ถ้าเป็นคุณ จะเลือกแบบไหน มนุษย์เงินเดือน หรือ เจ้าของธุรกิจ

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาวพันธ์ทิพย์ทุกท่าน เป็นนักอ่านติดตามกระทู้ต่างๆมานานและศึกษาการทำธุรกิจจากพันธ์ทิพย์
ที่เพื่อนๆต่างพากันแชร์ประสบการ์ณกันมากมาย จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้ลงมือทำธุรกิจจากห้องนี้จนวันนี้ธุรกิจ
ได้ก่อตั้งมาได้ 8 เดือนแล้วต้องขอคุณคุณเพื่อนๆทั้งหลายที่ได้แบ่งปันสิ่งดีๆ เราหยิบเล็กผสมน้อย ลองถูกผิดมาเรื่อยๆ
จนยอดธุรกิจได้หลักแสนต่อเดือนในส่วนของยอดขาย และกำไร โดยเฉลี่ย 5หมื่น ถึง แสนนิดๆ แล้วแต่เดือน
แนวโน้มจากการทำธุรกิจมา8เดือน มีเทรนที่ยอดจะเพิ่มขึ้น เพราะเริ่มเป็นที่รู้จัก
     
    แต่....ทุกวันนี้เรายังเป็นพนักงานบริษัท ที่มีรายได้ต่อเดือน สองหมื่นเจ็ดพัน บาท (ตจว) ลักษณะการทำธุรกิจ
จะควบกับเวลางานไปด้วย ใช้เวลางานบริษัททำงานส่วนตัวด้วย หรือ ทำสองอย่างไปพร้อมๆกัน แต่เรารู้สึกว่ามันเหนื่อยมากๆ
แต่มาช่วงนี้ที่งานบริษัทเริ่มรัดตัวมีงานเข้ามามากมาย เจอแรงกดดันจากลูกค้าบ้าง จากหัวหน้างานบ้าง งานมีปัญหาต้องเข้าไปแก้บ่อยๆ
จากที่เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง กลับกลายมาเป็นคนที่ทำงานไปวันๆเพราะ เกิดอาการFail เล็กน้อยเรื่องการโปรโมทในที่ทำงาน เคยทำงานดีเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่ก็ไม่ได้รับผลใดๆตอบแทน พอทดลองไม่ทำงานแบบไฟแรงบ้าง ก็ได้ผลลัพธ์ เท่ากับทำงานยอดเยี่ยม
     
    จนเราต้องดิ้นรนหาช่องทางทำมาหากินจนเจอกับธุรกิจตัวนี้ และใช้เวลาส่วนใหญ่ทุ่มเทกับงานส่วนตัวเพราะเราทำมากได้มาก
แต่งานบริษัท ทำมากทำน้อย ได้ผลลัพธ์เท่ากัน จนมาถึงจุดๆหนึ่งที่เราอยากจะลาออกจากงานมากๆ มาทำธุรกิจส่วนตัว
แต่ ก็ยังหวาดระแวงในธุรกิจของเรามันจะเติบโตแบบนี้ไปตลอดได้หรือเปล่า จึงยังอดทนต่อการเป็นมนุษย์เงินเดือน
กินเงินเดือนสองหมื่นกว่า ที่ได้ทุกเดือนแต่ว่างานมันเริ่มน่าเบื่อแล้วกับ การลาออกมาเป็นนายของตัวเองทำธุรกิจของเราให้ดี
แต่เรากังวลเรื่องความมั่นคงในธุรกิจเพราะมีการแข่งขันกันสูงมากและพึ่งเริ่มทำได้8 เดือน เป็นเพื่อนๆจะเลือกอย่างไหนระหว่าง

1. ทนเป็นมนุษย์เงินเดือน กินเงินเดือนสองหมื่นกว่าทุกเดือนไป มีความมั่งคง มีโบนัส 3-5 เดือน หยุดเสาร์อาทิตย์
    ทำสองงานควบกันไปเหนื่อยก็อดเอา ทนต่อแรงกดดันไปเรื่อยๆ มาทำงานบ้างขาดงานบ้างตามประสาคนทำสองอย่างพร้อมกัน
    เดือนหนึ่งจะขาดงานอยู่ 2-4 วัน

2. ลาออกจากงานมาเป็นนายของตัวเองทุ่มเทเวลาเต็มที่ให้ธุรกิจ รายได้วิ่ง 5หมื่นถึง แสนต่อเดือน(ปัจจุบัน) แต่มันไม่มั่นคง
ต้องรอลุ้นยอดออเดอร์จากลุกค้าทุกวันว่าจะมีเข้ามาไหม คู่แข่งเยอะมีการตัดราคากัน ถ้าทุ่มเทเวลาเต็มที่ก็มีโอกาสเติบโตได้อีก
เพราะได้ยอดออเดอร์สินค้าตัวหนึ่งจากบริษัทที่เปิดใหม่จะได้กำไรเพิ่มจากเดิมอีก 5-7หมื่นบาท แต่มันก็ยังเสี่ยงๆอยู่นะจะได้ตลอดมั้ยน้อ

ปล.พ่อแม่ไม่อยากให้ลาออกเพราะแกอยากให้มีลูกคนหนึ่งที่ได้ทำงานดีเป็นหน้าเป็นตากับครอบครัว ค่านิยมคนสมัยก่อน
      แต่หารู้ไหมว่ามันคือลูกจ้างชัดๆ

ปล.2 ธุรกิจที่ทำใช้เงินสดในการลงทุนเงินหมุนเงินแสนสองแสนต่อเดือนไม่มีหนี้จากการทำธุรกิจ แต่มีหนี้จากรถยนต์ที่พึ่งถอยออกมา
      ใช้กำไรที่ได้จากธุรกิจมาดาว์นซื้อ ยอดหนี้รถ 6 แสนกว่า ผ่อนส่ง 5ปีเดือนล่ะหมื่นสอง
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 16
จาก  คห 14  ของ  จขกท

อาการคล้ายๆกับเราเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเลย  แต่ตอนนั้นเราอายุน้อยกว่า  จขกท นิดหน่อย  อ่านแล้วนึกว่าตัวเองละเมอมาเขียน
เราตัดสินใจลาออกจากงานประจำ  ในตอนนั้นมาลุยธุรกิจเต็มตัว  ณ ปัจจุบันี้ผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว  คิดว่าตัดสินใจถูก

เรื่้องพ่อแม่  มันเป็นธรรมดาที่เค้าจะไม่เข้าใจคุณ  อย่าคิดว่าปัญหาที่คุณเจอมันหนักหนา  แบบนี้เป็นกันแยะ  เชื่อดิ แต่เค้าไม่ค่อยมาพูดกัน  เดี๊ยวมองว่าครอบครัวแยกแยก  เราเองโดนด่าเละเหมือนกัน  เรียกว่าที่บ้านแทบจะไม่คุยกันเลยอยู่หลายปี  แต่เราก็เฉยๆหูทวนลมไป  ไม่เถียงอะไรใคร  ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไปเรื่อยๆ

ปัญหามันอยู่ที่ตัวคุณเองนั้นแหละ   ว่าจะอดทนได้มั๊ย  ยิ่งทางบ้านไม่สนับสนุน  เรื่องมันจะแยะ  อย่างเราไม่มีทุน  ต้องประหยัดสุดๆทุกวิธีที่จะเอาเงินมาลงของ  เวลาที่มันเหนื่อยๆ  คุณอาจจะคุยกับใครไม่ได้  เรียกว่า  นอนมองเพดานคิดอยู่คนเดียววว่าจะแก้ปัญหายังไง  ถ้าผ่านช่วงสามสี่ปีแรกๆไปได้  เราว่าคุณจะรอดนะ

อย่าไปสนใจ  เรื่องมั่นคงหรือไม่มั่นคง  งานประจำมันก็ไม่มั่นคงหรอก  คนน่ะมันหลอกตัวเองว่ามั่นคง  คุณจะมั่นคงก็ต่อเมื่อคุณมีเงินมากพอ  ไม่ว่าจะทำงานประจำหรือทำธุรกิจ  มั่นคงหรือไม่  มันไม่ต่างกัน  

อีกอย่างคือ  คุณต้องสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง  อย่าไปฟังคนอื่นมาก  เพราะไม่มีใครรู้สถานการณ์ดีเท่ากับตัวคุณ  แต่ความมั่นใจต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง  อย่าเพ้อฝัน  อย่ามองโลกในแง่ดีมากเกินไป

คนทั่วไปน่ะชอบพูดว่า  ทำๆไปเถอะพร้อมกัน   จ้างคนอื่นมาช่วยธุรกิจก็ได้  ทำงานประจำไปก่อน  แต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้หรอก  เราผ่านมาแล้ว  เราเข้าใจสถานการณ์แบบนั้นดี

อีกเรื่องที่จะเตือน  คือ  ทำธุรกิจ  มันเป็นธรรมดามากๆที่จะเจ๊ง  ล้มแล้วต้องรีบลุกให้เร็วที่สุด  และพยายามเก็บเงินสดไว้แยะๆหน่อย  กันกำไรเอาไว้เป็นเงินออม  เผื่อซวย  อย่าใช้เงินเดือนชนเดือน  

เวลาจะลงของมาต่อรอบใหม่  ต้องแบ่งเงินกำไรเก็บไว้ด้วย   อย่างน้อยที่สุดควรจะมีค่าอาหาร ค่าของใช้ที่จำเป็น  ค่าน้ำค่าไฟค่าผ่อนรถซักสองสามเดือน เผื่อว่าขายของไม่ออกเลยซักสองเดือนแล้วหมุนเงินไม่ทันจะได้ไม่อดตาย   อย่าทุ่มกำไรลงไปต่อของใหม่ทุกรอบ  เพื่อหวังว่าจะขยายร้านเร็วๆ    เวลามันขายของไม่ออกจะเครียด
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 24
ขอเล่าซักนิด ผมว่า จขกท อาจจะมีธงในใจแล้ว

เมื่อ 4 - 5 ปีก่อน มีน้องที่ office คนนึงใช้เวลาว่างทำเว็บขายสินค้าแฟชั่นแบบซื้อมาขายไป พอถึงจุดนึงเริ่มตั้งตัวเป็นยี่ปั้ว ส่งของให้คนอื่นเป็น 10 ไปขาย รายได้ดีมาก หลายแสน ต่อเดือนในช่วงที่บูม น้องก็เลยลาออกไปทำเต็มตัว แถมซื้อบ้านหลังใหญ่ 4 ล้านกว่า ซื้อรถ ครบ set หลังจากนั้นแค่ปีเดียว มีคนทำเลียนแบบเป็น 10 ราย แถมเจอสินค้าจากจีนโดยคนจีนนำเข้ามาตีตลาดดั้มราคามหาศาล ตอนนี้กลับมาทำงานประจำแล้ว ยี่ปั้ว ก็เลิกไปแล้ว แต่บ้านกับรถยังต้องผ่อนต่อไป แถมต้องผ่อนจัดหนักคนเดียวอีกต่างหาก  
      
   โดยส่วนตัวผมเป็นคนทำงาน 2 - 3 งานซ้อนกันอยู่แล้ว เลยชินแต่ถ้าไม่มั่นใจว่าธุรกิจเรามั่นคงระดับหนึ่ง อย่าพึ่งออก ธุรกิจมันจะมีวงจรของมัน มีขึ้น มีลง มีคู่แข่ง ยิ่งเราขายดี จะมีคนเลียนแบบ โดยเฉพาะธุรกิจซื้อมาขายไป product ไม่ใช่ของเราแท้จริง ถ้าคนอื่นหามาเหมือนเราได้ ก็สามารถแย่งลูกค้าไปจากเราได้ ลองดูหลัก 4P ครับ แล้วถามตัวเองว่าคนอื่นทำได้โดยง่ายไหม ถ้าทำเลียนแบบเราได้ยาก ออกมาเลยครับ แต่ถ้ามันไม่ยาก เดี๋ยวจะมีคนทำเลียนแบบเรา ยอดขายมันก็จะลดลง แล้วเราอยู่ได้ไหม ถ้ายิ่งเราเป็นเสาหลักของครอบครัวนี่ต้องคิดดี ๆ ครับ  

  อย่ามองรายได้ช่วงขึ้นอย่างเดียวครับ ลองสมมุติด้วยว่าถ้าขายไม่ดีขาดทุน 6 เดือน เราจะอยู่ได้ไหม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่