ในฝั่งฝัน (บทที่ 12)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ อุรุเวลาเสนานิคม, คุณ หญิงคนรองแห่งบ้านทรายทอง, คุณ สมาชิกหมายเลข 3415748, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณนัน turtle_cheesecake, น้องดาว Lady Star 919, คุณ ริมแม่โขง, คุณ PuPaKae
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนๆ ค่ะ
บทแรก - บทที่ 1  http://ppantip.com/topic/35638204
บทที่ 2 - บทที่ 3  http://ppantip.com/topic/35648626
บทที่ 4  http://ppantip.com/topic/35655325
บทที่ 5  http://ppantip.com/topic/35665748
บทที่ 6  http://ppantip.com/topic/35669708
บทที่ 7  http://ppantip.com/topic/35673616
บทที่ 8  http://ppantip.com/topic/35680516
บทที่ 9  http://ppantip.com/topic/35683775
บทที่ 10 http://ppantip.com/topic/35688063
บทที่ 11  http://ppantip.com/topic/35695077



บทที่ 12



เมื่อเดินผ่านห้องเรียนห้องนั้นกริชอดมองเข้าไปภายในเสียมิได้ คนซึ่งยืนอยู่หน้าชั้นมองตอบกลับมาแล้วยิ้มให้ เขาเองเสียอีกกลับเป็นฝ่ายต้องหลบ พอดีกับเสียงเด็กๆ ท่องกลอนบทแม่กงจบลง และเริ่มขึ้นแม่กก

‘ขึ้นกก ตกทุกข์ยาก   แสนลำบากจากเวียงชัย    
มันเผือกเลือกเผาไฟ   กินผลไม้ได้เป็นแรง    
รอน ๆ อ่อนอัสดง   พระสุริยงเย็นยอแสง    
ช่วงดังน้ำครั่งแดง   แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร  
ลิงค่างครางโครกครอก   ฝูงจิ้งจอกออกเห่าหอน    
ชะนีวิเวกวอน   นกหกร่อนนอนวังเวียง ’


เสียงท่องบทกลอนจากมูลบทบรรพกิจนี้เปรียบเสมือนเสียงสวรรค์สำหรับเขาก็ว่าได้ หวังอยู่ก็แต่ว่าเสียงท่องบ่นเจื้อยแจ้วลักษณะนี้จะคงอยู่ต่อไปอีกนานเท่านาน

หยุดยืนฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ใช้ฝาเรือนไม้เป็นเครื่องกำบังตัวเสียเพื่อมิให้คนข้างในมองออกมาเห็น ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนสมาธิของเด็กนักเรียนในห้องเรียนโดยใช่เหตุ

เมื่อปลายเดือนที่แล้ว กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดอาคารโรงเรียนเพื่อใช้เป็นที่ตั้งค่าย ครูสาวและไม่สาวที่มีอยู่สามคนจึงไม่กล้ามาสอนหนังสือกันอีก เหลืออยู่ก็แต่ครูพรหมซึ่งอายุก็มากแล้ว ครูพรหมเป็นครูซึ่งกริชชื่นชมเสมอว่ามีจิตสำนึกของความเป็นครูอยู่เต็มเปี่ยม หลังจากที่ทหารญี่ปุ่นเข้ายึดอาคารโรงเรียนไปแล้ว เขาจำต้องประกาศปิดโรงเรียนชั่วคราวเพื่อหาที่ให้เด็กๆ ได้เรียนหนังสือกันต่อ จนพระยาพิชัยบุรีผู้ซึ่งอพยพครอบครัวหนีภัยสงครามมาอยู่ชะอำรู้เข้าก็ให้เป็นเดือดเป็นร้อนแทน

‘อุบ๊ะ! มันทำอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน มา…พ่อกริช เราไปเจรจากับพวกญี่ปุ่นด้วยกัน’

อดีตสมุหเทศาภิบาลสูงวัยเข้าคว้าข้อมือนายธรรมการหนุ่มอย่างสนิทสนม แล้วพาลิ่วไปเจรจากับผู้บัญชาการกองทหารญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ทั้งเกลี้ยทั้งกล่อมจนฝ่ายนั้นยอมย้ายไปสร้างเพิงที่พักชั่วคราวบนพื้นที่ว่างข้างตัวอาคาร เมื่อก่อนตรงนั้นเคยเป็นลานดินโล่งๆ เป็นที่วิ่งเล่นของเด็กนักเรียนในช่วงพักกลางวัน จึงกลายเป็นทำเลเหมาะที่จะตั้งค่ายกางเต็นท์ทหาร

หากแม้จะยังคงอาคารเรียนไว้ได้ สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไรเลย กริชไปตามครูผู้หญิงทั้งสามคนให้กลับมาสอนหนังสือต่อ แต่พอครูประเทือง ครูบุญนำ และครูเล็ก มาเห็นว่าทหารต่างด้าวไม่ได้ไปไหนไกล ยังคงอยู่กันข้างตัวอาคารเรียนนั่นเอง ก็พากันขอลาหยุดงานอย่างไม่มีกำหนดไปพร้อมกัน คราวนี้ขอลางานอย่างเป็นทางการเสียด้วย ไม่ใช่หายไปเฉยๆ อย่างคราวก่อน เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อครูทั้งสามคนไม่ใช่ข้าราชการประจำ

ที่ร้ายยิ่งกว่าคือพ่อแม่ไม่ค่อยยอมปล่อยให้ลูกๆ มาโรงเรียนเสียอีก มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าในเมื่อตรงนั้นเป็นที่ตั้งค่ายทหาร อีกไม่นานก็จะถูกบอมบ์เหมือนในพระนคร วันไหนที่เด็กหายไปหลายคน ครูพรหมจะดั้นด้นไปตามตัวถึงบ้าน แต่เมื่อมักไม่ได้ผล จำนวนเด็กที่ยอมมาเรียนหนังสือมีลดน้อยลงทุกที แกจึงเลิกไปตาม และจำใจสอนเท่าที่มีเหลืออยู่

กริชได้ขอให้ครูพรหมทำหน้าที่ครูใหญ่ของโรงเรียนก่อนหน้าจะเกิดสงครามได้ไม่นาน นั่นเป็นตำแหน่งเดียวในเวลานี้ที่ได้รับการบรรจุเข้าเป็นข้าราชการประจำ พอดีกับเขากำลังทำเรื่องขอตำแหน่งให้ครูเท่าที่มีอยู่ได้เป็นข้าราชการมีเงินเดือนประจำเช่นกัน แต่มาเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นเสียก่อน ทุกอย่างจึงถูกระงับไว้เพียงแค่นั้น

เมื่อไม่มีเงินเดือนที่แน่นอน พอมีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล ครูซึ่งเมื่อก่อนมีกันเพียงสองคน และต่อมาหาเพิ่มได้อีกสอง ก็เริ่มมาสอนบ้างไม่มาบ้าง จนในที่สุดก็หยุดสอนกันไปหมด เหลืออยู่ก็แต่ครูพรหมเพียงคนเดียว กริชต้องจัดให้นักเรียนทุกระดับชั้นมารวมกันอีกครั้ง แล้วแบ่งกันสอนเป็นสองห้อง

จนสามอาทิตย์ก่อน เมื่อพระยาพิชัยบุรีมาเยี่ยมเยียนที่ที่ทำการอำเภอพร้อมด้วยลูกสาวคนเล็ก เขาแทบหล่นจากเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่เมื่อได้ยินหล่อนเสนอขึ้นเอง

‘ให้นวลมาช่วยสอนได้ไหมคะพี่กริช’

หันมองบิดาของหล่อนเพื่อขอความช่วยเหลือ ร่างอวบท้วมยืนหันหลังให้ กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง สองมือไพล่หลัง มีนายอำเภออรุณยืนอยู่ข้างๆ กำลังคุยกันอย่างออกรสทีเดียว

นวลพรรณเห็นสายตาลังเลของนายธรรมการหนุ่มก็พอบอกได้ว่าเขาไม่เห็นด้วย จึงหันไปออดอ้อนบิดาแทน

‘นะคะคุณพ่อ ให้นวลไปช่วยสอนที่โรงเรียนนะคะ’

‘คุณพ่อ’ ละสายตาจากทหารญี่ปุ่นสี่ห้าคนซึ่งเพิ่งขับรถจิ๊ปผ่านหน้าที่ทำการอำเภอ เหลียวหลังมาดู

‘โรงเรียนไหน’ ท่านยังปะติดปะต่อเรื่องราวที่หนุ่มสาวกำลังคุยกันไม่ได้

‘โรงเรียนพี่กริชไงคะ’

โรงเรียนประจำอำเภอกลายเป็น ‘โรงเรียนพี่กริช’ ไปเสียแล้ว

‘เอางั้นเรอะ’ ท่านหัวเราะลงลูกคออย่างชอบอกชอบใจ

ไม่ต้องมีใครช่วยยืนยัน กริชก็รู้ว่าเจ้าคุณพิชัยฯตามใจบุตรสาวคนสุดท้องมากเพียงไร นวลพรรณเหมือนลูกหลงซึ่งท่านมีเมื่ออายุเข้าวัยกลางคนแล้ว เขาเคยได้ยินท่านบอกนายอำเภออรุณว่า

‘มีลูกตอนแก่ก็อย่างนี้แหละขุนแม้น พี่ๆ แม่นวลโตออกเรือนจนมีลูกมีเต้ากันไปหมดแล้วแม่นวลเขาเพิ่งจะคลอด’

ภรรยาคนหลังสุดของท่านนั้นยังสาวอยู่มาก กริชกะประมาณอายุคุณบุญเรือนเท่าที่เห็นเพียงครั้งสองครั้ง ก็พอบอกได้ว่าคงไม่มากไม่น้อยไปกว่าคุณวิไลสักเท่าไรนัก หล่อนเป็นคนเงียบๆ สงบเสงี่ยม ผิดกับลูกสาวซึ่งเปิดเผย เป็นกันเอง และร่าเริงอยู่เสมอ

‘ก็ดีเหมือนกันนะพ่อกริช ยิ่งขาดครูอยู่อย่างนี้ให้แม่นวลมาช่วยสอนอีกสักคนจะได้ไม่ต้องลำบากกันนัก’

นั่นไง…กริชว่าแล้ว ถ้าขอความเห็นจากท่าน คุณนวลพรรณว่าอย่างไรท่านก็ว่าอย่างนั้นนั่นแหละ แถมยังช่วยโฆษณาสรรพคุณลูกสาวเสร็จสรรพ

‘แม่นวลก็จบแปดแล้ว คงพอสอนชั้นมูลหรือชั้นประถมได้ดอก’

เมื่อท่านว่าอย่างนั้น กริชจะค้านได้อย่างไร ขนาดครูพรหมจบมัธยมต้นก็ยังสอนได้ทั้งชั้นประถมและมัธยม ยิ่งสมัยนี้คนที่จบชั้นมัธยมแปดเรียกว่าเรียนสูงพอที่จะสอนหนังสือแล้ว

นวลพรรณไม่มีโอกาสได้สอบเข้าเรียนในจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เหตุก็เพราะเกิดสงครามขึ้นเสียก่อน การสอบจึงต้องระงับไปชั่วคราว ปีหน้าก็ไม่แน่ว่าจะมีการสอบกันหรือไม่เพราะไม่มีใครรู้ว่าสงครามจะสงบเมื่อไร เรื่องที่ว่าสาวน้อยจะผิดหวังบ้างไหมนั้นไม่มีใครบอกได้ ในเมื่อหล่อนร่าเริงและมองทุกสิ่งทุกอย่างแต่ในด้านดีได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายออกอย่างนี้

การสอนหนังสือยามสงครามเช่นนี้นวลพรรณอาจเห็นเป็นเรื่องสนุก แต่สำหรับกริชแล้วกลับเป็นเรื่องน่าหนักใจ เขามีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยของทุกคน นับแต่มีค่ายทหารมาตั้งอยู่ข้างๆ ทั้งนักเรียนทั้งครูต้องทนฟังเสียงรถทหารวิ่งไปวิ่งมามิได้หยุดหย่อน เสียงตะโกนโหวกเหวกมีมาให้ได้ยินอยู่เป็นพักๆ ที่ร้ายคือเสียงฝึกยิงปืน นั่นทำให้เด็กนักเรียนอกสั่นขวัญผวาไปตามๆ กัน จนบางครั้งเขาต้องไปขอร้องให้เพลาๆ ลงเสียบ้าง

ที่น่าหนักใจที่สุดถ้าลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าคุณพิชัยมาช่วยสอนหนังสือก็ตรงที่ทุกเย็นมักจะมีทหารญี่ปุ่นออกมาอาบน้ำในสภาพที่อุจาดตากันกลางแจ้ง ด้านหลังของตัวอาคารไม้ซึ่งทหารญี่ปุ่นสร้างขึ้นแบบง่ายๆ นั้นมีถังน้ำใช้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ พอแดดร่มลมตกจะมีทหารนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเล็กจนแทบปิดอะไรไม่มิดออกมาอาบน้ำกันเป็นกลุ่ม มองจากอาคารเรียนก็เห็น

ครูพรหมเป็นเดือดเป็นร้อนเสียยิ่งกว่าใคร แกทนดูไม่ได้เอาเลยทีเดียว ก่อนนี้แกเคยจัดให้เด็กนักเรียนอยู่ทำความสะอาดอาคารเรียนหลังเลิกเรียนแล้ววันละสามคน โดยตัวแกเองจะอยู่คุม แต่พอเห็นอย่างนั้นก็จำต้องเลิก เพราะนักเรียนชายเอาแต่แอบดูทหารอาบน้ำแล้วหัวเราะกันคิกคัก นักเรียนหญิงแทบทำอะไรไม่ถูก มัวแต่อับอายกันจนจับอะไรไม่ติด

ที่สำคัญคือแกเป็นห่วงนักเรียนหญิง หลายๆ คนเริ่มเป็นสาวกันแล้ว จะปล่อยให้อยู่ท่ามกลางทหารหนุ่มๆ อาบน้ำแบบที่แทบจะเรียกได้ว่านุ่งลมห่มฟ้าเช่นนั้นได้อย่างไร

เมื่อนายธรรมการกับครูอาวุโสจับเข่าปรึกษากัน ก็เห็นพ้องต้องกันว่าควรเลิกให้เด็กๆ อยู่เย็นเสีย ตัวกริชเองรับเป็นคนอยู่ดูแลความเรียบร้อยของบริเวณอาคารหลังเลิกเรียน และตกลงกันว่าจะเริ่มปล่อยให้นักเรียนกลับบ้านเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย เพื่อเด็กๆ จะไปจากบริเวณนั้นเสียก่อนที่ทหารญี่ปุ่นจะเริ่มอาบน้ำกันนั่นแหละ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่