การที่จะออกแบบระบบ หรือ วางแผน ทุกๆอย่างจะแบ่งการ ออกแบบระบบ เป็น 2 แบบ คร่าวๆ คือ ระบบ แบบ Passive และ Active เสมอ ดังนั้นก่อนอื่นลองมาเข้าใจคำว่า Passive และ Active ก่อน น่ะครับ
1. Passive ถ้าแปลแบบบ้าน ๆ ก็คือ อยู่เฉยๆ ถ้ารวมกับคำว่า Plan ที่แปลว่าวางแผน ก็คือ แผนทีวางเอาไว้ แล้วให้คนอื่นทำตาม เพื่อบรรลุเป้าหมาย ....(สุดท้ายจะได้ไม่ได้ค่อยว่ากัน) ถ้าไม่สำเร็จก็จะ วางแผนใหม่ ให้คนอื่นทำตามใหม่ ถ้าสังเกตุดีๆ ก็คือ งานในรูปแบบราชการไทย ซึ่งจะมีการกำหนดนโยบาบ ลงมาเป็นทอด ให้ผู้ที่มีระดับชั้นตํ่ากว่า ปฏิบัติตาม ใครไม่ทำก็โดนเด้ง ถ้าแผนไม่ดี ก็ค่อยเขียนแผนใหม่ แต่ข้อดีของระบบนี้ คือ สามารถที่ทำให้องค์ที่มีการวางระบบแบบนี้ อยู่เฉยๆ ได้ ไม่ดีขึ้น และ ก็ไม่แย่ ลง ถ้าดีขึ้น ก็จะดีขึ้นแบบช้าๆ ถ้าแย่ลง ก็จะรู้ว่าแย่ลง ก็จะปรับเปลี่ยนแผนได้
2. Active ถ้าแปลบ้านๆ ก็แปลว่า ตื่นตัว ถ้ารวมกับคำว่า Plan ก็จะหมายถึงแผนงานที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาโดยการนำข้อผิดพลาดมาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไข ถ้าสังเกตุดีๆ ก็คืองาน เอกชนไทย เลยครับ ที่ต้องมีการนำ ผลประกอบการ รายได้ รายจ่าย KPI ของแต่ละบุคคล ความพึงพอใจลูกค้า มากำหนดนโยบายบริษัทแบบปีต่อปี เอกชนบางที่แทบจะเปลี่ยนแผนงานทุกๆไตรมาส ข้อดีของการวางแผนแบบนี้มีมากครับ แต่ข้อเสียก็ยังมีคือความเครียด ความเหนื่อยล้าของการทำงาน และความเสี่ยงต่อการถูกด่า จะมีมากกว่า แบบ Passive Plan
ส่วนแผนไหนดีกว่ากัน ลองดูภาพและเชิญออกความคิดเห็นกันได้เลยครับ .......
ข้อแตกต่างระหว่างการวางแผน แบบ Passive และ Active สำหรับฟุตบอลไทย
1. Passive ถ้าแปลแบบบ้าน ๆ ก็คือ อยู่เฉยๆ ถ้ารวมกับคำว่า Plan ที่แปลว่าวางแผน ก็คือ แผนทีวางเอาไว้ แล้วให้คนอื่นทำตาม เพื่อบรรลุเป้าหมาย ....(สุดท้ายจะได้ไม่ได้ค่อยว่ากัน) ถ้าไม่สำเร็จก็จะ วางแผนใหม่ ให้คนอื่นทำตามใหม่ ถ้าสังเกตุดีๆ ก็คือ งานในรูปแบบราชการไทย ซึ่งจะมีการกำหนดนโยบาบ ลงมาเป็นทอด ให้ผู้ที่มีระดับชั้นตํ่ากว่า ปฏิบัติตาม ใครไม่ทำก็โดนเด้ง ถ้าแผนไม่ดี ก็ค่อยเขียนแผนใหม่ แต่ข้อดีของระบบนี้ คือ สามารถที่ทำให้องค์ที่มีการวางระบบแบบนี้ อยู่เฉยๆ ได้ ไม่ดีขึ้น และ ก็ไม่แย่ ลง ถ้าดีขึ้น ก็จะดีขึ้นแบบช้าๆ ถ้าแย่ลง ก็จะรู้ว่าแย่ลง ก็จะปรับเปลี่ยนแผนได้
2. Active ถ้าแปลบ้านๆ ก็แปลว่า ตื่นตัว ถ้ารวมกับคำว่า Plan ก็จะหมายถึงแผนงานที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาโดยการนำข้อผิดพลาดมาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไข ถ้าสังเกตุดีๆ ก็คืองาน เอกชนไทย เลยครับ ที่ต้องมีการนำ ผลประกอบการ รายได้ รายจ่าย KPI ของแต่ละบุคคล ความพึงพอใจลูกค้า มากำหนดนโยบายบริษัทแบบปีต่อปี เอกชนบางที่แทบจะเปลี่ยนแผนงานทุกๆไตรมาส ข้อดีของการวางแผนแบบนี้มีมากครับ แต่ข้อเสียก็ยังมีคือความเครียด ความเหนื่อยล้าของการทำงาน และความเสี่ยงต่อการถูกด่า จะมีมากกว่า แบบ Passive Plan
ส่วนแผนไหนดีกว่ากัน ลองดูภาพและเชิญออกความคิดเห็นกันได้เลยครับ .......