เสียมเรียบเป็นจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจมานานมาก คำว่า See Angkor Wat and Die ยังก้องอยู่ในหู แต่การไปเพื่อไปดูปราสาทหินกองใหญ่ๆ แบบกลวงๆ ก็ใช่ที่ ต้องได้ความรู้ตามประสาคนในแวดวงวิชาการ การเดินทางไปเสียมเรียบ เรากับเพื่อนใช้เวลาในการเตรียมตัวตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม (ไปปลายเดือนกันยายน) ตั้งแต่ทำเรื่องลาออกนอกประเทศ กำหนดสถานที่ที่จะไป เป็นทริปแรกที่วางแผนแบบตั้งใจมาก ดังนั้นการเที่ยวครั้งนี้คงแข่งเรื่องความถูกของค่าเที่ยวกับใครไม่ได้เลย

     หลังจากที่ได้เพื่อนร่วมเดินทางมา 2 คน เลยถามว่าจะเอาแบบไหน สรุปสุดท้ายทริปนี้กลายเป็นทริปไฮโซที่สุดของเรา (แบบจ่ายเอง) โดยมีน้องชายสุดที่รักที่เคยทำงานที่เสียมเรียบมานาน จัดการให้ทุกอย่างตั้งแต่จองที่พัก (ค่าที่พัก 47$/คน/ 3 คืน) จัดการเรื่องทริปนำเที่ยว ค่าใช้จ่าย 210$/คน รวมค่าเข้าชม ไกด์ ค่ารถ มีบริการน้ำดื่มเย็นและผ้าเย็นตลอดการเดินทาง (โดย Khmer Voyage Advisor Tour ติดต่อกับเจ้าของบริษัททางเฟชบุ๊คชื่อ Vuthy So ) ทั้ง 2 อย่าง เป็นกิจการของเพื่อนน้องชายทั้งหมด เราเพียงแต่จองตั๋วและเอาตัวไปเท่านั้น ที่สำคัญทุกสิ่งอย่างไปจ่ายเงินเมื่อจบทริป ไม่มีแม้แต่เงินมัดจำ จนน้องร่วมทริปที่ทางบ้านมีกิจการด้านการท่องเที่ยวยังงง เพราะปกติทำแบบนี้ไม่ได้ ทริปนี้เลยเป็นทริปส่วนตัวของสามสาวที่มีไกด์ดูแล พร้อมคนขับรถ หรูชิมิ เริ่มเดินทางกันเลย

เดินทาง

     22 กันยายน 2559 เริ่มเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบิน FD610 เวลา 10.10 ถึงเสียมเรียบ 11.10 เป็นสนามบินเล็กๆ แต่สวยงาม สะอาด และทันสมัย รู้มาจากไกด์ตอนก่อนกลับบ้าน ไกด์บอกว่าสนามบินนี้ฝรั่งเศสได้สัมปทานมา 99 ปี เราเดินจากลานบินเข้าสู่ตัวอาคารอากาศเย็นฉ่ำ ผ่านด่านคนเข้าเมือง รอรับกระเป๋า ออกมาเจอไกด์ถือป้ายยืนยิ้มฟันขาวรอรับเราอยู่ ไกด์เราชื่อ Mr. Poch ก่อนอื่น เพื่อนเราซึ่งมีธุระเยอะขอเปลี่ยนซิมก่อนเลย มีบริการอยู่เลือกแบบใช้เน็ตอย่างเดียว 4G ราคา 6$ จัดว่าถูกมาก เพราะสัญญาณแรงใช้ได้เลย เจ้าหน้าที่ที่ขายซิมให้บริการให้หมดทุกอย่าง ไม่ต้องไปงมทำเอาเอง เราก็จะเปลี่ยนเหมือนกัน แต่ ASUS ของเรามีปัญหาอะไรไม่ทราบได้ เลยไม่ได้เปลี่ยน











     ไกด์พาเราไปกินข้าวก่อน เป็นร้านที่นักท่องเที่ยวเขากินกัน คนจีนเต็มร้านเลย 555 เราสั่งแบบอาหารจานเดียว มื้อนี่สามสาวหมดไป 15$ (ที่เหลือก็จะประมาณ 20-25 $/มื้อ ถ้าสั่งเป็นกับข้าวไป 3 คนสั่ง 2 อย่างก็พอค่ะ กับข้าวเขาค่อนข้างจานใหญ่)

บอกก่อนเที่ยว

1. ข้อมูลที่เราเขียนส่วนใหญ่มาจากไกด์ และมีจากหนังสือที่เราค้นคว้าเพิ่มบ้าง บางประเด็นตรงกับไกด์บ้างไม่ตรงบ้าง ก็แย้งกันได้ตามสะดวกเลยค่ะ เพราะไกด์ก็เป็นไกด์ ไม่ใช่นักวิชาการทางด้านโบราณคดี
2. ทุกที่เราจะพยายามกำกับชื่อภาษาอังกฤษจะได้เป็นข้อมูลกลางเวลาไปหาข้อมูลเพิ่มกัน เพราะบางที่เราก็ใช้คำไทยสะกดต่างกันอย่างเช่นปราสาทที่ 1 ที่เราไป
3. นอกจากประวัติของสถานที่ที่เราไปชม ไกด์ก็ยังเล่าถึงเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ของกัมพูชาด้วย ค่อนข้างลึกมากและเป็นประเด็นอ่อนไหว จะเล่าเท่าที่ไม่ส่งผลกระทบกับใคร
4. การเยี่ยมชมปราสาททั้งหลายต้องใช้การเดินเป็นหลัก รองเท้าดีดีสักคู่จะช่วยเราได้มาก แนะนำเป็นรองเท้าผ้าใบจะดีกว่านะคะ
5. บัตรเข้าชม มีการตรวจจากเจ้าหน้าที่ตลอด แขวนคอไปเลยก็ดีค่ะ บัตรใช้เข้าห้องน้ำได้ด้วย
6. ถ้าใส่ขาสั้นไปก็นำผ้าหรือกางเกงสำรองไปด้วย ส่วนเราเนื่องจากอากาศร้อน ฝนที่ตกก็ทำพื้นแฉะ วันสุดท้ายของการเที่ยวปราสาทเราเลยใส่ขาสั้น แต่พกผ้าคลุมไหล่พันเอวไปตอนเข้าปราสาท

     หลังจากอิ่มท้องแล้วคุณไกด์พาไปทำบัตรเข้าชมปราสาทที่ Angkor Enterprise (40$/คน) จากนั้นได้เวลาชมปราสาทกันแล้ว ไปกันเลย









ปราสาทที่ 1:ปราสาทบึงมีเลีย หรือบึงมาลา (Beng Mealea) ค่าเข้า 5$ เสียค่าเข้าต่างหากจากค่าเข้ารวม เนื่องจากอยู่นอกตัวเมืองออกไป เป็นที่หนึ่งที่น้องชายแนะนำให้ไปชม ลืมบอกไปเรื่องห้องน้ำขอบอกว่าไม่ต้องห่วง ตามสถานที่ท่องเที่ยวมีห้องน้ำบริการให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เจ้าหน้าที่เห็นบัตรเข้าชมเรา เข้าฟรีได้ตลอด และก็สะอาดด้วย เป็นสิ่งหนึ่งที่เราประทับใจ ปราสาทบึงมีเลียสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2 เทียบเคียงทางด้านศิลปะพบว่าเป็นศิลปะแบบนครวัด โดยสันนิษฐานว่าสร้างก่อนนครวัด และสร้างโดยกษัตริย์องค์เดียวกัน ผู้ออกแบบเป็นคนเดียวกันกับคนออกแบบนครวัด ที่มีชื่อว่า เทวะบัณฑิต ซึ่งเทียบกับตำแหน่งปัจจุบันคือนายกรัฐมนตรี ข้อมูลจากหนังสือบอกไว้ว่าที่นี่เป็นต้นแบบของนครวัด ไกด์บอกว่าแบบแปลนของบึงมีเลียจะต่างจากแบบนครวัดตรงที่มีทางเข้าทั้ง 4 ทิศ แต่นครวัดมีทางเข้า 2 ทิศ บึงมีเลียเป็นปราสาทที่มีความสวยงามเป็นธรรมชาติที่สุด เพราะไม่ได้มีการจัดวางก้อนหินใหม่ของนักโบราณคดี ทำให้ได้อารมณ์ของการผจญภัยอย่างมากมีความเขียวครึ้มของต้นไม้ มอส ตะไคร่ ในการสร้างปราสาทจะเห็นว่ามีหน้าต่างหลอก กับหน้าต่างจริง เหตุที่สร้างหน้าต่างหลอกไม่ทำหน้าต่างจริงก็เพื่อความสวยงามและการรับน้ำหนักได้ดีกว่าหน้าต่างจริง ซึ่งเราจะเห็นอยู่ในทุกปราสาท และที่เหมือนกันแทบจะทุกปราสาทจะมีบรรณาลัย หรือห้องสมุด คุณไกด์บอกว่าในตอนนี้ต้นไม้รากไม้ที่ขึ้นในปราสาทเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งไปแล้ว จากการที่เจอศิลาจารึก 1,200 กว่าแผ่น ทั่วประเทศ ได้บอกถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ แต่ไม่บอกถึงวิธีการสร้างปราสาท แต่ก็สันนิษฐานว่า ทุกปราสาทจะสร้างจากตรงกลางก่อน โดยเอาอิฐมาวางก่อนแล้วเอาดินถมเพื่อลากอิฐขึ้นมา แล้วก็ค่อยเอาดินออกไป

Beng Mealea

     เกือบทุกที่ที่ไป จะเห็นว่าเรื่องตำนานการกวนเกษียรสมุทร เราจะเล่าเรื่องตำนานการกวนเกษียรสมุทรตามสำนวนของคุณไกด์ “เป็นเรื่องของยักษ์กับเทพทะเลาะกัน เนื่องจากแย่งพื้นที่สวรรค์ ฝ่ายเทพนำโดยพระอินทร์ จึงไปขอความช่วยเหลือจากพระนารายณ์ (พระวิษณุ) ท่านก็เลยให้ไปทำพิธีกวนเกษียรสมุทรในทะเลน้ำนม เพื่อจะได้น้ำอมฤต เพราะตัวน้ำอมฤตอยู่ใต้ทะเลน้ำนม แต่ด้วยกำลังพลของเทพไม่พอ พระอินทร์เลยไปขอสงบศึกกับยักษ์และชวนมากวนเกษียรสมุทรในทะเลน้ำนม จะได้เอาน้ำอมฤตมาแบ่งกัน โดยใช้พญานาคเป็นเชือก และเขามันทรเป็นแกน ตอนที่กวนสวรรค์มันจะทะลุ พระวิษณุเลยแปลงกายมาเป็นเต่ารองรับแรง โดยระหว่างที่กวน พวกยักษ์แอบเพิ่มสมาชิก ดังนั้นในที่นครวัดจะมีระเบียงภาพแกะสลัก เรื่องนี้ก็จะมีเทพ 88 ยักษ์ 92 และตอนที่กวนมีหลายสิ่งเกิดขึ้น เช่น มีช้างเอราวัณซึ่งพระอินทร์ได้ไป มีสาวสวยเกิดขึ้นมาพระวิษณุรับผิดชอบไปเลยได้เป็นมเหสีชื่อพระนางลักษมี เป็นต้น สุดท้ายพอได้น้ำอมฤตมาปุ๊บ มียักษ์ตนหนึ่งซึ่งเห็นลงมาดื่มคือราหู ดื่มปุ๊บ พระจันทร์กับพระอาทิตย์มาเห็น ก็เกรงว่าราหูอาจจะทำลายทุกอย่างได้ พระจันทร์กับพระอาทิตย์จึงบอกพระวิษณุเรื่องนี้ พระวิษณุเลยใช้กงจักรฟันคอซึ่งน้ำอมฤตยังไม่ผ่านลำคอ ตัวจึงละลายไป ราหูเหลือแต่ส่วนบน ราหูเลยจะแก้แค้นพระจันทร์กับพระอาทิตย์ เลยเกิดราหูอมจันทร์ สุดท้ายเทพก็ชนะ ยักษ์ก็ยอมแพ้ แต่สองฝ่ายก็ตกลงกันว่าเราจะทำอย่างไรให้ทะเลน้ำนมมันมีประโยชน์ เขาก็เลยอธิษฐานให้น้ำนมที่อยู่ในทะเลมาอยู่ในร่างกายสตรี ผู้หญิงเลยมีน้ำนมตั้งแต่นั้นมา”