จำได้ไหม พวกเรายังจำได้ไหม ทางเท้าสยามเคยจัดระเบียบมาแล้วเมื่อปี 54 แต่ไม่สำเร็จ

กระทู้สนทนา
ขอคืนทางเท้าให้ประชาชนตาดำๆ ได้สำเร็จในครั้งนี้ด้วยเถอะ เราติดตามมาตั้งแต่ปี 54 ไปสยามทีไร  เวลาจะขึ้นจะลง รถเมล์ ลำบากมากก รถจะเฉี่ยวเอา เพราะต้องรีบเดินเลยเผลอลงไปบนถนน มันก็อ้างกันเป็นทอดๆๆ    ทั้งๆที่จริง ทางเท้ามันเป็นที่สาธารณะของส่วนรวม ไม่ใช่ของกลุ่มแม่ค้าเอามาหาประโยชน์  พวกเราบางคนมักใช้กฎหมู่ เปลี่ยนจากสิ่งที่ผิดให้เป็นถูกกันอยู่บ่อยๆ ไม่เอานะคะ แม่ค้าทั้งหลาย Change ค่ะ เปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า

ปัญหาหาบเร่แผงลอยบนทางเท้าสยามสแควร์กับภาพลักษณ์มาเฟีย
วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 09:30:35 น.  ที่มา หนงสือพิมพ์มติชน

พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ptorsuwan@yahoo.com

สองสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายคนที่ผ่านไปที่สยามสแควร์บริเวณริมถนนพระราม 1 อาจจะเห็นภาพที่แปลกตาคือ ภาพกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ รูปทรงจั่วสามเหลี่ยม มีลักษณะเป็นโครงเหล็กและตะแกรงใส่ถุงบรรจุต้นไม้ขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก คล้ายกับแปลงปลูกผักลอยฟ้า วางเรียงรายตลอดแนวทางเท้าด้านหน้าสยามสแควร์ และสำหรับคนที่อยู่บริเวณสยามสแควร์หรือคนที่ผ่านมาแต่บังเอิญอาจได้ประสบกับภาพการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยบนทางเท้าแห่งนี้บนถนนพระราม 1 ซึ่งมีประมาณกว่าร้อยคน มีการชูป้ายโจมตีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีการยกโครงเหล็กปลูกต้นไม้ดังกล่าวทุ่มลงบนถนนจนมีเศษซากต้นไม้เกลื่อนกลาด กลายเป็นภาพที่เห็นแล้วสุดแสนสะท้อนใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับสังคมใจกลางเมืองกรุงเทพฯแห่งนี้

ปัญหาเรื่องหาบเร่แผงลอยเป็นปัญหาหมักหมมในสังคมเมืองกรุงฯมาช้านาน และไม่ใช่แต่เฉพาะพื้นที่ในสยามสแควร์เท่านั้นที่ส่อจะเกิดความขัดแย้งบานปลายเป็นความรุนแรงได้ ปัญหาหาบเร่แผงลอยกลายเป็นยาดำที่ภาครัฐและผู้บริหารเมืองไม่อยากจะเข้ามาแตะต้องเลย เนื่องจากประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องจริยธรรมเพราะสัมพันธ์กับเรื่องการทำมาหากินเลี้ยงชีพของบรรดาผู้คนด้อยโอกาส กลายเป็นการละเลย ละเว้นของผู้บริหารระดับสูง เกิดเป็นช่องว่างในการแสวงหาประโยชน์จากเจ้าหน้าที่ระดับรอง ๆ ลงมา ไปจนถึงผู้มีอิทธิพลซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ ทั้งตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครด้วย กลายเป็นประเพณีเรียกเก็บส่วยสำหรับการใช้พื้นที่ทางเท้าสาธารณะเพื่อการค้าโดยบรรดาเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไปโดยปริยาย

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าบาทวิถีทางเท้าเป็นสมบัติสาธารณะ มีไว้เพื่อการสัญจรของผู้คนโดยทั่วไป สำหรับกรณีสยามสแควร์นั้น จะอยู่ในความดูแลของกรุงเทพมหานคร เพราะถึงแม้ว่าที่ดินสยามสแควร์จะเป็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ตาม แต่บาทวิถีริมถนนพระราม 1ก็ได้ถูกใช้เป็นทางสาธารณะมาช้านาน จึงเป็นหน้าที่ของทางกรุงเทพมหานครโดยตรงที่จะต้องกำกับดูแลให้เป็นไปโดยเรียบร้อย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบนทางเท้ารอบสยามสแควร์ก็คือการแปลงสภาพของทางเดินสาธารณะกลายเป็นตลาดนัดกลางคืนมานานหลายปี กล่าวคือจะมีพ่อค้าแม่ค้าขนสินค้ามาวางขายจับจองบนทางเดินเท้าเต็มจนบริเวณ แทบจะไม่มีพื้นที่เหลือให้คนได้สัญจรอย่างปรกติ เพราะพื้นที่เหลืออันน้อยนิดเมื่อมีลูกค้าหยุดดูสินค้าก็จะปิดทางเดินสัญจรไปโดยปริยาย ในสมัยก่อนช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองนั้น การยึดพื้นที่ทางเท้าจะเป็นช่วงหัวค่ำเป็นต้นไป แต่หลังเหตุการณ์ชุมนุมสงบลงในเดือนพฤษภาคม 2553 แล้วก็มีการตั้งแผงลอยขายของกันหนาแน่นตั้งแต่ช่วงบ่ายกันเลยทีเดียว

เหตุการณ์วุ่นวายในย่านการค้าใจกลางเมืองเกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งมีภาระหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการดูแลพื้นที่สาธารณะอย่างสำนักเทศกิจ ซึ่งสังกัดกรุงเทพมหานครกลับเพิกเฉย เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราค่าเช่าพื้นที่การค้าในบริเวณสยามสแควร์ซึ่งเป็นอัตราที่สูงลิบ ทำให้เกิดแรงจูงใจในการถือโอกาสยักยอกเอาพื้นที่สาธารณะมาปล่อยให้ทำการค้าโดยสมประโยชน์ต่างตอบแทน

ดังนั้นความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นให้เห็นเป็นครั้งแรกเมื่อจุฬาฯซึ่งเป็นเจ้าของสยามสแควร์จำเป็นที่จะต้องจัดการกับปัญหาเอง โดยครั้งแรกก็ได้อาศัยกลุ่มชายฉกรรจ์นับร้อยคนยืนเรียงรายปิดกั้นการเข้ามาของผู้ค้าแผงลอย จนกระทั่งมีการกระทบกระทั่งกันหลายครั้ง และเป็นที่ทราบกันดีว่ากลุ่มชายฉกรรจ์เหล่าได้ถูกว่าจ้างมาโดยจุฬาฯ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าทุกคนจะใส่เสื้อสีชมพูติดสัญลักษณ์พระเกี้ยว แต่ปฏิบัติการครั้งนั้นกลับได้ผลเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ  เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น


หลังจากนั้นบรรดากลุ่มหาบเร่แผงลอยก็สามารถกลับเข้ามายึดครองพื้นที่บาทวิถีได้เหมือนเดิม และอาจจะหนักมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ดังจะสังเกตได้ว่าสมัยก่อนมีปฏิบัติการชายฉกรรจ์ บริเวณหน้าโรงหนังลิโดจะมีการเว้นช่วงปลอดหาบเร่แผงลอยไว้ แต่หลังจากการเข้ามาใหม่จะเห็นว่ามีการตั้งแผงอยู่ตลอดแนวทีเดียว

จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้ค้าแผงลอยไม่ใช่กลุ่มคนยากคนจนคนด้อยโอกาสเสียทั้งหมด มีแผงลอยจำนวนมากซึ่งมีเจ้าของตัวจริงไม่กี่ราย โดยมีการว่าจ้างพนักงานขายออกมาจับจองพื้นที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ เจ้าของแผงพวกนี้ส่วนใหญ่จะขายสินค้าพวกเสื้อผ้า เครื่องหนัง เครื่องประดับ เครื่องสำอาง ส่วนหนึ่งก็เป็นสินค้าหนีภาษีและสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย

ผู้ประกอบการเหล่านี้จึงมิใช่เป็นผู้ค้าที่ด้อยโอกาสอย่างที่พยายามสร้างภาพให้เป็นกัน แต่เป็นผู้มีศักยภาพถึงแม้ว่าอาจจะไม่สามารถเรียกว่าเป็นผู้มีอิทธิพลได้เต็มปากนัก เพราะแน่นอนว่าย่อมจะมีสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐในหลายระดับในการดำเนินธุรกิจประเภทนี้ ดังนั้นการใช้กองกำลังของมหาวิทยาลัยจึงไม่ได้ผล แต่กลับกลายเป็นกระแสทางสังคมสะท้อนกลับมาที่มหาวิทยาลัยเอง จนกระทั่งปฏิบัติการนี้ต้องถูกล้มเลิกไป

ในเวลาต่อมาทางมหาวิทยาลัยก็มีมาตรการครั้งใหม่ คือใช้วิธีการเจรจา โดยการขอร้องให้ผู้ค้าเหล่านี้ย้ายไปบริเวณด้านหลังของสยามสแควร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารสยามกิตติ์ โดยมหาวิทยาลัยมีแผนที่จะจัดให้เป็นกิจกรรมตลาดนักกลางคืน มีการเดินระบบไฟฟ้าส่องสว่างไว้ให้อย่างดี แต่ดูเหมือนว่าบรรดาผู้ค้าก็ไม่ประสงค์ที่จะย้ายออกไปจากบาทวิถีริมถนนพระราม 1 แต่อย่างใด

จนในที่สุดทางมหาวิทยาลัยจึงได้จัดให้มีกระถางปลูกต้นไม้รูปจั่วขนาดใหญ่ดังกล่าวมาวางปิดกั้นไม่ให้สามารถตั้งแผงลอยได้ จนเกิดการชุมนุมประท้วงของบรรดาผู้ค้าแผงลอยกว่าร้อยคนปิดถนนพระราม 1 การทำร้ายร่างกาย ไปจนถึงการทำลายทรัพย์สินคือการทุ่มกระถางต้นไม้เหล่านั้นลงบนถนน การเขียนป้ายด่าประจานจุฬาฯอย่างเสียหายแปะไว้บนบนโครงเหล็กกระถางต้นไม้เหล่านั้น

สิ่งเหล่านี้เป็นภาพที่น่าสลดใจว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในย่านการค้าใจกลางเมืองกรุงเทพฯ และเป็นสิ่งที่ประจานสังคมไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ค้าแผงลอย มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร และความเถื่อนแบบมาเฟียของสังคมไทยโดยรวม ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ทราบจริง ๆ ว่าผู้บริหารกรุงเทพมหานครจะสามารถปล่อยปละละเลยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างไร

หรือจะเป็นไปได้ไหมว่าฝ่ายบริหารกรุงเทพมหานครอาจจะพึงพอใจกับวิถีมาเฟียอย่างที่เป็นอยู่นี้ เพราะวิถีมาเฟียแบบนี้คือหนทางที่จะแสวงหาผลประโยชน์ส่วนต่างทางเศรษฐกิจได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ค่อยจะแน่ใจนัก เพราะดูเหมือนว่าผู้บริหารกรุงเทพมหานครไม่เคยที่จะใส่ใจต่อปัญหาพื้นฐานเหล่านี้เลย กลับเอาใจใส่แต่เรื่องการสร้างโครงการขนาดใหญ่ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการอุโมงค์ยักษ์ โครงการรถไฟโมโนเรล หรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงซึ่งก็คือโครงการซุปเปอร์สกายวอล์ก

จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ทางเท้าบาทวิถีในกรุงเทพฯได้ถูกละเมิดโดยหาบเร่แผงลอยไปทั่วทั้งเมือง ทั้งจากผู้ค้าที่เป็นคนยากคนจนซึ่งพยายามดิ้นรนทำมาหากิน ไปจนถึงบรรดาผู้มีอิทธิพลซึ่งเรียกเก็บค่าคุ้มครองแทนค่าเช่า การเพิกเฉยของเจ้าหน้าที่ทั้งที่โดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจจึงทำให้บรรดาเจ้าของตึกเจ้าของบ้านจำเป็นที่จะต้องออกมาปกป้องพื้นที่หน้าบ้านของตัวเอง มีผู้ประกอบการตึกแถวจำนวนมากจำเป็นจะต้องนำสิ่งกีดขวางเอามาตั้งไว้หน้าอาคารเพื่อป้องกันการเข้ามายึดครองพื้นที่ของบรรดาหาบเร่แผงลอย ซึ่งก็กลายเป็นการละเมิดสิทธิของผู้เดินสัญจรไปโดยปริยายเช่นกัน


ในขณะที่ภาคเอกชนซึ่งเป็นเจ้าของอาคารขนาดใหญ่มักจะใช้ยามหรือกองกำลังส่วนตัวในการปกป้องทางเท้าหน้าอาคารตัวเอง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะได้ผลดีกว่าที่จะพึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐในการทำหน้าที่ ในกรณีของสยามสแควร์นั้นการปกป้องทางเท้านั้นล้มเหลวก็เพราะว่ามีการสมประโยชน์โดยเจ้าหน้าที่รัฐมานานจนกลายเป็นประเพณี


การนำเสนออภิมหาโครงการซุปเปอร์สกายวอล์กหนึ่งหมื่นห้าพันล้านบาทเพื่อเพิ่มพื้นที่ทางเดินเท้าให้แก่ประชาชนก็เหมือนเป็นการละทิ้งปัญหาไว้ข้างล่าง เป็นการส่งสัญญานว่ากรุงเทพมหานครคงจะไม่มีปัญญาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ และคงต้องปล่อยให้คนข้างล่างตีกันให้ตายไปข้างหนึ่งในแบบวิถีมาเฟียโบราณ เพราะซุปเปอร์สกายวอล์กจะไม่แก้ปัญหาอะไรให้แก่เมือง


ถ้าประชาชนนิยมเดินข้างบนมาก หาบเร่แผงลอยก็จะตามขึ้นไปกันเอง อย่างบริเวณสยามสแควร์ที่มีสกายวอล์กขนาดใหญ่อยู่แล้ว แต่ปัญหาเรื่องแผงลอยบนทางเดินเท้าด้านล่างก็ยังเป็นปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด เคยมีผู้ค้าแผงลอยขึ้นไปขายของอยู่บนสกายวอล์กช่วงสี่แยกปทุมวันกันอย่างประปรายเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่นหนาเพราะไม่มีลูกค้ามากนัก ผู้คนต่างก็พอใจที่จะเดินเท้าบนดินมากกว่าจะปีนขึ้นไปบนสกายวอล์กแล้วถูกบีบให้เดินเข้าได้แต่ศูนย์การค้าขนาดใหญ่เท่านั้น


ปัญหาหาบเร่แผงลอยและการเบียดบังทางเท้าสาธารณะจะยังมีอยู่ต่อไปตราบใดที่ผู้บริหารกรุงเทพมหานครเอาแต่จะหลีกหนีปัญหา ไม่ยอมบังคับใช้กฎหมายและระเบียบที่พึงปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ยอมสร้างทางเลือกใหม่สำหรับหาบเร่แผงลอยในการประกอบการค้าอย่างการจัดสร้างอุโมงค์ใต้ดินของหลาย ๆ ประเทศ กลับมัวแต่พยายามจะสร้างเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดปัญหาใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ บนฐานคิดที่มุ่งหวังประโยชน์ทางการเมืองของตนเป็นตัวตั้งเท่านั้น

คนรับกรรมก็คือคนกรุงเทพฯที่คงจะต้องอยู่กับวิถีมาเฟียแบบนี้กันต่อไปอย่างนั้นจริง ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่