ผู้ชายแบบนี้คุณจะเลือกมาเป็นคู่ชีวิตไหม?

*** ยาวหน่อยนะคะ แต่อยากให้เข้าใจเนื้อเรื่อง ***

เราคบกับแฟนมา 6 ปี เขาอายุ 38 ปี เรา 34 ปี เราพูดถึงเรื่องการวางแผนอนาคตไว้ตั้งแต่คบกันปีแรก ว่ามีเป้าหมายในชีวิตยังไงบ้าง ตอนนั้นเขาอ้ำอึ้งตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้คิดเอาไว้ เราก็เลยบอกให้เขาไปวางแผน เขาก็คิดๆละบอกว่าขอเวลา 2-3 ปีจะเก็บเงินแต่งงาน ซื้อบ้าน ซื้อรถ สร้างครอบครัว ผ่านไป 3 ปี ก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เราไม่รู้เลยว่าเขามีเงินเก็บหรือป่าว เพราะเขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่เล่าชีวิตส่วนตัวให้ฟัง ต้องถามถึงบอก แต่ก็บอกไม่หมด เหมือนปกปิดอะไรไว้ไม่กล้าบอกอยู่ตลอดเวลา เราก็แอบคิดว่าเขาคงมีเงินเก็บแระ แต่ไม่อยากบอก อายุขนาดนี้แล้วทำงานมาตั้งนาน คงเอาไว้เซอร์ไพร์ทีเดียวอะไรแบบนี้ คิดแง่บวกไว้ 555 พอเราถามเรื่องที่เคยพูดไว้เขาก็บอกขอเวลาอีก 2 ปี พอครบ 5 ปี ก็บอกปีหน้า พอถึงปีหน้าก็บอกปลายปี พอถึงปลายปีเขาบอกขอเวลาอีก 2 เดือนจะมีแระ คือเหมือนผลัดไปเรื่อย พูดไปเรื่อย พอถามว่าจะมีจากอะไร มีได้ยังไง เขาตอบว่าจะหาของมาขาย โห่แค่เริ่มคิดเอง ยังไม่รู้เลยว่าจะขายได้จริงไหม กำไร 1 บาท ยังไม่เกิดขึ้นเลย ฝันกลางวันมาก ถ้าธุรกิจเริ่มอยู่แล้วกำลังไปได้ดีจะไม่งงเลยว่าเงินจะมาจากทางไหน 

----- เหตุการณ์ระหว่างทางที่เราคบกัน ----

เวลาผ่านไปแต่ละปีเราก็จะถามเรื่องการใช้ชีวิตของเราในอนาคต ว่าเราจะเอาแบบไหน อย่างไรดี เพราะอายุก็เพิ่มมากขึ้นทุกปี คุยกันทีไรก็ทะเลาะกัน เราจะเลิกหลายครั้ง แต่เขาก็ง้อและขอปรับปรุงแก้ไข เขาพยายามหาวิธีหาเงินเพิ่ม หาหนังสือมาอ่านเต็มบ้าน หมดค่าหนังสือไปหลายพัน เล่นหุ้นก็เจ๊ง ติดลบเพราะความโลภ ไปถือหุ้นตัวเล็กๆ ไม่มีปันผล เน้นเดย์เทรด เล่นหุ้น MAI จนเงินเริ่มเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ตอนแรกเราไว้ใจเขาเพราะเขาเล่นได้ และช่วยเราเลือกหุ้นด้วย ก็ดูมีความรู้กว่าเราเลยให้เป็นเหมือนโบรคเกอร์ประจำตัว มีช่วงนึงเราได้เงินมาจากบัตรกดเงินสดฟรีดอกเบี้ย 2 ยอดรวมกัน 1.2 แสน จึงให้เขาไปลงทุนเผื่อจะได้กำไรมากกว่าฝากเงินกินดอกเบี้ยเฉยๆ สุดท้ายครบกำหนดคืน หุ้นติดลบ ดอย ก็เลยถอนออกมาแต่ขาดทุนบางส่วน สรุปเราต้องควักเนื้อคืนธนาคารไปก่อน แล้วเขาก็หาเงินมาคืนเราจนครบหลังจากปิดยอดไป 6 เดือน คือพลาดมากที่คิดทำแบบนี้ หลังจากนั้นเราก็ไม่ไว้ใจให้เขาเล่นหุ้น หรือช่วยดูหุ้นให้อีกเลย เลือกเองสบายใจกว่าไม่ต้องโทษใคร เล่นเองเจ็บเอง ถ้าเลือกตัวที่จ่ายปันผลจะไม่เท่าไหร่นะ เล่นตัวไม่มีปันผลเลยสักตัว ถ้าหุ้นร่วงคือต้องรอขึ้นอย่างเดียว ถ้าไม่ขึ้นก็ต้องยอมขายขาดทุน เราก็ฉลาดน้อยเอง เงินของเขาเองยังเล่นให้ไม่เหลือ แล้วเอาเงินเราให้เขาไปก็มีแต่กับหมดลงเรื่อยๆ
 

หลังจากนั้นเขาจะออกรถยนต์ โดยที่เลือกรถเอง คุยกับเซลล์เอง มารู้อีกทีจองไปเรียบร้อยหมดแล้ว ยื่นกู้เองเรียบร้อย ดอกแพงมากกก 3.1 ผ่อน 7 ปี ดาวน์น้อยมาก พอเรารู้ก็ทะเลาะกัน ว่าทำไมไม่บอก ไม่ปรึกษากันก่อน ทำไมถึงออกรถมาดอกแพงขนาดนี้ ตอนแรกไม่ได้บอกด้วยนะ ต้องถามถึงรู้ เราไปออกรถด้วยกันฝนตกกระหน่ำเลย ลุยฝนกลับบ้าน พอออกรถมาเขาจะเอารถมาจอดบ้านเรา เพราะบ้านเขาไม่มีที่จอดและน้ำท่วมบ่อยกลัวรถพัง ก็เหมือนให้เราใช้นั้นแระ ตอนแรกเราก็ไม่เห็นด้วยจะเอามาจอดก็ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้านเขาก่อนหรือป่าว ไม่ใช่ซื้อแล้วอยากจะเอามาจอดก็จอด รถคุณๆก็เอาไปจอดบ้านคุณสิ เอามาจอดไว้นี่คุณก็ไม่ได้ใช้สิ คุณผ่อนก็ต้องได้ใช้รถ ไม่งั้นจะออกรถมาเพื่ออะไร เราเป็น ผญ ก็อยากให้ ผช มารับที่บ้านเวลาไปไหนๆ ถูกป่ะ แต่นี่เอามาจอดไว้บ้านเรา เราก็ต้องดูแลอีก ส่วนตัวเองขี่มอไซต์คันเก่าๆ เหมือนเดิม รถพังบ่อยต้องเข้าอู่ซ่อมแทบทุกเดือน เราพยายามถามบ่อยมาก เอารถยนต์ไปจอดบ้านไหม พี่จะได้ใช้ด้วย เวลาฝนตก แดดออกอะไรแบบนี้ เขาก็ไม่ยอมเอา สรุปคือทุกวันนี้เราต้องเป็นคนดูแลรถ เช็คสภาพรถ เติมน้ำมัน เติมลม ล้างรถ เช็ดรถ (ช่วงหลังเรียกร้านมารับ) คือทุกอย่างนี้จริงๆมันควรเป็นหน้าที่ ผช นะ แต่เขาไม่ยอมเอารถไปใช้อ่ะ หลังจากจองรถ จนออกรถมา รู้สึกว่าเขาดูเครียด และพูดอะไรไม่ค่อยเข้าหูเราเท่าไหร่ เราพูดอะไรนิดนึงก็เหวี่ยงใส่ แบบที่ไม่เคยป็นมาก่อน ปกติเราว่าอะไรเขาจะเงียบ แต่นี่เถียงกลับตลอด เราก็เลยจับเข่าคุยเลยว่าพี่เป็นอะไร เครียดอะไร ดูแปลกไปนะ เราก็พยายามคิดว่าเกี่ยวกับเรื่องเงินหรือป่าว จนพยายามซักถามว่า พี่เอาเงินที่ไหนมาดาวน์รถ เพราะดูเหมือนเขาไม่ค่อยมีเงิน แต่ดันทุรังไปออกรถ ก็ได้ความว่าเขาไปกู้บัตรกดเงินสดมา  3 ใบ ยอดรวมประมาณ 7 หมื่น แต่ใช้คืนไปแล้ว 1 บัตร เหลือ 2 บัตรยอด 5.6 หมื่น ซึ่งดอกเบี้ยมันเดินทุกวัน เรารู้แบบนี้ก็ตกใจมาก เท่ากับว่าเขาออกรถโดยไม่มีเงินเลยสักบาทหรอ? คุณคิดอะไรอยู่ คิดได้ยังไง แล้วเอาเงินอนาคตมาใช้อีก เท่ากับชีวิตติดลบเลยนะตอนนี้ เราก็ไม่รู้จะทำยังไง ปล่อยต่อไปดอกเบี้ยทบต้นทบดอก ยอดบานตะไทกลายเป็นแสนแน่ รถก็ต้องผ่อน เงินเดือนก็น้อยประมาณ 2 หมื่นเอง เราเลยตัดสินใจตัดบัตรให้เขาทั้งหมดและให้เขาปิดบัญชีทั้งหมดเดี๋ยวนั้น แล้วห้ามใช้มันอีก แล้วเราจะช่วย เขาก็ปิดให้เราดูเลย และให้เขาทยอยใช้คืนให้เราแทนเขาผ่อนคืนเดือนละ 2500 บาท ตอนเงินเดือนออก ตอนนี้ผ่อนมา 18 งวดแล้ว เหลือหมื่นนิดๆ 
 

มีรถก็ต้องเข้าศูนย์เช็คระยะทุก 6 เดือน เราก็ต้องเป็นคนติดต่อศูนย์เอารถเข้า ส่วนเขาขับมอไซต์ตามไปรับ ไปเป็นเพื่อน ค่าเช็คระยะเราจ่าย แล้วเขาก็โอนคืนเราทีหลัง เราก็ขอหารคนละครึ่ง พอรถครบ 1 ปี ต้องต่อประกัน เรากับเขาก็ช่วยกันหา แต่เราเป็นคนติดต่อกับโบคเกอร์และทำเรื่องตัดจ่ายผ่านบัตรเครดิตและผ่อนชำระเป็นงวด เราช่วยหารคนละครึ่ง เพราะเขาไม่ค่อยมีเงิน เขาก็ผ่อนค่าประกันกับเราเป็นงวดตามรอบบิล 
ต่อมามือถือเขาเริ่มมีปัญหา เลยจะซื้อใหม่แล้วมีผ่อน 0% 10 เดือนผ่านบัตร เขาใช้โทรศัพท์ไม่แพงราคาไม่ถึง 6 พัน เราเลยเสนอให้ใช้บัตรเราซื้อก็ได้ แล้วเขาก็ผ่อนกับเราอีกที เพราะเขาไม่มีบัตรเครดิต จะได้ไม่ต้องจ่ายตูมเดียวทั้งหมด

เขาก็หาลู่ทางหาของมาขายส่งตามร้านค้าได้สักพักนึง ดูเหมือนจะไปได้ดี ขายได้เรื่อยๆ ของหนักเราก็ใช้รถยนต์ไปส่งของด้วยกัน แต่สุดท้ายกำไรที่ได้เอามาเลี้ยงข้าว และเอาไปใช้ส่วนตัวหมด ไม่เหลือเก็บ ไม่ได้แยกกระเป๋าใดๆ เท่ากับที่ทำมา 0 เปล่า ได้แค่ ปสก แต่ไม่มีเงินเก็บเอาไว้ใช้ในอนาคตเลย เราอยากให้เขามีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินบ้าง เกิดอะไรขึ้นมาต้องใช้เงินก้อนจะทำยังไง จะเอาเงินจากไหนใช้ เราก็สอนเขาๆก็ตอบ “ครับ”

ส่วนเราก็ไปเจอธุรกิจตัวหนึ่งลงทุนไปเยอะประมาณนึง สุดท้ายขายไม่ได้ แฟนจึงหาวิธีระบายสินค้าให้ จนมันขายได้และได้ทุนคืน แต่ยังขาดทุนอยู่ ก็เลยหาวิธีต่อยอดลงทุนต่อเรื่อยๆ จนพลิกได้กำไรกลับมา เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้เขา ถ้าเขาไม่ช่วย เงินเราก็ศูนย์ไปเยอะ เราจึงแบ่งกำไรให้เขาโอนให้ในวันเกิด 5 หมื่นบาท จากที่คิดว่าจะแบ่งให้เขาเป็น % แต่เปลี่ยนใจ เพราะเงินก้อนแรกที่ให้ไป เขาบอกไม่อยากได้ แต่ก็ไม่ได้โอนคืนหรืออะไรนะ สุดท้ายเงินก้อนนั้นเขาเอาไปใช้จะหมดแล้ว เราก็บอกว่า ทำไมไม่เก็บไว้ต่อยอดลงทุนทำอย่างอื่น ไม่รู้จักเก็บเงินบ้างแล้วเมื่อไหร่จะมีเงินสักที เอาไปใช้หมดทำไม เขาบอกว่าเดี๋ยวเขาจัดการเองล่ะน่า เราคิดว่าถ้าให้เงินเขาไปอีก เขาก็ใช้หมดอีก เราเก็บไว้เองดีกว่า และเราหงุดหงิดที่รถเขาพังบ่อยมาก หมดค่าซ่อมไปไม่รู้กี่ครั้ง เขาก็ไม่ยอมแก้ปัญหา ซื้อใหม่ให้จบๆไป มือ 2 สภาพดีก็ได้ เขาก็เริ่มดูในเพจและตามร้านนะ แต่เราไม่รู้ว่าเขามีเงินเก็บบ้างหรือป่าว เราเลยคิดที่จะซื้อรถมอไซต์คันใหม่ให้เขา แต่ไม่รู้จะใช้ชื่อใครดี เพราะรถยนต์เป็นชื่อเขาแต่เราใช้  เขาจะขับตอนมาหาเราวันหยุด ออกไปข้างนอกด้วยกัน ถ้าเป็นชื่อเราก็เหมือนสลับรถกันใช้คนละคัน แต่ถ้าเขาไปขับชนกับอะไรเข้าเราก็จะเดือดร้อนอีก ถ้าเป็นชื่อเขาแล้วถ้าเราเลิกกันไปทั้งรถยนต์และมอไซต์จะเป็นชื่อเขาหมดเลย เราก็เลยยังไม่ทำอะไรในตอนนี้รอดูสถานการณ์ก่อน จากที่ทะเลาะกันล่าสุด เราเสนอให้เขาแบ่งเงินเก็บไว้บ้าง อายุจะ 40 แล้ว ยังไม่มีเงินเก็บอีกหรอ อนาคตอยู่ที่ไหน เขาเลยจะเริ่มเก็บเงินโดยฝากเราไว้เดือนละ 3 พัน เราเลยพูดว่า “ถ้าพี่เริ่มเก็บเงินตั้งแต่ที่พูดเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตอนนี้พี่จะมีเงินเก็บ 2 แสนบาทแล้ว” เรารู้สึกว่าเขาเหมือนเด็กที่ไม่โตคิดเองก็ไม่ได้ แก้ปัญหาก็ไม่เป็น แต่อายุและผมหงอกไปหมดแล้ว 

*** มีต่อ EP2 นะคะ ***

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
ตั้งตัวยากครับ เท่าที่อ่าน

มีแต่ใช้เงิน เที่ยว กิน
ฝ่ายชายคงอยากประหยัด
แต่ต้องตามใจฝ่ายหญิง
ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายเลือกที่เที่ยว
โรงแรม ร้านอาหาร

ฝ่ายชายกัดฟันจ่าย หารคนครึ่ง ไม่มีเงินเก็บ
แต่ฝ่ายหญิงกลับคาดหวังว่าฝ่ายชายมีเงินเก็บ

แก้ยากครับ เพราะไม่ประหยัด
ครอบครัวอื่นรายได้เท่ากัน
แต่เขาหุงข้าว ซื้อแกงถุง ทำกินเอง
เวลาเที่ยวก็ทำอาหารไปกิน ฯลฯ
แต่ผ่อนรถหมดแล้ว หรือจ่ายสด
ความคิดเห็นที่ 9
เค้าอายุ 38 แล้ว แต่วินัยทางการเงินพังพินาศมาก คุณจะเลี้ยงผู้ชายไหวไหมล่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่