลับ ตอนนั้นพ่อกับผมคุยกัน
ไม่ค่อยเข้าใจ และผมก็เป็นคนหัวรั้น
ผมมาเช่าร้านสังกะสีริมทาง
มีเงินติดตัวมาประมาณ2พัน
และรถกะบะหนึ่งคน
หน้าร้านมีไว้เพื่อขายของ
และนอน ใช้ผ้าแสลมคลุมรอบร้าน
ห้องน้ำไม่มีครับ แต่เลยไปหน่อยมีปั๊มน้ำมัน
ก็ใช้ที่นั้นแหละเป็นห้องน้ำ
ช่วงนั้นเป็นอะไรที่ลำบากมากๆ
เบ็ดเสร็จหักค่าใช้จ่ายแล้ว
เหลือเก็บร้อยสองร้อยต่อวัน
แต่ผมก็ลุยต่อๆๆ
ต้นทุนอีกอย่างของผมคือ
ผมตัวใหญ่ หุ่นเหมาะกับการใช้แรงงานมากๆ
และก็เหมือนกับว่าเจอของที่ถูกกัน
ประมาณปีนึง
ผมขยายลูกค้าด้วยความที่ยังไฟแรง
พละกำลังมันเหลือ
ผมขยายลูกค้าหาสายเพิ่ม
จนได้ยอดส่งของประมาณ5-6ตันต่อวัน
ก็ย้ายจากนอนร้านไปเช่าบ้านอยู่
ทำคนเดียวลุยคนเดียว
แบกๆๆหามๆๆส่งๆๆบ้าพลังสุดๆ
ตั้งแต่ตีสามถึงสี่ทุ่ม
ไม่มีวันหยุด
จันทร์ถึงอาทิตย์
วันหยุดปีใหม่
วันหยุดราชการ
ไม่มีเลยสักวัน หยุดไม่ได้
ลูกค้าต้องใช้ของทุกวัน หยุดส่งเค้าเปลี่ยนเจ้าทันที
แบกส่งๆวนไปแบบนี้ทุกวันๆ
แลกกับรายได้ที่ทะลุแสน
แตะแสนครั้งแรกตอนอายุ22
แจ่มใหมครับ ไลฟ์สไตล์รายได้หลักแสนของผม
ใครอยากได้บ้าง
คิดเล่นๆลองหากระสอบข้าว
มาแบกเดินไปเดินกลับ
นับน้ำหนักให้ได้5ตันและแบกกลางแดด
กลางฝนหน้าหนาวก็ใส่ถุงมือหนาๆมาแบกต่อ
ตั้งแต่ตี3ถึงสี่ทุ่ม
นั้นแหละครับ
แรงกายล้วนๆเพื่อแลกเงินแสนมา
ประเด็นก็คือ ผมหาเงินได้เป็นแสน
แต่!!!!!
ผมไม่มีเงินเหลือ
ยังไม่พอ ผมยังเป็นหนี้โรงงานที่ผมไปรับของจากเขา
เกิดอะไรขึ้น ผมมาถึงเดือนละแสนแล้ว
กำไรต่อวันผม3-4พันบาท
เพราะความที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องเงิน
ได้เงินมาจากความเหนื่อย
ก็ไปเที่ยวเลิกงานตีสามไปเที่ยวกลางคืน
เลิกเที่ยวตีสองกลับมาทำงานต่อ
บางวันไม่ได้นอนติดต่อกันสองวัน
สำมเรเทเมา เพราะเข้าใจว่า
ตัวเองมีรายได้เดือนละแสน
มันติดอยู่ในหัวไงครับ
วันนี้ได้สามสี่พันใช้ไปสักพันคงไม่เป็นไร
อาทิตย์นี้ได้สองหมื่นหายไปสักห้าพันไม่เป็นไร
เพราะคิดแบบนี้ไง
ติดพนันด้วยช่วงนั้น
ลืมรายจ่ายยิบย่อย
รายจ่ายที่มองไม่เห็น
รายจ่ายที่คาดไม่ถึง
สารพัดรายจ่าย สุดท้ายติดลบ
และลบหลายๆแสนด้วย
ติดหนี้จนโงหัวแทบไม่ขึ้น
ไลฟ์สไตล์เดือนละแสน
มันโหดร้ายเหลือเกิน
และนี่คือบทเรียนสำคัญ
"การเป็นหนี้มันทรมานจนอยากตาย"
ทุกวันนี้บอกเลย ผมไม่เคยเสียใจที่เป็นหนี้ในวันนั้น
เพราะมันทำให้ผมจำและกลัวการเป็นหนี้มาจนวันนี้
หนี้ไม่กี่แสนมันอาจไม่เยอะกับบางคน
แต่กับเด็กอายุ22
มันบีบหัวใจมาก ตอนนั้นมันมืดไปหมด
นอนแล้วไม่อยากตื่น
ถึงได้เริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายขึ้นมา
กำไรเดือนละเป็นแสน
แต่สุดท้ายคำนวนแล้วหักทุกค่าใช้จ่าย
ผมมีเงินเหลือให้ใช้จริงๆแค่ไม่กี่พัน
(ผมให้เงินพ่อวันละ500ทุกวันตอนนั้นเพราะ
คิดว่าได้มากแสนให้พ่อหมื่นห้าคงไม่เป็นไร)
ทางโรงงานบอกว่าถ้าจะติดเพิ่มจะไม่ให้ของมาส่งแล้ว
ถ้าจะซื้อของต้องจ่ายเงินสดเท่านั้น
ยังดีที่เค้ายังใจดี ไม่หักธุรกิจผมลง
เพราะถ้าเค้าไม่ปล่อยของให้
ผมไม่มีของขาย คงเจ๊งไม่เป็นท่า
แต่ห้ามซื้อเงินเชื่อ และหนี้เก่าก็ต้องใช้คืนด้วย
ช่วงเวลานี้พอดีที่ผมได้เจอแฟน
แฟนผมเป็นผู้ใหญ่กว่าผม
เค้าเข้ามาในช่วงที่ผมมืดแปดด้าน
นี่คือคำตอบว่าเริ่มจาก0มันก็ยังดีกว่าการที่ต้อง
เริ่มจากติดลบมากมายมหาศาล
เริ่มจาก0เราทำเพื่อเพิ่มจาก0ไป1ไป2
แต่ถ้าเริ่มจากลบสิ่งที่คุณต้องทำคือ
เดินทางไปเริ่มที่0
ผมกัดฟันและเริ่มต้นใหม่
งานหนักเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือหนี้
ใช้เวลาประมาณ1ปี ปลดหนี้ทั้งหมดลง
ทั้งหนี้จากโรงงาน
หนี้พนัน
หนี้จากที่ไปซื้อของเงินผ่อนเค้ามา
ยกความดีความชอบให้แฟนผมเลย
เพราะเธอมีหน้าที่เก็บเงิน
ผมและแฟนจัดระเบียบงานใหม่
จัดระเบียบเงินใหม่ ปลดหนี้หมด
ลดลูกค้าลง แต่คัดลูกค้าขึ้น
พูดแล้วดูง่ายแต่ช่วงเวลา2ปีกับงานแบกหาม
เป้าหมายเพื่อปลดหนี้
มันไม่ใช่อะไรที่หมูๆเลย
เดี๋ยวมาต่อครับ^^